บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 391 นิสัยไม่ดีต้องโดนเอาเปรียบ
ฟางเจิ้งกล่าว “อาตมาว่าอีกสองสามวันถึงกลับ วันนี้ไม่ต้องรอนะ”
“ครับ นี่นามบัตรผม ถ้าจะกลับเมื่อไรก็บอกผมก่อน ผมรอท่านได้นานสุดสามโมงครึ่ง ถ้าช้ากว่านั้นก็จะกลับไปสาย เดินทางกลางคืนลำบากน่ะครับ” คนขับรถพูด
ฟางเจิ้งรับนามบัตรมา ขอบคุณแล้วพาโอวหยางเฟิงหวากับเด็กแดงเดินไป
“ไต้ซือ เราจะไปไหนคะ?” โอวหยางเฟิงหวาถามด้วยความประหลาดใจ
ฟางเจิ้งงุนงง “สีกาไม่รู้ทางหรือ?”
“ฉัน…ควรจะรู้เหรอคะ?” โอวหยางเฟิงหวาพูดจบใบหน้างามถึงกับแดง
ฟางเจิ้งพูดด้วยความจนปัญญา “อาตมาเห็นเมื่อหลายวันก่อนสีกาพูดมีหลักการเลยคิดว่ารู้จะไปยังไง ดูแผนที่แล้วกัน…”
ฟางเจิ้งหยิบมือถือออกมาค้นหาวิธีไปวัดแสงสายัณห์ ส่วนใหญ่บอกว่าไปถึงเมืองเฮยซานแล้วให้นั่งรถบรรทุกไปลงเมืองกู่หลิน จากนั้นนั่งรถไฟความเร็วสูงไปเมืองถานจง ลงรถโบกรถต่อ ชั่วโมงเดียวก็จะถึงวัดแสงสายัณห์แล้ว ฟางเจิ้งกับโอวหยางเฟิงหวาปรึกษากัน สองคนรู้สึกว่าเวลาล้ำค่ากว่า ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการเดินทางมากเกินไป โอวหยางเฟิงหวาเองก็ไม่ขาดเงิน ดังนั้นสองคนจึงโบกรถไปเมืองเฮยซานทันที
ทางนี้ราบรื่นมาก ทั้งยังได้มาตรฐานกว่า รถบัสปรับอากาศไม่มีการรับคนเกิน ในรถไม่มีใครสูบบุหรี่หรือคุยเสียงดัง ทว่าโอวหยางเฟิงหวากลับยังรู้สึกว่าในรถขาดหายอะไรไปบางอย่าง
“ไต้ซือ ทำไมฉันรู้สึกว่าในรถมีอะไรหายไปบางอย่าง” นั่งไปได้ครู่หนึ่ง โอวหยางเฟิงหวาอดใจถามขึ้นมิได้
ฟางเจิ้งถามกลับ “แล้วควรจะมีอะไรหรือ?”
“ฉันก็ไม่รู้ ตั้งแต่ลงรถคันนั้นมานั่งคันนี้ต่อ ก็มักรู้สึกว่ามีบางอย่างหายไป” โอวหยางเฟิงหวาสับสนนิดๆ เธอเหมือนรู้ว่าขาดหายอะไร แต่บอกไม่ถูก
เด็กแดงพูดพึมพำ “ขาดกลิ่นบุหรี่ ขาดเสียงดังโวยวาย ที่นี่ก็เหมือนกับน้ำเต้าที่ยังไม่เปิด[1]”
โอวหยางเฟิงหวาพยักหน้ารัวๆ “ใช่เลย”
ฟางเจิ้งพูดยิ้มๆ “รถบัสแบบนี้กับรถหมู่บ้านแบบนั้นก็เปรียบได้กับตึกระฟ้าสูงใหญ่ในเมืองกับบ้านชั้นเดียวในหมู่บ้าน หนึ่งเจอหน้าไม่รู้จักกัน อีกหนึ่งรู้จักกันทั้งหมู่บ้าน ที่สีกาว่าคือขาดหายกลิ่นอายความรู้สึกคน”
โอวหยางเฟิงหวากับเด็กแดงตาเปล่งประกาย พยักหน้ารัวๆ โอวหยางเฟิงหวาพูด “ใช่ ขาดหายกลิ่นอายของคนไปนิดหน่อย มีความรู้สึกเครื่องจักรเพิ่มมาหลายส่วน”
เด็กแดงนอนพาดบนขอบหน้าต่างมองไปข้างนอก “ถึงที่นี่จะสบาย แต่ข้าชอบรถเก่าๆ นั่นมากกว่า ได้ฟังพวกเขาคุยโม้ดูน่าสนุกกว่าดูทีวีอีก”
ฟางเจิ้งกับโอวหยางเฟิงหวามองแล้วยิ้มให้กัน แม้จะพูดไม่ค่อยมารยาท แต่ก็มีหลักการแบบนี้จริงๆ พวกเขาก็ชอบความรู้สึกที่พวกคุณอาเหล่านั้นคุยโม้เช่นกัน
ถึงเมืองเฮยซานอย่างรวดเร็ว ลงจากรถมาฝั่งตรงข้ามเป็นสถานีรถไฟ กลุ่มคนวิ่งเข้าไปตลอด ฟางเจิ้งกับเด็กแดงไม่ค่อยเข้าใจระเบียบขั้นตอนแบบนี้เท่าไรจึงมีแต่โอวหยางเฟิงหวาที่ยุ่งวุ่นวาย เธอจองตั๋วผ่านอินเทอร์เน็ตเรียบร้อย ก่อนเอาบัตรประชาชนของฟางเจิ้งไปรับตั๋วที่เครื่อง ซื้อตั๋วเด็กมาอีกใบเป็นอันเสร็จทุกอย่าง
เมื่อเข้าสถานีรถ สายตาเด็กแดงใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่นิดๆ ถึงจะเคยเห็นว่าสถานีรถไฟหน้าตาเป็นอย่างไรในอินเทอร์เน็ต แต่เพิ่งได้สัมผัสระยะประชิดแบบนี้เป็นครั้งแรก แม้จะเคยเห็นของวิเศษ เคยเห็นตำหนักโออ่ามานับไม่ถ้วน แต่การตกแต่งและลักษณะอะไรพวกนี้ต่างไปอย่างสิ้นเชิง รู้สึกแค่ว่าแปลกใหม่ไปหมด
ส่วนฟางเจิ้ง ถึงจะแปลกใจแต่ก็ยังกดเอาไว้ คิดว่าถ้ามองไปรอบๆ มันดูน่าขายหน้าไปนิดๆ
“อาจารย์ ไม่ใช่แล้ว” ตอนนี้เองเด็กแดงพลันกดเสียงเบาถาม
ฟางเจิ้งมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ? จึงส่งสายตาถาม
เด็กแดงพูดเบาๆ “ข้าเคยเห็นในอินเทอร์เน็ตมา พวกเขาบอกว่าพนักงานบริการรถไฟความเร็วสูงเป็นหญิงงาม ขายาวใส่ถุงเท้าผ้าไหม เครื่องแบบยั่วยวน แต่ข้ามองอยู่นานแล้ว สตรีพวกนี้ไม่น่ามองเอาซะเลย ท่านดูคนนั้น แขนหนากว่าขาข้าอีก แต่ละคนสู้พี่เฟิงหวาไม่ได้เลย”
แม้เขาจะกดเสียงเบา แต่โอวหยางเฟิงหวายังคงได้ยิน ฟังประโยคหน้ายังรู้สึกมีกลิ่นตุๆ พอฟังข้างหลังถึงกับหน้าทะมึน
ฟางเจิ้งก็หน้าทะมึนเช่นกัน ยกมือขึ้นโขกหัวไปที พูดจริงจังว่า “นับจากวันนี้ไปห้ามเล่นมือถืออีก!”
“ถ้าอย่างนั้นข้า…” เด็กแดงกำลังจะบอกว่าฝนจะไม่ตกอีก
ฟางเจิ้งสวนกลับทันที “ตอนเย็นฝนไม่ตก อาตมาจะสวดมนต์ขอฝนเอง”
เด็กแดงยอมแพ้ในพริบตา…
โอวหยางเฟิงหวาเข้าใจว่าหมายถึงอะไรเช่นกัน จึงพูด “ไต้ซือ เด็กยังเล็กเกินไป อย่าให้แตะมือถือดีกว่า เล่นมากไปจะเรียนรู้แต่สิ่งไม่ดีได้ง่ายๆ”
ฟางเจิ้งเห็นด้วยอย่างยิ่ง เด็กแดงมองบนไปที “ใครเด็ก?”
เห็นเด็กแดงร้อนใจ โอวหยางเฟิงหวาหัวเราะคิกๆ “จิ้งซิน พี่จะซื้อของอร่อยให้เอาไหม?”
“เอา!” เด็กแดงตอบโดยพลัน
“เรียกพี่สาวสิ เดี๋ยวพาไป” โอวหยางเฟิงหวาพูด
“พี่สาว” เด็กแดงพูดโดยไม่มีแรงกดดันแม้แต่น้อย
ฟางเจิ้งหมุนตัวกลับ น่าขายขี้หน้า เจ้าคนไร้ยางอาย เขาไม่ต้องการแล้ว!
โอวหยางเฟิงหวาลากเด็กแดงไปซื้อของกินอย่างมีความสุข ไม่นานเด็กแดงกอดข้าวโพดต้มฝักหนึ่งมา ในมือยังถือไส้เจ กำลังกินอย่างมีความสุข
ไม่นานรถก็มาถึง กลุ่มคนขึ้นรถไป
แม้ฟางเจิ้งจะไม่เคยนั่งรถไฟมาก่อน แต่ก่อนมาเขาหาความรู้คร่าวๆ เพื่อไม่ให้ขายหน้าแล้วเลยดูสุขุมเยือกเย็น ในเมื่อเป็นการเดินทางก็จะให้โอวหยางเฟิงหวานำตลอดไม่ได้ ครั้งนี้ฟางเจิ้งนำทางเอง ดูป้ายหมายเลขตรงริมหน้าต่างไปตลอดทาง สุดท้ายมาถึงที่นั่ง ริมหน้าต่างมีเสื้อตัวหนึ่งแขวนบังป้ายเอาไว้ ทว่ามองจากหมายเลขสองข้างแล้วน่าจะเป็นตรงนี้ไม่ต้องสงสัย
แต่ตรงนี้มีคนนั่งแล้ว คนที่นั่งคือผู้ชาย กำลังกอดอกพักผ่อน
ฟางเจิ้งเปิดเสื้อออกดู ที่นั่งถูกต้อง เลยประนมสองมือพูดกับผู้ชายคนนั้น “ประสก ตรงนี้ที่อาตมา เหมือนประสกจะนั่งผิดที่แล้ว”
แต่ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจฟางเจิ้งเลย
ฟางเจิ้งจนปัญญานิดๆ หลับหรือ? หรือว่าอะไร?
ตอนนี้เอง เด็กแดงตบมือเข้าที่น่องผู้ชาย “นี่พวก เจ้านั่งผิดที่แล้ว นี่มันที่ของเรา!”
ผู้ชายถูกตบถึงกับตื่น ชำเลืองตามองเด็กแดงทีหนึ่งก่อนโมโหในฉับพลัน “เด็กบ้านไหนวะ? มาโวยวายอะไรอยู่ได้?”
ฟางเจิ้งรีบดึงเด็กแดงไปข้างหลัง ไม่ได้กลัวผู้ชายคนนั้นจะตีเด็กแดง หลักๆ กลัวเด็กแดงตีผู้ชายคนนั้นมากกว่า จากนั้นฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ ประสก ตรงนี้ที่อาตมา ประสกว่า…”
ผู้ชายได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม พูดด้วยความโกรธ “พวกแกตาบอดรึไง! ตรงนี้มัน9B 9B! นี่มันที่ของฉัน ไม่เข้าใจรึไง?” ผู้ชายพูดพร้อมหยิบตั๋วออกมา โวยต่อว่า “ดูให้ดี นี่มันที่ฉัน! หลวงจีนตาบอด ไปไกลๆ ไป!”
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองตั๋วรถไฟผู้ชาย เป็น9B จริงๆ เหมือนกับของเขา! ไม่ถูกต้อง เหมือนว่ามีตรงไหนที่ต่างกัน ดังนั้นฟางเจิ้งเลยมองไปนอกโบกี้ ตรงข้ามมีรถไฟอีกคัน…
…………………….
[1] น้ำเต้าที่ยังไม่เปิด หมายถึงเรื่องที่ไม่เข้าใจหรือคนที่ไม่ชอบพูด