บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 386 พานอัน
ฟางเจิ้งมองบน ตอบกลับไปว่า “ถ้าอาตมารู้จะต้องออกบวชบนเขานี่รึ? ถ้าเขาอยากให้อาตมาชี้แนะ อาตมาบอกได้แค่ว่าตรงข้ามยอดเขามีที่หนึ่ง เขาไปดูได้”
เด็กแดงตอบกลับทันที
จ้าวต้าถงตะลึงงันก่อนถึงได้สติกลับมา พูดเศร้าๆ ว่า “ไต้ซือ ไหนว่าอธิษฐานขอพรพระพุทธองค์จะได้ชะตาชักพาให้เจอคู่ไงครับ? ทำไมท่านถึงให้ผมออกบวช”
“อาตมาไม่ใช่พระพุทธองค์ ประสกขอผิดคนแล้ว” ฟางเจิ้งตอบกลับ
จ้าวต้าถงขบคิดแล้วก็ใช่ จึงถาม “ไต้ซือ ไม่มีวิธีเลยจริงๆ เหรอครับ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า เด็กแดงเห็นฟางเจิ้งไม่ตอบก็กลอกตาโต เกิดความคิดชั่วร้าย หัวเราะเบาๆ เลียนแบบน้ำเสียงฟางเจิ้งตอบไปว่า “มี คนเราถ้าหน้าหนาจะไร้คู่ต่อสู้ ถ้าประสกขี้อาย วิวยอดเขาฝั่งตรงข้ามก็ไม่เลวเหมือนกัน”
แม้เด็กแดงจะไม่เคยมีคู่รักหรือเคยมีความรักมาก่อน แต่ก็เล่นมือถือมานาน เลยเข้าใจหลักการในนั้นบ้าง การจีบผู้หญิงนั้น ถึงความอดทนจะสำคัญ แต่หนังหน้าต้องหนาเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นคุณพยายามเป็นพันปี เฝ้ารอเงียบๆ ก็คงได้แต่บัตรเชิญมางานแต่งของอีกฝ่ายเท่านั้น มีเพียงหน้าด้านแสดงออก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธหรือไม่ อย่างน้อยคุณก็ได้ทำแล้ว เธอจะเห็นอยู่ในสายตา จดจำในใจ เข้าใจความหมายของคุณ ไม่ใช่ถูกมองข้ามหรือเข้าใจผิด นี่คือโอกาสหยดน้ำลงหินหินยังกร่อน ไม่อย่างนั้น…เหอะๆ
แม้เด็กแดงจะไม่เคยมีความรัก แต่รู้สึกว่าการช่วยคนเรื่องความรักเป็นเรื่องที่น่าสนุกมาก ดังนั้นเจ้านี่เลยไม่บอกฟางเจิ้ง แต่แอบชี้แนะให้จ้าวต้าถง
จ้าวต้าถงฟังเสียงของ ‘ฟางเจิ้ง’ แล้วขมวดคิ้วแน่น มักรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่พอตรึกตรองดีๆ เหมือนว่าจะมีหลักการแบบนี้จริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นลองดูหน่อยไหม?
ตกเย็น ขณะที่ฟางเจิ้งกำลังจะเข้านอนนั้นก็เก็บมือถือกลับมา นอนบนเตียง อ่านข่าวช่วงเร็วๆ มานี้ผ่านๆ อย่างสบายๆ
ตอนนี้เองฟางเจิ้งพลันได้รับข้อความจากจ้าวต้าถง เป็นภาพรูปหนึ่ง ข้างล่างยังมีข้อความแนบมา ‘ไต้ซือ สงสัยหนังหน้าผมยังไม่หนาพอจริงๆ ถูกตบหน้าบวมเลย…’
ฟางเจิ้งชะงักงัน นี่หมายความว่าอย่างไร เลยย้อนขึ้นไปดูข้อความข้างบน…
“จิ้งซิน!” เสียงตะโกนด้วยความโกรธดังแว่วมาจากในกุฏิฟางเจิ้ง
ไม่นานเสียงตบก้นดังไพเราะเสนาะหูดังสนั่นฟ้า แถมยังมีเสียงร้องไห้ของเด็กดื้อบางคนดังตามมา…
ฟางเจิ้งตีเสร็จจนเหนื่อย เด็กแดงกุมก้นนั่งยองอยู่ข้างๆ อย่างน่าสงสารพลางมองฟางเจิ้ง
หมาป่าเดียวดาย ลิงและกระรอกตกใจ นั่งยองอย่างว่าง่ายข้างๆ ไม่ส่งเสียงใดๆ
ฟางเจิ้งแค่นเสียงขึ้นจมูก “จิ้งซิน สำนึกผิดรึยัง?”
เด็กแดง “อาจารย์ ข้าเรียนมาจากอินเทอร์เน็ต ข้าแค่อยากช่วยเขาเอง”
“นายเคยมีความรักเหรอ?” ฟางเจิ้งมองบน
เด็กแดงหักนิ้วไปทีละนิ้วแล้วพูด “ถ้าเป็นคู่ชีวิตสตรีเพศ ข้าเคยมีมาแล้วร้อยกว่าคน ถ้าเป็นชายกลายเป็นหญิงไม่เคยมีสักคน ถ้าเป็นสตรีรินน้ำชา ปรนนิบัติยามกินข้าวข้ามีหลายสิบคน และยังมีอีกหลายสิบคนที่มาเต้นระบำ…อาจารย์ ท่านมองแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? เหตุใดข้าถึงรู้สึกเย็นไปทั้งตัว?”
ฟางเจิ้งเหมือนกับหมาป่าสีเทาตัวใหญ่กำลังมองกระต่ายขาวตัวน้อย เอ่ยกับลิงอย่างเจ้าเล่ห์ “จิ้งเจินไปเอาไม้กวาดของอาจารย์มา วันนี้อาจารย์จะผิดศีลห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต!”
ไม่นานก็มีเสียงร้องดังแว่วมาจากในลานวัด “อาจารย์ข้าทำผิดอะไร? อย่าตามมา…”
“หยุดอยู่ตรงนั้น! กล้ารังแกหมาโสดเรอะ? นายไม่เคยโดนกัดสินะ?”
“อาจารย์ ข้าพูดความจริง ไม่ได้โกหก?”
“อาจารย์ถึงจะตีแค่ครั้งเดียวไง อย่าหนี!”
“จะฆ่าคนแล้ว ช่วยด้วย…”
…….
หลังเรื่องวุ่นวายผ่านไป ฟางเจิ้งกลับไปในกุฏิ พอเปิดอ่านวีแชตก็ตะลึงค้างในทันใด
“ไต้ซือ ท่านโคตรเจ๋ง! ผมไม่ได้ถูกตบฟรีๆ สำเร็จแล้ว!” ข้างหลังคำพูดจ้าวต้าถงยังมีอิโมติคอนดีใจมากตามมา
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูดแล้ว อย่างนี้ก็ได้หรือ?
ฟางเจิ้งตอบกลับไปว่า “สำเร็จจริงๆ?”
“สำเร็จแล้วครับ เทพธิดาเพิ่งถามผมว่าเจ็บไหม นัดให้ผมไปใต้ตึก พอผมไปเธอก็ตอบตกลงผม…เมื่อกี้ตื่นเต้นไปเลยทำไปโดยไม่รู้ตัว ฮ่าๆ…ผมลงจากคานแล้ว มีแฟนแล้ว ลาๆๆๆ…” จ้าวต้าถงส่งข้อความมาด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่ตอนที่จะส่งข้อความที่สองก็ต้องงุนงง เพราะถูกบล็อก!
“นี่มันอะไรกัน?” จ้าวต้าถงเกาหัวด้วยความมึนงงก่อนพูดกับตัวเอง
ขณะนี้เองฟางเจิ้งมองไปนอกหน้าต่างด้วยความขมฝาด “วันนี้เป็นเทศกาลรังแกหมารึไง? เฮ้อ…เมื่อไรจะได้สึกสักที”
ฟางเจิ้งพูดไปพูดมาจนผล็อยหลับไป
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ วันที่ตามมาด้วยเสียงไก่ตัวผู้ตรงตีนเขา “เริ่มทำงาน!”
ทุกคนบนเขาต่างตื่นนอน ปัดกวาดทำความสะอาด ทำกับข้าว หลังจากทำงานทุกอย่างที่คุ้นเคยอย่างคล่องแคล่วเสร็จแล้ว เด็กแดงกับกระรอกเศร้าหมอง คนหนึ่งแบกสองถังน้ำใหญ่ อีกหนึ่งแบกชามน้ำที่เพิ่งเปลี่ยนอย่างกะทันหันลงเขากันไป จะลดบทลงโทษที่สมควรไม่ได้เด็ดขาด!
ฟางเจิ้งนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ อ่านคัมภีร์อย่างสบายใจ มีญาติโยมเข้ามาไม่ขาดสาย เห็นฟางเจิ้งกำลังอ่านคัมภีร์อยู่เลยไม่มารบกวน เนิ่นนานจนถึงตอนนี้ ทุกคนต่างชินกับกฎของวัดเอกดรรชนี กฎของวัดเอกดรรชนีคือทุกคนตามสบาย ที่นี่ไม่มีการทำนายชะตา ไม่มีการขายยันต์วิญญาณหรือลูกประคำอะไรพวกนี้ สิ่งที่ต้องทำเพียงอย่างเดียวคือจุดธูป ขอพรแล้วจากไป ถ้าอยากจุดธูปชั้นดี ก็แค่หยิบธูปชั้นดีแล้วยัดเงินสองร้อยหยวนเข้ากล่องบริจาคก็พอ ซึ่งตรงนี้ไม่มีใครดูแลด้วย
เรื่องแบบนี้ไม่มีใครแอบหยิบธูปชั้นดีแล้วไม่จ่ายเงิน ส่วนการขอพร แค่จริงใจจะสัมฤทธิผล การแอบหยิบธูปชั้นดีแล้วไม่จ่ายเงินหรือขอพรต่อหน้าพระโพธิสัตว์นั้น ถ้าสัมฤทธิผลสิแปลก
ญาติโยมที่มาวันนี้มีไม่น้อย ผ่านช่วงเช้าไปก็เริ่มน้อยลง สุดท้ายเหลือเพียงคนเดียวที่ยังไม่ไป
ฟางเจิ้งเองก็ไม่สนใจ ตอนนี้ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ดูรีบร้อนมาก เข้าอุโบสถไปจุดธูปก่อนคุกเข่าเริ่มพูด ไม่ผิด คนอื่นอธิษฐานขอพรในใจเงียบๆ แต่เจ้านี่อ้าปากพูด ลิงมองฟางเจิ้ง ความหมายคือจะให้ปรามหรือไม่
ฟางเจิ้งส่ายหน้า เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้านี่จะพูดอะไรกันแน่
ชายหนุ่มคุกเข่าลงพูดว่า “สวัสดีครับพระโพธิสัตว์ ผมชื่อพานอัน อืม พานอันที่เป็นสี่หนุ่มหล่อยุคโบราณและมีสติปัญญาเหนือคนอื่นคนนั้น ชื่อผมดีใช่ไหม ตัวผมเองก็ดี แต่ไม่รู้ทำไมถึงขี้เกียจไปทำงาน เมื่อก่อนคนที่บ้านแนะนำงานให้ผมหลายงาน ผมไปแล้วก็เหนื่อยเกิน นั่นไม่ใช่งานสำหรับคนทำ ท่านรู้ไหม? โรงงานนั่นให้ผมทำงานสิบชั่วโมง มีเวลาพักระหว่างวันครึ่งชั่วโมง นั่นใช่งานคนทำเหรอครับ?
เฮ้อ ผมรู้ว่าผมมีความสามารถ แต่ทำไมถึงยังยากจนอยู่แบบนี้ล่ะครับ? พระโพธิสัตว์ ผมไม่ขอให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีหรอกนะครับ แต่ท่านชี้ทางสว่างให้ผมที ผมไม่ได้กลัวเหนื่อย แค่อยากหางานที่จ่ายพอดีกับงานที่ทำก็เท่านั้น ได้ยินว่าพระโพธิสัตว์วัดเอกดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ ผมเลยตั้งใจมาโดยเฉพาะเลย ขอร้องล่ะครับพระโพธิสัตว์ แนะนำงานดีๆ ให้ผมที ถ้าจะให้ดีที่สุดขอทำงานน้อยๆ แต่ได้เงินเยอะ เลื่อนตำแหน่งไปตลอดโดยไม่มีแรงกดดันอะไรพวกนั้นน่ะครับ…”
………………….