บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 396 ขอคำชี้แนะ
ญาติโยมและเหล่าผู้มุงดูต่างเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว “ใช่ วัดจะแบ่งเล็กใหญ่ได้ยังไง? มีความจริงใจจะศักดิ์สิทธิ์ บูชาพระไม่ใช่ขนาดพื้นที่ พื้นที่ใหญ่ก็ดี เล็กก็ดี ต่างกันตรงไหน?”
จากนั้นแววตาแต่ละคนที่มองจื้ออวิ๋นกับจื้อเหนิงเหมือนมองคนโง่!
จื้ออวิ๋นกับจื้อเหนิงรับไม่ได้แล้ว ขณะเตรียมจะไปด้วยความหงอยเหงานั้น จื้ออวิ๋นดันถือถุงพลาสติกสีดำในมือไม่แน่นพอ มันตกลงพื้นดังปัง ตามด้วยเสียงแก้วแตก ทุกคนได้กลิ่นเบียร์ คนตาแหลมคมมองปราดเดียวก็เห็นแก้วแตกของขวดเบียร์ จึงพูดขึ้น “พวกท่านดื่มเบียร์กันด้วย?”
จื้ออวิ๋นตกใจจนรีบห่อถุงไว้อย่างดีก่อนวิ่งตามจื้อเหนิงเข้าไปในลิฟต์ จากนั้นจื้ออวิ๋นพูดตอบ “ทุกท่านมองผิดแล้ว ไม่ใช่เบียร์ เป็นเหล้ายาต่างหาก”
“เรายังไม่ได้บอกเลยว่าเป็นเบียร์ ท่านจะร้อนตัวทำไม?” มีคนพูด
จื้ออวิ๋นรู้แล้วว่าตนพูดผิด หน้าแดงก่ำแล้ว ดีที่ลิฟต์ขยับพอดี
ภายในลิฟต์ สองคนมองตากันด้วยหน้าตาปั้นยาก จื้อเหนิงต่อว่า “บอกแกแต่แรกแล้วไงว่าออกมาให้รอบคอบหน่อย รอบคอบหน่อย! แกสร้างปัญหาให้ฉันเละเทะไปหมด ครั้งนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องจัดการเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นไปถึงหูอาจารย์เมื่อไร เราสองคนจะโดนลงโทษ”
“พี่อย่าพูดแบบนี้สิ ตอนนี้เป็นอย่างนี้ไปแล้ว คิดหาวิธีแก้เถอะ” จื้ออวิ๋นยิ้มแห้งๆ
จื้อเหนิงพิงลิฟต์ด้วยความมืดทะมึนไม่แน่นอน ก่อนกดปุ่มลิฟต์ชั้นบนสุด
“พี่จะทำอะไร? เราอยู่ชั้นแปดไม่ใช่เหรอ?” จื้ออวิ๋นถาม
“แกโง่เหรอ? ถ้าคนพวกนั้นจะตามมาเอาเรื่องแล้วเราหยุดชั้นแปด พวกนั้นก็หาเราเจอสิ? อีกอย่างฉันต้องการเวลาหน่อย คิดก่อนว่าจะรับมือยังไง” จื้อเหนิงพูด
จื้ออวิ๋นพูดด้วยความโกรธ “ต้องโทษไอ้ลาหัวล้านเด็กนั่น ถ้าไม่ใช่มัน เราคงไม่เป็นแบบนี้” ลืมไปหมดแล้วว่าเขาเป็นคนหาเรื่องฟางเจิ้งก่อน และเป็นเขาเองที่ไปซื้อเบียร์ ไม่ใช่ฟางเจิ้งให้เขาซื้อ
จื้อเหนิงครุ่นคิด สุดท้ายคิดได้วิธีหนึ่งจึงพูดกับจื้ออวิ๋น จื้ออวิ๋นพลันร้อนใจ โวยว่า “พี่จะทำแบบนี้ได้ยังไง?”
“เรื่องผ่านมาแล้ว คนพวกนั้นเห็นกันหมด เรื่องนี้ต้องมีคนรับแทน ตอนนี้ฉันดูแลเงินของวัดอยู่ ถ้าฉันถูกลงโทษล่ะก็ จากนี้ไปแกยังอยากแต่งเมียอยู่ไหม? ดังนั้นแกจะต้องเป็นคนรับโทษ ต้องแสดงเป็นยอมเจ็บตัวเพื่อแลกกับความไว้ใจ” จื้อเหนิงพูดอย่างจริงจัง
จื้ออวิ๋นมองจื้อเหนิงหน้าเศร้า “ไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอ?”
“อย่างน้อยฉันก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ ถ้าไม่มีคนมองเยอะขนาดนั้น เราจะร่วมแรงกันสาดน้ำสกปรกใส่ฟางเจิ้งนั่นได้ แต่ตอนนี้…ได้แต่แบบนี้ อย่าลีลานักเลย แกจะทำไหม? ไม่ทำพวกเราก็จบเห่ด้วยกัน! ถ้าถูกตรวจสอบบัญชี เราจะติดคุก!” จื้อเหนิงว่ากล่าว
พอจื้ออวิ๋นได้ยินว่าจะติดคุกก็กลัวนิดๆ จึงกัดฟันพูด “ก็ได้ แต่ว่า…พี่ พี่ตีเบาๆ นะ”
“อ๊าก! อ๊าก! เบาหน่อย…อ๊าก! พี่ ผมผิดไปแล้ว! อ๊าก!”
……..
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าหลังเขาออกจากโรงแรมแล้ว โรงแรมเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ไม่สบายใจมาก…
เดินใต้แสงไฟนีออน ตึกสูงใหญ่ แสงไฟดั่งดาราเต็มฟ้าสว่างพร่างพราว ด้านข้างเป็นรถยนต์แล่นผ่านประหนึ่งเหล็กกล้าไหลผ่าน…ฟางเจิ้งเดินบนถนน รู้สึกเพียงว่าทุกอย่างรอบตัวเป็นมายาถึงเพียงนั้น ท้องฟ้าเหมือนสูงกว่าเดิม สูงจนปีนไม่ได้ บ้านช่องเหล่านั้นยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายหนาวเหน็บ เขาจึงอดถอนหายใจยาวมิได้
โอวหยางเฟิงหวาพูดเศร้าๆ “ไต้ซือขอโทษด้วยนะคะ ฉันเพิ่งมาเป็นครั้งแรก เลยลืมจองห้องทางออนไลน์”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ไม่โทษสีกาหรอก ความจริงอาตมาถ่วงสีกามากกว่า อาตมายังขาดประสบการณ์ตอนอยู่ใต้ภูเขา ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำตัวเก้ๆ กังๆ อย่างในวันนี้”
“ถ้าอย่างนั้นไต้ซือถอนหายใจทำไมคะ?” โอวหยางเฟิงหวาถาม
ฟางเจิ้งมองเขตเล็กเจริญรุ่งเรืองข้างๆ พลางพูด “อาตมาเพียงแค่กำลังปลงอนิจจังเท่านั้น อาตมาจำได้ว่าตอนเด็กหลวงตาหนึ่งนิ้วอาจารย์อาตมาพูดกับอาตมาว่า เขาเดินบิณฑบาตมาจากทางใต้ ตอนนั้นไม่ใช่อย่างตอนนี้ที่มีแต่ตึกสูงใหญ่ ทุกที่คือคน เดินไปสิบกว่าลี้จะเจอคนในสิบลี้ แต่ตอนนั้นไม่ว่าเดินไปที่ไหน เพียงเคาะประก็ได้เข้าพักหนึ่งคืน กินข้าวหนึ่งมื้อ เดินไปเรื่อยๆ ถึงจะลำบาก แต่กลับอบอุ่นตลอดทาง ทว่าไม่รู้ทำไมอาตมาเดินบนถนนนี่แล้ว มองแสงไฟไร้ที่สิ้นสุดสองข้างทางแล้วกลับเหมือนอยู่ในความฝัน ราวกับว่าระหว่างสองคนมีปราการไร้รูปแห่งหนึ่งขวางพวกเราเอาไว้ พวกเขาคล้ายๆ กับภาพมายา เป็นเครื่องตกแต่งหนาวเหน็บที่ไม่มีอยู่จริง”
โอวหยางเฟิงหวาฟังฟางเจิ้งเหมือนกำลังครุ่นคิด พยักหน้าแล้วพูดเบาๆ “พ่อฉันก็เคยบอกว่าเขาไม่ชอบเมือง ยิ่งเป็นเมืองใหญ่ก็ยิ่งไม่ชอบ เขาบอกว่าเดินในเมืองเหมือนตกเข้าไปในกรง นกอยู่กันตัวละกรง แม้จะอยู่ใต้ต้นไม้เดียวกัน มองเห็นกัน ได้ยินกัน แต่ไม่มีทางเข้าไปหาอีกฝ่ายได้ตลอดกาล ระยะห่างที่ใกล้ที่สุดในโลกคือระยะห่างของสองประตูระหว่างชั้น ไกลเพียงหนึ่งก้าว แต่ไม่มีวันเคาะหากัน ไม่รู้จักกัน”
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “นี่คืออาการป่วยอย่างหนึ่ง…”
โอวหยางเฟิงหวาพยักหน้าตาม “ใช่ เมืองป่วยกันหมด…”
สองคนพูดคุยกันพลางเดินไปเนิบๆ เด็กแดงตามอยู่ข้างหลัง ทำปากจู๋ พูดเสียงเบาเหมือนกำลังไม่พอใจทุกอย่างตรงหน้า “อาจารย์ ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเหตุใดจิ้งฝ่าถึงไม่ค่อยอยากออกมาข้างนอก ตามท่านมานี่มีแต่โทษ”
ฟางเจิ้งไม่มีคำใดจะตอบได้ ครั้งก่อนพาหมาป่าเดียวดายออกมา พวกเขาสองคนนั่งอยู่บนขอบทางม้าลาย นั่งทั้งช่วงบ่ายจนสุดท้ายหวังคุนเก็บกลับบ้านไป ตอนนี้เหมือนจะเป็นแบบเดิมอีก เพียงแต่ว่าครั้งนี้พาสองคนมาเดินเตร่บนถนนด้วย
ตอนนี้เองเสียงเบรกรถดังขึ้นพร้อมกับเสียงคุ้นหู “หลวงพี่ฟางเจิ้ง?”
ฟางเจิ้งหันไปมองเห็นพั่งจื่อโผล่หัวออกมาจากในกระจกรถ แสยะมุมปากยิ้มก่อนพูด “นี่ หลวงพี่ฟางเจิ้ง เป็นท่านจริงๆ ด้วย! ผมว่าแล้ว หลวงจีนจีวรขาวในโลกนี้ก็มีแต่ท่านนี่แหละ”
คนที่มาคือพั่งจื่อที่ขึ้นเขากับพวกโหวจื่อและเจียงถิงในตอนแรก หลังจากงานประลองศิลปะพู่กันจีน ฟางเจิ้งไม่เคยเจอเขาอีกเลย ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอกันที่นี่ในวันนี้
ฟางเจิ้งประนมสองมือยิ้มอย่างอบอุ่น “ที่แท้ก็ประสกพั่ง ไม่ได้เจอกันนานเลย”
“หลวงพี่ อย่าว่าอ้วนเลย(พั่ง) เราเป็นเพื่อนสนิทกันนะครับ” พั่งจื่อพูดด้วยสีหน้าขมขื่น
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ ไม่ได้จริงจังอะไร
พั่งจื่อชำเลืองตามองโอวหยางเฟิงหวาแวบหนึ่ง นัยน์ตามีประกายความตกใจวูบผ่าน งานประลองศิลปะพู่กันจีนในตอนแรก นอกจากงานประลองแล้ว คนที่ดวงตาสว่างไสวที่สุดก็คือเด็กสาวสวยคนนี้ ตอนนั้นเขาก็ยังจำได้ แต่ไม่นึกเลยว่าลูกสาวคู่ต่อสู้จะใกล้ชิดกับฟางเจิ้งขนาดนี้ ทว่าพั่งจื่อไม่ได้ถามมาก เขาเชื่อว่าไต้ซือสุดเก่งอย่างฟางเจิ้งต้องไม่ทำผิดพลาดในด้านหลักการที่ยึดถือแน่
พั่งจื่อเลยถามด้วยความแปลกใจ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ในเมื่อท่านมาร่วมพิธี แล้วทำไมดึกดื่นป่านนี้ถึงยังเดินเล่นอยู่นี่ล่ะครับ?”
………………….