บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 388 คำเชิญจากวัดแสงสายัณห์
“ไม่ใช่ เฟิงหวาต่างหาก” โอวหยางเฟิงหวาลากเสียงยาว
“อืม สีกาเฟิงหวา” ฟางเจิ้งพูดอย่างจริงจัง
“ไม่ใช่ ไม่ต้องมีสองคำนั้น” โอวหยางเฟิงหวาร้อนใจแล้ว
“อืม สีกา” ฟางเจิ้งยังคงสอนไม่จำต่อไป
“อ๊าก…ท่านน่าโมโหจนปอดฉันจะระเบิดอยู่แล้ว นี่จงใจใช่ไหม?” โอวหยางเฟิงหวาร้องโวยด้วยความโมโห
ฟางเจิ้งเคร่งขรึมยิ่ง มองโอวหยางเฟิงหวาอย่างจริงจังก่อนตอบอย่างมั่นใจมาก “ใช่”
“เอื๊อก…” โอวหยางเฟิงหวาถูกหยอกล้อจนถึงกับหัวเราะ
พูดเล่นกันต่ออีกสองประโยค โอวหยางเฟิงหวาถึงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ไต้ซือ ในมือท่านนั่นบัตรเชิญของวัดแสงสายัณห์เหรอคะ?”
ฟางเจิ้งส่งบัตรเชิญให้โอวหยางเฟิงหวาด้วยความทุกข์ใจ “สีกาดูเองเถอะ เฮ้อ…”
โอวหยางเฟิงหวารับไปดูถึงกับชะงักงัน ก่อนร้องตกใจ “นี่มันบัตรเชิญร่วมพิธีชะล้างจิตใจและสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลที่จัดปีละครั้งของวัดแสงสายัณห์? พระเจ้า ไต้ซือ ท่านได้บัตรเชิญนี่เหรอ?”
ฟางเจิ้งมองโอวหยางเฟิงหวาด้วยท่าทีแปลกๆ ก่อนถาม “บัตรเชิญนี่ได้ยากมากเลยเหรอ?”
ฟางเจิ้งไม่เคยไปไหนมาไหนไกลนัก วัดใหญ่ที่สุดที่เขารู้จักก็มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์พุทธศาสนาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเหล่านั้นอย่างเช่นภูเขาผู่ทัว ภูเขาเส้าหลินและภูเขาอู่ไถ แล้วก็อีกหลายวัดที่ห่างไปไม่ไกล เขาไม่ค่อยรู้จักวัดที่ไกลกว่านั้นหรือไม่มีอารยธรรมทั่วประเทศ เขาเคยได้ยินชื่อวัดแสงสายัณห์ และก็รู้ว่าเป็นวัดใหญ่ ทว่าพิธีนี้มันเจ๋งเพียงใดนั้นเขาไม่รู้แน่ชัดจริงๆ
โอวหยางเฟิงหวามองบนทีหนึ่ง “ถ้าไม่รู้จักกันจริงๆ ฉันคงคิดว่าท่านเป็นนักบวชปลอม ไม่รู้จักแม้แต่พิธีชะล้างจิตใจและสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลของวัดแสงสายัณห์ คืออย่างนี้ดีกว่า พิธีสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิปีละครั้งของวัดเมฆาขาวก็เอามาจากพิธีชะล้างจิตใจและสวดมนต์ของวัดแสงสายัณห์ แต่เรื่องกฎยังห่างชั้นกับพิธีชะล้างจิตใจและสวดมนต์ของวัดแสงสายัณห์ ที่สำคัญคือพิธีชะล้างจิตใจและสวดมนต์ของวัดแสงสายัณห์ไม่ได้แบ่งเป็นสองช่วง แต่เป็นส่วนเดียวกัน บนเขาทำพิธีชะล้างจิตใจในแดนพุทธ ตีนเขาสวดมนต์ครั้งใหญ่ให้พุทธมามกะ นั่นคือพิธีใหญ่ที่มีคนนับหมื่นพากันเข้าร่วม ทั้งภูเขามีแต่คน ความใหญ่ของพิธีติดอันดับต้นๆ ของทั้งมณฑลจี๋หลิน”
ฟางเจิ้งเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง “เข้าร่วมเป็นหมื่นคน? เจ๋งขนาดนั้นเลย?”
“เจ๋งกว่านั้นอีก พิธีของวัดเมฆาขาวมีคนไม่เกินหลายพันเข้าร่วม แต่พิธีของวัดแสงสายัณห์ปกติแล้วหมื่นคนขึ้นไป จึงต้องใช้ตำรวจติดอาวุธกับตำรวจคอยรักษาความสงบ ที่นั่นน่ะ…มีคำพูดหนึ่งพูดไว้ดีมาก นักบวชทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ไม่เคยร่วมพิธีใหญ่ที่มีคนเกินหมื่นจะกระดากอายไม่กล้าบอกว่าตนคือนักบวช แน่นอนนักบวชธรรมดาส่วนใหญ่ได้แค่ร่วมสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลกับพุทธมามกะทั่วไปตรงตีนเขาเท่านั้น คนที่ได้ขึ้นไปบนยอดเขาเข้าร่วมพิธีชะล้างจิตใจต่างหากที่สุดยอดของจริง แต่ก็ต่อให้เป็นตีนเขาก็ยังมีการแบ่งโซนนักบวชกับพุทธมามกะ แถมยังจุคนได้จำกัด ใครมาก่อนได้ก่อน แน่นอนว่ามีกรณีพิเศษ นั่นคือคนที่ได้รับบัตรเชิญก็จะมีที่สำรองให้ ให้ฉันดูหน่อยว่าท่านอยู่ตรงไหน…” โอวหยางเฟิงหวาอ่านอย่างละเอียดก่อนร้องด้วยความตกใจ
“นี่…เป็นไปได้ยังไง?”
ฟางเจิ้งถามด้วยความแปลกใจ “อะไรเหรอ?”
“ไต้ซือโคตรเจ๋ง แต่ทำไมถึงได้บัตรเชิญในโซนธรรมดาตรงตีนเขา?…คนวัดแสงสายัณห์ดูถูกกันเกินไปรึเปล่า?” โอวหยางเฟิงหวาทำปากจู๋ ร้องเรียนความไม่เป็นธรรมให้ฟางเจิ้ง
แต่ฟางเจิ้งไม่คิดอย่างนั้น เขาพูดยิ้มๆ ว่า “สีกาเป็นคนบอกเองนี่ คนเยอะ ที่นั่งน้อย ได้คำเชิญก็ดีแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ดีเลวยังไงท่านก็เป็นเจ้าอาวาส ไม่อยากเชื่อว่าจะเชิญให้อยู่ตรงตีนเขา” โอวหยางเฟิงหวาว่า
ฟางเจิ้งส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร เขาไม่สนใจตรงนี้จริงๆ แม้ตนจะเป็นเจ้าอาวาส แต่ก็รู้ตัวเองดี ถึงอย่างไรวัดเอกดรรชนีก็เล็กเกินไป ส่งผลได้น้อยยิ่งด้วย คนมากมายไม่รู้จักวัดเอกดรรชนี อีกอย่างนักบวชวัดเอกดรรชนีที่เห็นจากภายนอกก็มีแค่ฟางเจิ้งรูปเดียว ส่วนหมาป่าเดียวดาย ลิง กระรอกและเด็กแดงนั้น พวกนี้คือศิษย์ที่ฟางเจิ้งรับไว้เอง คนที่รู้มีไม่มาก ต่อให้รู้ก็ไม่มีใครคิดว่าจริง คนรับสัตว์เป็นลูกศิษย์? คงได้แต่มองเป็นเรื่องตลกเท่านั้น
ก็เหมือนที่ฟางเจิ้งไม่เข้าใจวัดแสงสายัณห์ วัดแสงสายัณห์ไม่เข้าใจเขาก็ปกติมากเช่นกัน แน่นอนว่าเป็นอย่างที่โอวหยางเฟิงหวาว่าไว้ ไม่ว่าวัดเล็กใหญ่ ในด้านเนื้อแท้แล้วฟางเจิ้งคือเจ้าอาวาส ฐานะไม่ต่างอะไรกับเจ้าอาวาสวัดแสงสายัณห์ แต่กลับถูกจัดไว้ตีนเขา นี่ก็เกินไปหน่อยจริงๆ
แม้นักบวชจะไม่สนใจ แต่สายตาของชาวโลกกลับมองว่าตีนเขาสู้บนเขาไม่ได้ ลำดับการให้ความสำคัญต่างกัน ในสายตาคนนอก นี่จะบอกว่าวัดเอกดรรชนีเป็นวัดที่ไม่ติดอันดับชั้นหรือไม่?
แต่ฟางเจิ้งเป็นเจ้าอาวาสกลับคิดแบบนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะลุ่มหลงต่อสิ่งภายนอก ที่สำคัญคือ…ฟางเจิ้งขี้เกียจขึ้นเขา ไปหาความครึกครื้นและเปิดโลกก็พอแล้ว ไปถึงยอดเขาจะต้องมีเรื่องยุ่งยากมากแน่ๆ เขาขี้เกียจขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่ได้ไปก็ไม่ไปจะดีกว่า…
โอวหยางเฟิงหวาเห็นฟางเจิ้งไม่มีท่าทีว่าจะโต้แย้งใดๆ จึงได้แต่จำใจ เบะปากว่า “ไต้ซือ ท่านมีนิสัยแบบนี้จะถูกรังแกเอาง่ายๆ นะ”
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ เขาถูกรังแก? โตมาขนาดนี้ยังไม่เคยถูกใครรังแกจริงๆ เลย เขาเลยตอบยิ้มๆ “สีกาไม่ต้องใส่ใจเรื่องพวกนี้หรอก”
“เอาเถอะ ท่านไม่สนใจแล้วฉันจะพูดอะไรได้ อ้อ ไต้ซือ ท่านจะไปวัดแสงสายัณห์เมื่อไรเหรอ?” โอวหยางเฟิงหวาถาม
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็หน้าเศร้าโดยพลัน ไปเมื่อไร? นี่เป็นปัญหาจริงๆ ไม่มีเงินแล้วจะไปอย่างไร? มีเงินแล้วค่อยไป? เดาว่าคงหลายปีหลังจากนี้ บินไป? นี่ก็เป็นวิธีหนึ่ง…แต่จะบอกใครไม่ได้!
โอวหยางเฟิงหวาเห็นฟางเจิ้งลำบากใจเลยกลอกตาโต “ไต้ซือ ฉันไม่เคยไปวัดแสงสายัณห์หรอกนะ แถมฉันไม่มีบัตรเชิญด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นท่านพาฉันไปไหม?”
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วแน่น พาผู้หญิงไปด้วย นี่ไม่ค่อยดีนัก
“ไต้ซือ ท่านพาฉันไป ฉันจะออกค่าเดินทาง ค่าอาหารและที่พักให้หมดเลย” โอวหยางเฟิงหวากล่าว
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นดวงตาเปล่งประกายโดยพลัน ประนมสองมือกล่าวไปว่า “อมิตาพุทธ ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกัน”
………
นัดเวลาเรียบร้อยว่าสามวันออกเดินทาง โอวหยางเฟิงหวาจึงลงเขาไปอย่างมีความสุข
ฟางเจิ้งเงยหน้ามองฟ้าพลางว่า “ระบบ นายบีบให้อาตมายากจนขนาดนี้จะดีจริงๆ เหรอ?”
น่าเสียดายระบบไม่สนใจเขา
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พอได้ยินว่าฟางเจิ้งจะลงเขาอีกครั้ง เด็กแดงเอาใจใส่เป็นพิเศษ ตื่นนอนเช้าที่สุดทุกวัน ใช้ใจทำอาหารเช้าโดยเฉพาะ ตักน้ำ ทำงาน เรียกว่าขยันเลย
แต่หมาป่าเดียวดายไม่ค่อยสนใจการลงเขาแล้ว เพียงแค่เร็วๆ นี้มักจะพัวพันฟางเจิ้ง ปากพึมพำว่า “อาจารย์ ตอนกลับขึ้นเขามาเอาลูกบาสมาฝากศิษย์สักลูกสิ?”
ฟางเจิ้งมองบน “นายคิดว่าอาจารย์ซื้อลูกบาสได้อย่างนั้นเหรอ?”
หมาป่าเดียวดาย “…”
กระรอกสนใจการลงเขานิดๆ ทว่าพอเห็นเด็กแดงช่วยมันทำความสะอาดรังกระรอกทุกวันแล้ว แถมยังให้เมล็ดสนให้มากองหนึ่งก็เลยไม่คิดจะแก่งแย่ง ว่างๆ ยังพูดกับฟางเจิ้งอีกว่า “อาจารย์ ศิษย์ว่าศิษย์ลงเขาช้าหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน”
ลิงอยากลงเขา ทว่าเด็กแดงตามมันทุกวัน ศิษย์พี่อย่างนู้น ศิษย์พี่อย่างนี้ กระทั่งซักจีวรให้ ลิงเลยเกรงใจจะแย่งกับเขา
……………………..