บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 385 เฮ้ย หนู!
เด็กแดงถึงถอนหายใจโล่งอก ไปยืนข้างๆ อย่างว่าง่าย
ฟางเจิ้งกล่าว “จิ้งฝ่า จิ้งควน จิ้งเจิน พวกนายสามคนมีคุณความดี วันนี้อาจารย์จะมอบเม็ดยาหมื่นวาจาให้คนละหนึ่งเม็ด! หลังกินเม็ดยานี้ไปแล้วจะสื่อสารกับใครก็ได้ จากนี้ไปพวกนายสื่อสารกันเองไม่ใช่เรื่องยากอีก”
ได้ยินฟางเจิ้งว่าแบบนี้ ดวงตาเจ้าสามตัวน้อยพลันเปล่งประกายขึ้นมา! แม้พวกเขาจะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน แต่เพราะต่างพันธุ์กัน เลยพูดไม่เข้าใจกัน มีอุปสรรคต่างๆ ถ้าเจอกันโดยบังเอิญก็ช่าง แต่ถ้าเจอกันบ่อยๆ แถมยังไม่มีสัตว์พันธุ์เดียวกันที่สื่อสารได้ เช่นนั้นการสื่อสารระหว่างกันจึงสำคัญมาก ความรู้สึกที่ฟังไม่เข้าใจกันทำให้พวกมันแย่มาก
ตอนนี้ในที่สุดก็มีวิธีแก้ แต่ละตัวย่อมดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่
เด็กแดงเห็นแบบนั้นก็เบะปาก พูดในใจว่า ‘พวกบ้านนอกไร้ความรู้ กับอีแค่เม็ดยาหมื่นวาจามีอะไรน่าดีใจกัน’
ถึงอย่างไรเด็กแดงก็เห็นของล้ำค่าต่างๆ มาเยอะ เลยไม่สนใจของพวกนี้จริงๆ ทว่าหมาป่าเดียวดาย กระรอกและลิงต่างไป พวกมันสามตัวเป็นเพียงสัตว์ที่กำเนิดบนโลก เมื่อก่อนมีความปราดเปรียวเล็กน้อย แต่ยังไม่เปิดสติปัญญา ต่อมาเข้าวัดเอกดรรชนี เปิดสติปัญญาแล้วพูดไม่ได้ ความขมขื่นในใจมีเพียงพวกมันที่รู้ ตอนนี้มีเม็ดยาที่ให้ตนพูดได้แล้วย่อมเห็นคุณค่าอย่างยิ่ง
ฟางเจิ้งแจกเม็ดยาไป เจ้าสามตัวน้อยรับไปคนละเม็ด ก่อนโยนใส่ปากด้วยความกระวีกระวาดร้อนใจ
“ฉันพูดพวกนายเข้าใจไหม?” กระรอกใจร้อนเป็นที่สุด พูดขึ้นเป็นคนแรก
ผลคือพอมันพูด หมาป่าเดียวดาย ลิงและเด็กแดงต่างมีท่าทีประหนึ่งนักพรตชราเข้าฌาน ไม่ตอบกลับ ไม่มีใครมองมัน
กระรอกเกาหัว พูดพึมพำว่า “หรือว่าสรรพคุณยายังไม่ออกฤทธิ์? ถ้าอย่างนั้นรออีกหน่อยแล้วกัน…”
หมาป่าเดียวดาย ลิง ด็กแดงและฟางเจิ้งมองตากัน กลั้นขำไว้แกล้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งกระรอกถามอีก “พวกนายฟังเข้าใจไหมว่าฉันพูดอะไร?”
ทว่าก็ตามมาด้วยสายตาฉงน ก่อนส่ายหน้า
ใบหน้าเล็กกระรอกย่นเป็นก้อน มองฟางเจิ้งเศร้าๆ “อาจารย์ พวกเขาฟังศิษย์ไม่เข้าใจ ยานี่หมดอายุแล้วรึเปล่า?”
ฟางเจิ้งกลั้นยิ้มไว้ ตบหัวกระรอกด้วยมาดขรึม “อาจารย์ฟังเข้าใจ”
กระรอกชี้หมาป่าเดียวดายกับลิงพลางว่า “แต่พวกเขาฟังไม่เข้าใจ ฮือๆๆ…ยาของศิษย์หมดอายุแล้ว ว๊ากๆ…อาจารย์ ฉันจะเอาอีกเม็ด”
เจ้าตัวเล็กเริ่มเอะอะโวยวาย กลิ้งไปมาบนพื้น อ้อนวอนต่างๆ นาๆ
ฟางเจิ้งอดขำไม่ได้ ตบหัวเราะกระรอก “คนจะละโมบไม่ได้ บางทีเม็ดยาของนายอาจจะยังไม่ออกฤทธิ์ รอหน่อยเถอะ…อืม ข้าวใกล้สุกแล้ว อาจารย์จะไปทำกับข้าว”
พูดจบฟางเจิ้งก็ยืนขึ้นเดินไปหลังลานวัดพร้อมกับพูดขึ้น “จิ้งซิน นายปกปักภูเขาและเรียกฝนถือว่ามีคุณูปการยิ่งใหญ่ แต่ตัวนายเป็นราชาปีศาจ คงไม่ขาดแคลนสมบัติล้ำค่าอะไร อาจารย์จะไม่ให้รางวัลเป็นสิ่งของรูปธรรมแล้วกัน เอาแบบนี้ ครั้งหน้าอาจารย์จะพานายออกไปข้างนอก ว่ายังไง?”
เดิมทีเด็กแดงไม่สนใจของรางวัลอยู่แล้ว มีรางวัลก็ดี แค่ไม่ตกถึงคนข้างหลังก็พอ! ดังนั้นจึงรับไว้อย่างยินดีปรีดา เอ่ยขึ้น “ตกลง อาจารย์!” เด็กแดงพูดพร้อมกับตามไป
เด็กแดงไปแล้ว กระรอกที่นอนอยู่บนพื้นถามต่อ “ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง พวกนายไม่เข้าใจที่ฉันพูดจริงๆ เหรอ?”
หมาป่าเดียวดายกับลิงมองตากันก่อนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจต่อ
กระรอกมองบน ก่อนพูดพึมพำว่า “ลิงโง่ หมาโง่ ฟังไม่เข้าใจอะไรเลย…เอ่อ ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง พวกนายทำตาแบบนี้หมายความว่ายังไง?” กระรอกเห็นว่าเรื่องนี้มีกลิ่นตุๆ ทำไมเจ้าสองตัวนี้ถึงทำหน้าโหดแบบนั้นล่ะ?
ต่อมาฟางเจิ้งก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของกระรอกดังมาจากข้างนอก ร้องไปพลางตะโกนไปพลาง “อาจารย์ช่วยด้วย! มีคนจะฆ่ากระรอก! โอ๊ย ศิษย์พี่ทำเกินไปแล้ว!”
“นายกล้าว่าพวกเราเหรอ? ศิษย์พี่กำลังลงโทษอยู่” หมาป่าเดียวดายยิ้มชั่วร้าย
“เอ่อ ศิษย์พี่ฟังเข้าใจนี่?” กระรอกอึ้งงัน
“ฟังเข้าใจอยู่แล้ว” ลิงพูดยิ้มๆ
“พวกนายหลอกฉัน! ฮือๆ…ศิษย์น้อง อย่าทำเกินไปนักสิ!” กระรอกร้องเสียงแหลม
…………
ฟางเจิ้งรู้ว่ากระรอกเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในเจ้าพวกนี้ ทุกคนเอ็นดูมัน ย่อมไม่ได้จะตีมันจริงๆ แต่ฟังจากเสียงร้องอนาถาของเจ้าตัวเล็กแล้ว มีโอกาสสูงมากที่จะอนาถอย่างยิ่ง
ฟางเจิ้งไม่สนใจ เขาหิวจริงๆ แล้ว เปิดหม้อตักข้าว ทำหน่อไม้อีกเล็กน้อย ราดด้วยซีอิ๊วเยอะๆ ก่อนนั่งกินตรงปากประตู
ไม่นานหมาป่าเดียวดายกับลิงก็เข้ามา
“หืม? ศิษย์พี่จิ้งควนล่ะ?” เด็กแดงเห็นเจ้าสองตัวนี้เลยถามด้วยความแปลกใจ
ลิงตอบ “เขาไม่มา”
“ทำไม?” ฟางเจิ้งก็แปลกใจเช่นกัน
หมาป่าเดียวดาย “เขาไม่มา พวกเราก็ไม่รู้จะทำยังไง”
“จิ้งควน นายทำอะไรอยู่ข้างนอก? รีบเข้ามาเร็ว” ฟางเจิ้งเห็นหางกระรอกเล็กๆ วูบผ่านตรงปากประตูเลยพูดเรียก
“ไม่ไป! ตีให้ตายยังไงก็ไม่ไป!” กระรอกตะโกนเสียงดัง
ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว เลยยืนขึ้นเดินออกไปกับเด็กแดง มองแวบแรกเห็นบางสิ่งตัวดำเมี่ยมนั่งยองอยู่ตรงปากประตู มองดีๆ นั่นไม่ใช่กระรอกเรอะ!
เห็นกระรอกเงยใบหน้าเล็กอย่างน่าสงสาร ทั้งตัวเป็นสีดำราวกับน้ำหมึก หางยังมีใบไม้ติดเป็นวงๆ หลายใบ ตรงหน้าอกมีรอยจ้ำกรงเล็บหมาป่า…สภาพแบบนี้สุดๆ ไปเลย…
ฟางเจิ้งอดถอนหายใจมิได้ “หนูนี่แปลกไม่เหมือนใครเลยจริงๆ”
“ไม่ใช่หนู นี่กระรอก! กระรอก! กระรอก! ว๊าก…แกล้งฉันกันทุกคนเลย…” กระรอกอดกลั้นไม่ไหวแล้วจึงร้องไห้โฮเสียงดัง
ตอนนี้เองทุกคนต่างหัวเราะ เจ้าตัวเล็กตลกชะมัด…
กินข้าวมื้อนี้เสร็จ ฟางเจิ้งอาบน้ำให้กระรอก ราดน้ำบริสุทธิ์ลงไปส่งผลดีเยี่ยมมาก ราดไปขันหนึ่ง น้ำหมึกหายหมดจด อาบแดดสักหน่อย กระรอกน่ารักขนปุกปุยก็ออกมาจากเตาใหม่อีกครั้ง
กินดื่มจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ฟางเจิ้งก็ยังไม่รีบร้อนออกไป แต่กินเจสวดมนต์อยู่บนเขาสงบๆ
ในคืนวันนี้เด็กแดงกอดมือถือเล่นอินเทอร์เน็ตอย่างมีความสุข ตอนนี้เองมีข้อความเด้งเข้ามา
“ไต้ซือ แผนไปเที่ยวช่วงใบไม้ผลิของเราล่มแล้วนะครับ…โรงเรียนไม่อนุญาตให้เรารวมกลุ่มออกไปเที่ยวเยอะขนาดนั้น บอกว่าเพื่อความปลอดภัย ฮือๆๆ…” ผู้พูดคือจ้าวต้าถง
เด็กแดงตะเบ็งเสียงเรียกทันที “อาจารย์ คนชื่อจ้าวต้าถงบอกว่าโรงเรียนพวกเขาไม่ให้รวมกลุ่มออกไปเที่ยว มาไม่ได้แล้ว ท่านจะว่ายังไง?”
ฟางเจิ้งขบคิดแล้วตอบ “แล้วแต่วาสนาเถอะ มีวาสนาย่อมได้มาเจอกัน ไม่ต้องฝืน ให้เขาอย่าใส่ใจ”
เด็กแดงตอบกลับไปตามนั้น
ฟางเจิ้งไม่สนใจจริงๆ ว่าจ้าวต้าถงจะพาคนมาหรือไม่ แสงธูปของวัดในตอนนี้สว่างไสวทุกคืนวันแล้ว เขาไม่อยากให้ญาติโยมมากันเยอะมากนักแล้ว คนมากันเยอะก็รังแต่ยุ่งยาก ตอนนี้แบบนี้ก็ดีมากแล้ว ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี…
จ้าวต้าถงเห็นว่าฟางเจิ้งไม่ได้ถือโทษเลยถอนหายใจโล่งอก ก่อนมองไปรอบๆ ไม่มีใครเห็นเขาเลยส่งคำถามไปหาฟางเจิ้ง “ไต้ซือ ผมชอบผู้หญิงคนหนึ่ง อยากจีบเธอ ท่านมีคำชี้แนะอะไรไหมครับ?”
เด็กแดงร้องตะโกนใส่ทันที
…………………..