บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 392 ไต้ซือตัววายร้าย
ตอนนี้เองโอวหยางเฟิงหวาพูด “พี่ใหญ่คะ คุณอย่าเพิ่งโกรธสิ ให้ฉันดูตั๋วคุณหน่อยได้ไหม?”
“จะดูอะไร?! ก็ให้ดูแล้วไม่ใช่เหรอ? อย่ามากวนฉัน!” ผู้ชายคนนั้นถลึงตามองและตะคอกมาตรงๆ ถึงพบว่าคนที่พูดเป็นหญิงงาม น้ำเสียงถึงเบาลงเล็กน้อย จากนั้นหมุนตัวกลับมาขึงตามองฟางเจิ้ง “มองอะไร?” เขาเหมือนกับถังดินระเบิด ใครแตะก็จะระเบิดคนนั้น
ฟางเจิ้งอยากจะพูดหลายครั้งแต่ก็ถูกอีกฝ่ายถลึงตามองกลับมา เขาจึงส่ายหน้าด้วยความจำใจ หลีกทางไปยืนอยู่ข้างๆ ไม่ออกเสียงอีก
เด็กแดงกับโอวหยางเฟิงหวาเห็นแบบนั้นก็รู้สึกว่าฟางเจิ้งไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง เด็กแดงจึงถามฟางเจิ้งเบาๆ “อาจารย์ ทำอย่างไรดี? ท่านถูกแย่งที่แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นท่านนั่งที่ข้า? หรือไม่ก็ให้ข้าโยนเขาออกไป?”
ฟางเจิ้งขยี้หัวเด็กแดง “จิ้งซิน นายเป็นนักบวช อย่าคิดแต่จะต่อยตีทั้งวัน ไม่ดี”
“อ้อ…” เด็กแดงเบะปากเพราะไม่คิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย
โอวหยางเฟิงหวาพูดต่อ “ไต้ซือ ท่านนั่งที่ฉันเถอะ ฉันยืนเดี๋ยวเดียวไม่เป็นไรหรอก”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ไม่ต้อง รออีกเดี๋ยวประสกท่านนี้ก็จะลงรถแล้ว ก็จะมีที่นั่งเอง”
โอวหยางเฟิงหวาอดถามมิได้ “เขาจะลงรถที่ไหน? ใกล้ๆ แถวนี้รึเปล่า?”
ผู้ชายพลันเงยหน้าขึ้น พูดยิ้มเยาะ “ฉันจะนั่งจนถึงปลายทาง”
โอวหยางเฟิงหวามองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ สีกา รีบนั่งเถอะ รถจะออกแล้ว ประสกท่านนี้ ดูตั๋วให้ดีๆ ก่อนค่อยว่ากัน”
ผู้ชายคนนั้นมองค้อนฟางเจิ้งทีหนึ่ง “ดูอะไร? ที่นั่งของฉันก็คือที่นั่งของฉัน ดูกี่ทีมันก็ที่นั่งฉัน!”
ระหว่างที่ผู้ชายพูด รถไฟเริ่มปิดประตูแล้ว
โอวหยางเฟิงหวาพาเด็กแดงไปนั่งด้วยความจนปัญญา บางทีอาจเป็นเพราะความสวย ผู้ชายถึงอารมณ์ดีไม่น้อย จงใจขยับเข้าไปข้างใน โอวหยางเฟิงหวาถึงกับขมวดคิ้วต้องหลบไปข้างใน
ผู้ชายคนนั้นไม่ใส่ใจ แต่ชำเลืองตามองฟางเจิ้งด้วยความถือดี
ฟางเจิ้งเพียงยิ้มเรียบๆ รถไฟแล่นไปได้ครู่หนึ่ง เจ้าพนักงานเดินเข้ามา “รบกวนคุณผู้ชายแสดงตั๋วให้เราดูด้วยนะคะ”
เจ้าพนักงานเดินตรวจตั๋วตลอดทาง ผู้ชายหันไปมองแวบหนึ่ง พูดยิ้มๆ “หลวงจีน ใช้ตั๋วปลอมขึ้นรถเป็นเรื่องใหญ่มากนะ”
ฟางเจิ้งประนมสองมือตอบกลับ “ขอบคุณประสกมากที่เตือน”
โอวหยางเฟิงหวามองผู้ชายคนนั้นทำหน้าลำพองใจแล้วก็รังเกียจยิ่งกว่าเดิม อยากจะช่วยฟางเจิ้งพูดอะไรบ้าง แต่ฟางเจิ้งปรามไว้ เธอเลยได้แต่รู้สึกอึดอัดใจยิ่ง ทำปากจู๋ หันหน้าไปนอกหน้าต่าง ไม่เห็นก็ไม่ทุกข์ใจไป
ผู้ชายคนนั้นอวดดียิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เองเจ้าพนักงานมาแล้ว เป็นเจ้าพนักงานสาวสวยเอ่ยอย่างอ่อนโยน “คุณผู้ชายคะ รบกวนแสดงตั๋วรถด้วยค่ะ”
ผู้ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ พลางหยิบตั๋วรถยื่นไป จากนั้น…
“คุณผู้ชายคะ นี่คือตั๋วของคุณหรือคะ?” เจ้าพนักงานมองผู้ชายคนนั้นด้วยความตกใจ
ผู้ชายตอบ “ครับ มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“คุณผู้ชายคะ เหมือนคุณจะนั่งรถผิดคันนะคะ” เจ้าพนักงานมองผู้ชายด้วยสีหน้าเห็นใจ
ผู้ชายอึ้งไปก่อน จากนั้นตั้งสติกลับมาก่อนแย่งตั๋วไปดู
โอวหยางเฟิงหวากับเด็กแดงแอบชำเลืองตามองทีหนึ่ง เห็นข้างบนเขียนไว้ว่าจากกู่หลินถึงต้าจิน!
โอวหยางเฟิงหวากับเด็กแดงหัวเราะโดยพลัน…
ผู้ชายพูด “รถนี่ไปไหน?”
“ปลายทางคือฮาเฉิงค่ะ” เจ้าพนักงานตอบ
“จอดรถ จอดรถ ผมจะลงรถ!” ผู้ชายร้อนใจแล้ว เขามีเรื่องด่วนที่ต้าจิน ลูกค้ากำลังรออยู่ แต่ครั้งนี้ดันนั่งไปผิดทาง ถ้าพลาดโอกาสนี้เดาว่าการตกลงธุรกิจครั้งนี้จะต้องลอยไปแน่!
“ขอโทษด้วยนะคะคุณผู้ชาย รถออกแล้ว คุณต้องนั่งไปลงรถสถานีหน้าแล้วเปลี่ยนรถค่ะ” เจ้าพยักหน้าตอบอย่างจำใจ
“สถานีหน้า? อีกนานแค่ไหนจะถึงสถานีหน้า?”
“ครึ่งชั่วโมงค่ะ”
ผู้ชายพลันร้องไห้ นี่จะต้องไปสายแน่ๆ!
ทว่าผีซ้ำด้ำพลอย เจ้าพนักงานพูดต่อ “อีกอย่าง คุณผู้ชายต้องถูกปรับเพราะขึ้นรถไม่มีตั๋วด้วยนะคะ ทั้งหมดก็…”
ผู้ชายคนนั้นได้ยินไม่ชัดแล้ว จนเมื่อเขาได้สติกลับมา หลวงจีนจีวรขาวมาอยู่ตรงหน้า พูดยิ้มๆ ว่า “ประสก ให้อาตมานั่งได้รึยัง?”
วินาทีนั้นผู้ชายทุกข์ใจเหมือนกับกินแมลงวันตายเข้าไป ก่อนเห็นหลวงจีนรูปนั้นหยิบตั๋วออกมาใบหนึ่งวางตรงหน้าเขา ด้านบนเขียนไว้ว่ากู่หลินไปถึงถานจง ที่นั่งคือ9B เช่นกัน!
“คุณผู้ชายคะ รบกวนลุกให้หลวงพี่ท่านนี้นั่งด้วยนะคะ” เจ้าพนักงานพูด
ผู้ชายคนนั้นถลึงตามองฟางเจิ้งด้วยความไม่ยอม ในใจนึกถึงคำพูดที่ฟางเจิ้งว่าไว้ก่อนหน้านี้ ‘อีกเดี๋ยวก็จะให้นั่งแล้ว’ เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว จึงพูด “แกรู้แต่แรกแล้วใช่ไหม? แกจงใจหลอกฉันใช่ไหม?! แกมันสารเลว!”
ฟางเจิ้งพูดอย่างจนปัญญา “ประสก อาตมาเคยเตือนแล้ว ให้ประสกดูตั๋วดีๆ แต่ประสกไม่ดูเอง ตอนนี้มาโทษอาตมา? อมิตาพุทธ…เป็นคนดียากจริงๆ”
พอเกิดความวุ่นวายตรงนี้จึงมีหลายคนมองมา ตอนแรกคิดว่ามีคนซื้อตั๋วปลอม แต่ตอนนี้ถึงเข้าใจ
พลันมีคนพูดขึ้น “แกรีบหุบปากไปเลย! หลวงพี่ขึ้นมาก็พูดกับแกดีๆ แกเอาแต่ตะโกน ทำท่าทางขมึงทึง นิสัยอย่างแกไม่โดนตบก็บุญแล้ว หลวงพี่นิสัยดี แถมยังเตือนให้แกดูตั๋วอีก แต่แกงามไส้นัก คิดแต่จะป้อสาว! สมน้ำหน้า!”
“ใช่! พวกเราดูอยู่ตลอด แกยังมีหน้าไปโทษคนอื่นอีก?”
ทุกคนต่างตะโกนแสดงความคิดเห็นกันใหญ่ ผู้ชายคนนั้นกลัวแล้ว ก้มหน้าต่ำลงพร้อมกับโดนเจ้าพนักงานพาไปจ่ายค่าปรับไม่มีตั๋วทางด้านนั้น และก็ไม่มีหน้ากลับมาโบกี้นี้อีกเลย…
รอจนผู้ชายไปแล้วฟางเจิ้งถึงนั่งลง
โอวหยางเฟิงหวากับเด็กแดงเห็นแบบนั้นก็ยิ้ม
เด็กแดงหัวเราะเบาๆ “อาจารย์ ข้ารู้นะว่าท่านเป็นพวกตัวร้าย!”
โป๊ก!
ฟางเจิ้งเคาะหัวเด็กแดงไปที เจ้านี่ไม่กลัวเจ็บ เขายังคงยิ้มชั่วร้าย ฟางเจิ้งจึงต่อว่า “อาจารย์เป็นคนดี อย่าพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า”
เด็กแดงที่เข้าใจฟางเจิ้งเบะปากเพราะไม่คิดอย่างนั้น ฟางเจิ้งเป็นคนดีจริงๆ แต่ไม่ใช่คนดีระดับอย่างไต้ซือ! ในเนื้อแท้ยังมียีนของวายร้ายอยู่!
ฟางเจิ้งสั่งสอนเด็กแดงเสร็จก็นั่งลงอย่างสงบนิ่ง ได้ยินโอวหยางเฟิงหวาพูดเบาๆ “ไต้ซือ ท่านเป็นตัววายร้ายจริงๆ คิกๆ…”
ฟางเจิ้งพลันพูดไม่ออก เขาทำอะไร? เขาเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดีไม่ใช่หรือ? แต่อีกฝ่ายไม่รับแล้วมาโทษเขา? อมิตาพุทธ! ไม่สบอารมณ์!
ขณะนี้เองเด็กแดงดึงเสื้อฟางเจิ้งพลางถาม “อาจารย์ ท่านทำแบบนี้ไม่ค่อยสอดคล้องกับภาพลักษณ์พระอาจารย์เลย ไหนบอกว่าพระอาจารย์ตีไม่โต้วาจา ด่าไม่โต้มือไง?”
ฟางเจิ้งมองค้อนเด็กแดงทีหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นแล้วของนายล่ะ?”
เด็กแดงตะลึงงัน เขาโดนพระโพธิสัตว์จับตัวมา เหมือนว่า…นี่จะไม่ค่อยสอดคล้องกับภาพลักษณ์พระอาจารย์เท่าไรเหมือนกัน!
ฟางเจิ้งพูดกับเด็กแดง “ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร อาตมาคิดว่าคนดีได้ดี คนชั่วได้ชั่ว นี่คือหลักการของกรรม แน่นอนคนชั่วก็แบ่งเป็นคนที่ช่วยกับไม่ช่วย ปกติคือคนชั่วกับคนชั่วช้าสามานย์ เพิ่งเริ่มยังไม่นับว่าเป็นคนชั่ว แต่เรียกว่าแสดงนิสัยไม่ดีออกมาตามใจ นั่นคือเหตุ นั่งรถผิด คนอื่นเตือนยังไม่รู้ เสียเวลา เสียของไปบางสิ่งนั่นคือผล ฉะนั้นแล้วจากนี้ไปนายต้องทำความดีเยอะๆ มีไมตรีกับคนอื่นหน่อย เจอเรื่องอะไรต้องสงบลงก่อน ดู ฟัง คิด จากนั้นตัดสินใจ เข้าใจไหม?”
………………………