บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 4 เปิดเผยความลับสวรรค์ไม่ได้
เด็กสาวอีกคนค่อนข้างเงียบ สวมแว่นตา มีท่าทีสุภาพเรียบร้อยดั่งคนในภาพวาด
เธอส่ายหน้าพลางว่า “อย่าพูดแบบนั้น คนดีๆ ก็มี”
“ช่างเถอะ ตอนนี้ในวัดมีแต่หลวงจีนอ้วนฉุ ฉันไม่เชื่อเรื่องพุทธแล้ว ฉันเปลี่ยนศาสนาเป็นพระเจ้าแล้ว จากนี้ฉันคือบุตรของพระเจ้า ไปที่ไหนก็มีพระเจ้าคุ้มครอง” เด็กหนุ่มตัวใหญ่หน้าเรียวยาวพูดจบก็ขยับไม้กางเขนตรงคอ
“เอาล่ะ มาพูดจาไม่ดีแบบนี้หน้าประตูวัดคนอื่นไม่ดีหรอก ฉันเหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว เข้าไปพักกันหน่อยเถอะ พวกเธอจะเข้าไปกันหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มหน้าสิววัยรุ่นถาม
“หูหานพูดถูก ไป เข้าไปดูกัน” เด็กหญิงร่างท้วมกล่าว
เด็กหนุ่มหน้าเรียวยาวเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปดูกัน พักสักเดี๋ยว ดื่มน้ำสักหน่อย แล้วเราค่อยเริ่มทำอาหารป่ากินกัน กินเสร็จจะได้ตั้งแคมป์”
พอได้ยินเรื่องตั้งแคมป์กับทำอาหารป่า วัยรุ่นเหล่านี้ต่างพากันตื่นเต้น
เพียงแต่ว่ายิ่งใกล้วัดมากเท่าไร พวกเขาต่างรู้สึกจิตใจสงบมากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนรุ่มในตอนแรกค่อยๆ หายไป จนเดินมาถึงประตูวัดเอกดรรชนี พวกเขาต่างสงบลงโดยไม่รู้ตัว เสียงพูดคุยน้อยลง เด็กหนุ่มใบหน้าเรียวยาวมองป้ายวัดแวบหนึ่ง “ศาลเจ้าเอกดรรชนี? เป็นที่ที่มีนิ้วเดียวจริงๆ เล็กมาก…เล็กกว่าโบสถ์ทุกที่ที่ฉันไปอีก”
“เอาเถอะ รู้แล้วว่านายเชื่อพระเจ้า มาถึงถิ่นคนอื่นแล้วพูดให้น้อยๆ ลงหน่อย” เด็กสาวเรียบร้อยต่อว่า
เด็กหนุ่มหน้าเรียวยาวไม่คิดอย่างนั้นจึงแค่นเสียงขึ้นจมูกสองครั้งแล้วเดินขึ้นไป
“อวิ๋นจิ้ง แปลกจริงๆ พอมาถึงวัดแล้วความกลุ้มในใจฉันหายไปแล้ว เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก มันเงียบสงบ ความรู้สึกสบายใจแบบนี้มันเหมือนกับว่าวางเรื่องทุกข์ใจไว้ที่นี่ได้ทุกเรื่องเลย” เด็กสาวร่างท้วมรั้งเด็กสาวเรียบร้อยพลางพูดเบาๆ
“เสี่ยวเจวียน ฉันก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน พอเข้ามาแล้วรู้สึกสบายไปทั้งตัว เสียงดังเอะอะข้างนอกหายไปหมด แม้แต่สวนสาธารณะธรรมชาติยังไม่มีแบบนี้เลย” อวิ๋นจิ้งตอบเบาๆ
“ฉันว่านี่น่าจะเป็นห้วงสมาธิในตำนาน ไม่แน่ว่าที่นี่อาจจะมีไต้ซือ” เด็กหนุ่มหน้าสิววัยรุ่นนามหูหานเอ่ยต่อ
“หูหาน นายอย่าไปตามหม่าเจวียนกับอวิ๋นจิ้งเลย ถ้าที่นี่มีไต้ซือ ฉันจะเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ! ฉันว่านะมันเป็นเพราะในใจพวกเธอต่างหาก พอเข้าวัดหรือวิหารอะไรพวกนี้แล้วในใจเลยเกิดความยำเกรง หรือไม่ก็เป็นธรรมชาติที่จะคิดว่าพระเจ้าปกป้อง จิตใจเลยมีที่พึ่งพาไม่เป็นทุกข์ก็เท่านั้น” เด็กหนุ่มหน้ายาวกล่าว
“เอ๋? จ้าวต้าถง ที่นายพูดมันก็มีเหตุผลอยู่บ้างเหมือนกันนะ ไม่อยากเชื่อว่าปีนเขาครั้งนี้ นายจะเป็นนักปรัชญาไปแล้ว” หม่าเจวียนพูดหยอกล้อพลางหัวเราะอิอิ
จ้าวต้าถงเงยหน้าขึ้น “จริงๆ ฉันก็เป็นนักปรัชญาอยู่แล้ว!”
“อมิตพุทธ คุณโยมทั้งหลาย อาตมาฟางเจิ้ง เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” ฟางเจิ้งก็ไม่เคยได้รับการอบรมพุทธศาสนาขั้นพื้นฐานมาก่อน เคยเห็นแต่จากละครในโทรทัศน์ แล้วก็ทำตามพูดตามหลวงจีนหนึ่งนิ้วในเวลาปกติ
“หืม? นายเป็นหลวงจีนที่นี่เหรอ? ทำไมฉันคิดว่านายอายุไม่มากไปกว่าฉันสักเท่าไรเลยล่ะ? แล้วยังเป็นเจ้าอาวาสอีก? ขี้โม้ล่ะมั้ง?” จ้าวต้าถงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“จ้าวต้าถง อย่าทำตัวไร้มารยาทแบบนี้นะ!” ฟางอวิ๋นจิ้งดึงจ้าวต้าถงไว้
จ้าวต้าถงไม่คิดดังนั้นจึงพูดต่อ “ฉันก็ไม่ได้เสียมารยาทอะไรนี่ หรือว่าที่ฉันพูดไม่จริง?”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นเพิ่งจะขมวดคิ้วก็ได้ยินเสียงจากระบบ “เป็นเจ้าอาวาส เป็นไต้ซือในอนาคต จะมาไม่พอใจเพราะเรื่องเล็กๆ แบบนี้ไม่ได้ ควรจะใจกว้าง ให้อภัยทุกสิ่ง”
‘คนอื่นมาพูดแบบนี้ ฉันขมวดคิ้วก็ไม่ได้เหรอ?’ ฟางเจิ้งถามในใจ
“ไม่ได้ นี่คือความรู้พื้นฐานของไต้ซือ หากนายทำแบบนี้ เมื่อภารกิจสำเร็จแล้วจะถูกหักคะแนน”
‘เวรจริงๆ นี่นายขู่ฉันเหรอ!’ ฟางเจิ้งด่าในใจ
ระบบเมินฟางเจิ้ง ไม่โต้ตอบอะไรอีก
ฟางเจิ้งว่าในใจด้วยความโกรธ ‘อย่าคิดนะว่าจะขู่ฉันได้!’ พูดจบ ฟางเจิ้งก็พยายามท่องอยู่ในใจ จิตใจดั่งหัวใจเยือกแข็ง ฟ้าถล่มจงนิ่งเฉยไว้…จากนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าสุภาพอ่อนโยน “อาตมาอายุพอๆ กับพวกโยมจริงๆ คุณโยม วัดนี้เป็นเพียงวัดเล็ก มีแค่อุโบสถกับลานวัดที่เปิดให้กับคนภายนอก โยมเชิญตามสบาย”
ฟางเจิ้งตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วก็คิดจะบอกไปอีกว่าหากมีเรื่องอะไรให้มาเรียกได้ แต่ระบบกลับกระโดดออกมา “เป็นไต้ซือ นายควรจะเป็นที่เคารพ ไม่ใช่สามเณรที่จะให้ใครเรียกไปๆ มาๆ ไม่ว่าเมื่อไรก็ห้ามทิ้งฐานะตัวเอง”
จากนั้นฟางเจิ้งก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปทันที ก่อนจะหมุนตัวกลับ เพียงแต่ทันทีที่หมุนตัวกลับมีสีหน้าไม่สบายใจ ไม่ใช่เพราะศาสนิกชนพวกนี้ แต่เป็นเพราะระบบ! ไม่ได้การแล้ว นี่มันจะเอาเปรียบกันเกินไปแล้ว!
“เจ้าอาวาส รอเดี๋ยวค่ะ ขอถามหน่อยว่าที่นี่นับถือพระโพธิสัตว์แขนงใดคะ?” ตอนนี้เองเสียงเด็กสาวก็ดังแว่วมา
ฟางเจิ้งรีบเก็บความคิดชั่วร้ายทางสีหน้าไปก่อนหมุนตัวกลับด้วยสีหน้าอบอุ่น มองหม่าเจวียนที่ถามเมื่อครู่พลางตอบกลับอย่างนุ่มนวล “วัดนี้นับถือพระแม่กวนอิม คุณโยมยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า?”
“ไม่แล้วล่ะ พวกเราไปดูเองดีกว่า นี่เณรน้อย นายไปเล่นเถอะ” จ้าวต้าถงพูดขึ้น
ความโกรธในใจฟางเจิ้งพุ่งพรวด แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ เพราะระบบกระโดดออกมาอีกแล้ว “อดกลั้นไว้!”
‘ไอ้เวรเอ๊ย!’ ฟางเจิ้งด่าในใจ จากนั้นระงับความโกรธไว้ ขณะจะพูดอะไรบางอย่างพลันอึ้งไป
นัยน์ตามีภาพวูบผ่าน เห็นหม่าเจวียนเดินออกมาจากอุโบสถแล้วสะดุดธรณีประตู ศีรษะดิ่งลงพื้นกระแทกกับบันไดประตู หัวแตกเลือดนอง…แม้ไม่ถึงแก่ชีวิตแต่ก็เจ็บสาหัส พอมองหม่าเจวียนอีกครั้ง ตรงระหว่างคิ้วเป็นสีแดงคล้ำ
ฟางเจิ้งจะพูดบางอย่าง แต่ระบบชิงพูดก่อน “เห็นความลับสวรรค์ได้ แต่พูดไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกลดอายุขัย เสื่อมสภาพทางเพศ!”
‘อะไรวะเนี่ย ระบบ นายมันขี้โกงชะมัด!’ ฟางเจิ้งใกล้จะบ้าแล้ว ระบบทรมานกันเกินไป ดังนั้นจึงได้แต่กลืนคำพูดตรงริมฝีปากไป หลังมองหม่าเจวียนเงียบๆ ปราดหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นว่า “คุณโยมจงระวังทุกเรื่อง วันนี้อาจจะมีภัยนองเลือด”
“ไอ้หลวงจีนเหม็นโฉ่! แกว่าไงนะ? เชื่อไหมว่าฉันจะให้แกนองเลือดเดี๋ยวนี้เลย?” จ้าวต้าถงโกรธใหญ่แล้ว รูดแขนเสื้อขึ้นเผยกล้ามเนื้อ มีท่าทีโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ประกอบกับสีหน้าแบบนี้แล้วจึงดูมีพลังขึ้นมาหลายส่วน
ฟางเจิ้งกำลังจะมองค้อนแต่ก็ระงับเอาไว้โดยพลัน ตามนิสัยของระบบแล้วเดาว่าไม่น่าจะยอมให้เขาแสดงสีหน้าที่เป็นการดูถูกชื่อเสียงไต้ซือ ดังนั้นจึงอดกลั้นเพลิงโทสะไว้อย่างแน่วแน่ มองจ้าวต้าถงด้วยจิตใจสงบ จากนั้นส่ายหน้าพลางว่า “พูดในสิ่งที่ควรจะพูดแล้ว พวกโยมตามสบาย”
จากนั้นหมุนตัวจากไป
คล้อยหลัง ฟางเจิ้งได้ยินหม่าเจวียนพูดด้วยความโมโห “หลวงจีนนี่น่ารังเกียจชะมัด! มีอย่างที่ไหนกันมาแช่งคนอื่นแบบนี้! อุตส่าห์คิดว่าสง่าอยู่บ้าง ดูเป็นมิตร ให้คนอื่นสบายใจ แต่ดูแล้วคงจะเป็นพวกลวงโลก!”
“ฉันก็บอกแล้วนี่ หลวงจีนสมัยนี้มีแต่พวกลวงโลก! มีของจริงที่ไหนกัน? รู้รึยังว่าทำไมเมื่อกี้ฉันถึงให้เขาไสหัวไปไวๆ? คงจะออกมาแล้วก็…พวกเธอคงไม่รู้หรอก ตอนแรกฉันเคยไปมาหลายวัดแล้ว หลวงจีนก็มีแต่แบบนี้ทั้งนั้น! พูดว่าเธอจะมีภัยนองเลือดให้ตกใจ จากนั้นก็ให้บริจาคเงินจุดธูปขอพรอะไรพวกนั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่เพื่อหลอกเหรอ? เจ้านี่ก็เป็นแบบนั้นแหละ เป็นพวกลวงหลอกจนเป็นนิสัย ฉันว่านะทุกคนแค่ดูก็พอแล้ว จะได้รีบไป ที่แบบนี้ฉันว่าไม่น่ามองหรอก มีวัดอยู่ในป่าเขาแบบนี้ ไม่ใช่ทำเรื่องไม่ดีก็เป็นที่ไว้ฆ่าคนนั่นแหละ…” จ้าวต้าถงพูดเสียงดังมาก เหมือนกลัวว่าฟางเจิ้งจะไม่ได้ยิน
เห็นได้ว่ากำลังยั่วโมโหฟางเจิ้ง…
…………………..