บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 389 หยาบคายหรือคุณธรรมสูงส่ง?
ดังนั้นสามวันต่อมา เด็กแดงเลยตามตูดฟางเจิ้งลงเขาไปอย่างมีความสุข
ลงเขามาฟางเจิ้งก็เห็นโอวหยางเฟิงหวาสวมเสื้อเชิ้ตสีเหลืองคู่กับกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ สวมหมอกแก๊ปลิ้นเป็ดสีดำ ผมเปียหางม้าสะบัดไปข้างหลัง สะพายกระเป๋าเป้สีดำยืนอยู่! ฟางเจิ้งชำเลืองขาสองข้างที่เหยียดตรงโดยจิตใต้สำนึกแวบหนึ่ง เพราะอย่างนี้เองเขาจึงจงใจลดความเร็วในการเดินลง สวดมนต์ชะล้างจิตใจเงียบๆ สวดครบสามรอบแล้วถึงสงบลงและไม่มองอีก
แต่เด็กแดงเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมาก “สีกา เหตุใดกางเกงสั้นแบบนี้?”
ฟางเจิ้งใช้มือตบหัวข้างหลังเขาไปที “ไปว่าคนอื่นเขา นายมีกางเกงเหรอ?”
เด็กแดงก้มหน้ามองตู้โตวสีแดงของตนก่อนพูดไม่สบอารมณ์ “อาจารย์ ข้าก็อยากใส่กางเกงเหมือนกัน แต่ท่านไม่ให้ จะให้ข้าทำอย่างไร?”
ฟางเจิ้งตอบ “ถ้าอาจารย์ซื้อให้ได้ยังต้องให้นายมาบอกรึ? ให้สวมเสื้อผ้าตอนอาจารย์ยังเด็กนายก็รังเกียจอีก ตอนนี้จะมาหาเหตุผลอะไร?”
“มันน่าเกลียดเกินไป ไม่ใส่!” เด็กแดงหันหน้าหนี
เห็นลูกศิษย์และอาจารย์ทะเลาะกัน โอวหยางเฟิงหวาก็ยิ้มร่า นั่งยองลงบีบจมูกเด็กแดง “จิ้งซิน อย่าเรียกฉันว่าสีกา เรียกพี่สาวสิ”
“เหอะๆ…เรียกหลานสาวยังใกล้เคียงกว่า” เด็กแดงมองบน
โอวหยางเฟิงหวาตาค้าง ทำไมเด็กดื้อนี่พูดแบบนี้?
ฟางเจิ้งเองก็หมดคำจะพูด แต่ก็ไม่คัดค้านใดๆ ถ้านับตามอายุจริงๆ เจ้านี่เป็นปู่บรรพบุรุษของปู่บรรพบุรุษของคนทั้งโลกได้…ทว่าคำนวณอายุตามปีศาจแล้วยังเป็นเด็ก! อีกทั้งวัดตามความรู้ ถึงเขาจะเคยพบสมบัติล้ำค่าหรือโอสถมาไม่น้อย ทว่าก็อยู่แต่ในภูเขามาตลอด นอกจากถูกประจบแล้ว ไม่เข้าใจวิถีทางโลกจิตใจคนหรืออื่นๆ เลย แถมยังดื้อเป็นพิเศษ เป็นมหาราชาจนเคยตัว มักจะคิดว่าตนเป็นใหญ่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด สนใจความรู้สึกของคนอื่นน้อยมาก
ดังนั้นแล้วฟางเจิ้งเลยได้แต่ค่อยๆ โน้มนำ พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์
เด็กแดงหันหน้าขวับ ทำท่าทีว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอน
โอวหยางเฟิงหวาไม่ได้คิดจริงจัง แต่มองว่าเด็กนี่พูดจามั่วไปเรื่อย จะถือสาคำพูดเด็กไม่ได้ เธอจึงกลอกตาโตแล้วพูดยิ้มๆ “ถ้าเธอเรียกพี่ว่าพี่สาว เดี๋ยวเข้าเมืองไปแล้ว พี่จะเลี้ยงข้าว แถมยังซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้ด้วย อย่างเช่น…”
“พี่สาว พี่สวยจริงๆ!” เด็กแดงไม่รอให้โอวหยางเฟิงหวาพูดจบก็โพล่งไปทันใด
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นถึงกับปิดหน้า เขารู้แล้วว่าตนดูถูกเด็กแดงจริงๆ! เจ้านี่ไม่ใช่ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่เข้าใจเยอะด้วย! ฟางเจิ้งคาดเดาว่าอาจจะเป็นผลเสียมาจากการเล่นอินเทอร์เน็ต ดูท่าคงต้องห้ามเด็กนี่เข้าเน็ตจริงๆ แล้ว!
โอวหยางเฟิงหวายิ้มร่าเริง บีบจมูกเด็กแดงแล้วพูด “เด็กดีจริงๆ! พี่จะทำตามที่บอก!”
เด็กแดงยิ้มตาม เขาไม่สนเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แค่ได้กินฟรีมีเสื้อผ้าใส่ฟรีก็พอ!
ตอนที่โอวหยางเฟิงหวาหมุนตัวกลับ ฟางเจิ้งแอบเตะก้นเด็กแดงไปที เจ้านี่ทำตัวน่าขายหน้านัก!
โอวหยางเฟิงหวานั่งรถเพื่อนมา ทว่าเพื่อไม่ให้กระทบกับฟางเจิ้ง เธอเลยให้รถไปก่อนแล้ว ตอนนี้เธอต้องสำนึกเสียใจนิดๆ…
“ไต้ซือ จะออกไปยังไงคะ?” โอวหยางเฟิงหวาถาม
ฟางเจิ้งตอบ “เดินไปแล้วกัน อีกเดี๋ยวจะมีรถประจำทางมา”
รถประจำทางที่นี่เป็นของเอกชน จะขับเข้ามาทุกวัน วนเป็นรอบๆ ระหว่างหลายหมู่บ้านใกล้เคียง บรรทุกคนเต็มแล้วถึงขับไปอำเภอซงอู่ แม้รถนี่จะสะดวกสบาย แต่ก็มีชื่อเสียงเรื่องการอ้อมโลก…
ไม่นานรถประจำทางมาแล้ว โอวหยางเฟิงหวามองเห็นไกลๆ ว่าสีดำทึบในรถเป็นหัวคนทั้งหมด แถมรถยังเก่ามาก เหมือนจะแจ้งเป็นชำรุดได้ตลอดเวลา ระหว่างทางข้างหลังยังมีควันบุหรี่สีดำพวยพุ่งประหนึ่งไฟไหม้ นี่ไม่ใช่รถปรับอากาศ หน้าต่างรถเปิดกว้าง แถมยังมีหัวจอบโผล่ไปข้างนอก เห็นรถสภาพแบบนี้แล้วเธอก็อยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ถามเสียงอ่อยๆ ว่า “ไต้ซือ นะ…นี่จะนั่งได้เหรอคะ?”
ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อนๆ “ในหมู่บ้านมีแค่สายนี้แหละ ไม่นั่งรถนี่ก็ไม่มีรถนั่งแล้ว วางใจ เป็นชาวบ้านกันทั้งนั้น มีแต่คนจริงใจ”
โอวหยางเฟิงหวาหัวเราะแห้งๆ สองที ใจไม่ยอมอย่างยิ่งแต่ก็ยังตามขึ้นไป ไม่ใช่ว่ารังเกียจชาวบ้าน แต่รู้สึกว่ารถนี่พึ่งพาไม่ได้เกินไป! ไหนบอกว่าห้ามรับคนเกินจำนวน? ไหนบอกว่าห้ามสูบบุหรี่? แต่หัวบุหรี่สว่างไสวเหล่านั้นกับควันที่พวยพุ่งออกมาจากหน้าต่างนั่นคืออะไร? พวกนี้ต่างกับสิ่งที่เธอเรียนมาจากในตำราอย่างสิ้นเชิง ในมุมมองเธอ รถนี่ไม่ปลอดภัย สูบบุหรี่กันเยอะขนาดนี้กลัวจะถูกรมควัน
โดยเฉพาะการนั่งรถไปอำเภอต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมง แออัดกันขนาดนี้ แถมยังต้องยืนอีก ประกอบกับเส้นทางนี้ โอวหยางเฟิงหวาถึงกับตาเป็นสีดำนิดๆ เวียนหัวตาลายแล้ว เธอเสียใจจริงๆ ที่ไล่รถของตนไป รู้อย่างนี้แต่แรกให้เขารอที่อำเภอซะก็ดี…
ขณะโอวหยางเฟิงหวากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ฟางเจิ้งกับเด็กแดงขึ้นรถไปแล้ว ทั้งยังหันกลับมาเรียกเธอพร้อมกัน
โอวหยางเฟิงหวาได้แต่จำใจขึ้นรถตามมา พึมพำว่า “นี่ถ้าต้องยืนตลอดคงตายแน่…”
ทว่าเพิ่งขึ้นรถมาก็ได้ยินคนเรียก “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านนั่งรถมาด้วยเหรอครับ? มาเร็ว นั่งที่ผมเถอะ”
ระหว่างพูดอยู่นี้มีผู้ชายร่างกำยำคนหนึ่งจะยืนขึ้นให้ฟางเจิ้งนั่ง
ฟางเจิ้งยังไม่ทันตอบพลันมีคนเรียกตาม “อย่าเลยครับ หลวงพี่ใกล้ผมกว่า นั่งที่ผมเถอะ”
“ที่แกมันสกปรก จะนั่งตรงแกทำไม? มา ฟางเจิ้ง มานั่งที่ป้ามา!” หญิงแต่งงานแล้วพูด
เวลานี้ในรถมีแต่เสียงจะลุกให้นั่ง โอวหยางเฟิงหวาเห็นแบบนั้นถึงกับตาค้างอ้าปากกว้าง มีการแบบนี้ด้วย? ถึงเธอจะรู้ว่าฟางเจิ้งเป็นเจ้าอาวาสวัด แสงธูปช่วงเร็วมานี้ก็ไม่เลว แถมยังเขียนอักษรดี แต่ไม่คาดคิดเลยว่าฟางเจิ้งจะมีผลกระทบถึงขนาดนี้ พวกชาวบ้านชอบเขาขนาดนี้เลย ไม่อยากเชื่อว่าจะให้เขานั่งกันหมด!
ฟางเจิ้งเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เขายังหนุ่มยังแน่นจะนั่งตรงไหนก็ได้ เลยรีบประนมสองมือกล่าว “อมิตาพุทธ ทุกท่าน อาตมายังหนุ่มยังแน่น จะให้ทุกท่านลุกให้นั่งได้อย่างไร อาตมายืนดีกว่า…”
“พูดอะไรโง่ๆ อย่างนั้น? ให้ท่านนั่งก็นั่งเถอะ จะอะไรกัน? คิดว่าพวกเราแก่แล้ว ใช้การไม่ได้แล้วรึไง?” ป้าท่านหนึ่งพูด
ชายวัยกลางคนข้างๆ พูดยิ้มๆ “นี่ เธอคิดว่าตอนนี้ตัวเองใช้การได้เรอะ? ตอนขึ้นรถเห็นเบียดเสียดจนร้อง พอนั่งก็ยังบ่นปวดเอว ปวดขา ลืมแล้วเรอะ?”
“หา! พูดมากนักนะ!” คุณป้าด่ายิ้มๆ
ผู้ชายคนนั้นหัวเราะตาม เห็นได้ว่าพวกเขาแค่หยอกกันเล่น ไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ
ฟางเจิ้งปฏิเสธอีกครั้ง ทว่าป้าไม่พอใจแล้ว “เจ้าเด็กนี่ จะอะไรนักหนา? คิดว่าพวกเราแก่แล้วจริงๆ รึไง? จะบอกให้นะ เรื่องทำไร่ทำนาท่านอาจจะสู้ฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ เอาเถอะ อย่าพูดมาก รีบมานั่งเร็ว” พูดจบ ป้าท่านนี้ก็ลากฟางเจิ้งมากดให้นั่งลง
ฟางเจิ้งจนปัญญาแล้ว ได้แต่ประนมสองมือขอบคุณ “ขอบคุณมากสีกา”
แต่นี่ยังไม่จบ…
คุณป้ามองเด็กแดงกับโอวหยางเฟิงหวาแวบหนึ่งแล้วตบหัวข้างหลังผู้ชายข้างๆ ไปทีหนึ่ง
…………………..