บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 456 ขออาหารกิน
“น่าจะเป็นผู้หญิง…” ฟางเจิ้งงึมงำ
ขณะนี้เอง มีเสียงเพลงดังขึ้นข้างหู
“นาฬิกาดังกริ๊งๆ ตรงขอบหน้าต่าง
สายฝนยังตกอยู่นอกหน้าต่างนั้น
ฉันเพ่งมองดูกีตาร์ที่มีฝุ่นเกาะ
เพียงแต่สายของความรักเส้นนี้คลายออกแล้ว
ฉันคือดอกลิลลี่ที่ร่ำไห้ในแจกัน
…”
“อาจารย์ นี่มันเพลงอะไร เพราะมาก…แถมเศร้านิดๆ” เด็กแดงถามอย่างแปลกใจ
ฟางเจิ้งเงยหน้ามอง เห็นดอกลิลลี่กระถางหนึ่งวางบนระเบียงชั้นสาม หน้าต่างเปิดออก ผ้าม่านสีขาวพลิ้วเบาๆ ตามแรงลม บนหน้าต่างแขวนกระดิ่งไว้อันหนึ่ง กำลังโยกไปตามลมส่งเสียงดังก กังวาน เหมือนเต้นรำประกอบเพลงนี้อยู่
เพลงยังไม่จบ เสียงดนตรีก็หยุดลง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรในห้อง
“อาจารย์ ข้าถามท่านอยู่นะ นี่เพลงอะไร?” เด็กแดงถาม
ฟางเจิ้งตอบ “เพลงดอกลิลลี่ที่ร่ำไห้ อาจารย์เคยได้ยินสมัยเรียนหนังสือ ตอนนี้ไม่มีใครฟังกันแล้วล่ะมั้ง…” ฟางเจิ้งได้ฟังเพลงที่นิยมในสมัยนี้น้อยมากแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีคนฟ ฟังเพลงสมัยตอนเขายังเป็นเด็กหนุ่มหรือไม่ บางทีอาจมีอยู่ ทว่าที่ฟังกันมากกว่าคงเป็นคนกลุ่มนั้นซึ่งยังหวนคิดถึงอดีต…
ฟางเจิ้งส่ายหน้า เพลงนี้ทำให้เขานึกถึงอะไรมากมาย นึกถึงเสียงด้ามปากกาเสียดสีกับกระดาษในห้องเรียนสมัยเรียน นึกถึงสัญลักษณ์เขียนด้วยชอล์กบนกระดานดำแต่ละตัวที่ทำให้เขามึนหัว นึกถึงเด็กผู้หญิงที่เขาเคยแอบมอง…
“ดอกลิลลี่ที่ร่ำไห้? ฟังดูเศร้ามาก ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว” เด็กแดงพูดพึมพำ
ตอนนี้เองมีเสียงร้องตกใจดังแว่วมาจากบนตึก “กรี๊ด! ระวัง!”
โครม!
ฟางเจิ้งรู้สึกว่าศีรษะถูกอะไรบางอย่างกระแทก ตามด้วยดินเหนียว เศษกระเบื้องร่วงหล่น ดอกไม้ดอกหนึ่งตกตามลงมา ฟางเจิ้งใช้มือคว้าดอกไม้ไว้ กลีบดอกแกว่งไกวแต่ไม่กระจายออก
“ขอโทษค่ะๆ…” เสียงร้องตกใจของเด็กสาวดังมาจากข้างบนตึก
ฟางเจิ้งปัดดินบนศีรษะโล้นออก พอเงยหน้ามองก็เห็นเด็กสาวที่สวมเสื้อผ้าแบบยูนิเซ็กส์กำลังพูดด้วยความตึงเครียด ก่อนจะหดหัวกลับไป
“ไม่ใช่มั้ง โผล่หัวมาแล้วยังคิดหนีอีก ไม่รู้จักคำว่าหนีนักบวชได้แต่หนีวัดไม่ได้เหรอ” เด็กแดงว่า
โป๊ก!
ฟางเจิ้งยกมือเขกหัวเด็กแดงไปทีหนึ่ง เด็กดื้อนี่พูดจาอะไรไร้สาระ? พวกเขาต่างหากคือนักบวชไม่ใช่รึไง!
เด็กแดงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “อาจารย์ คำพูดหยาบคายแต่มีเหตุผล เดิมทีก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่รึ เป็นคนแบบไหนกัน ทำกระถางดอกไม้ตกใส่คนอื่นแล้วหดหัวหนี ไม่พูดอะไรสักคำเลย…”
“ใครไม่พูดคะ?” เสียงผู้หญิงหอบหายใจดังมา ตามด้วยเด็กสาวผมเปียหางม้ายาววิ่งเข้ามาหา หางตางอน ริมฝีปากบาง สัดส่วนดูแข็งแรงเล็กน้อย ทั้งตัวดูมีชีวิตชีวามาก เปี่ยมล้นไปด้วยคว วามกระปรี้กระเปร่า เธอสวมกางเกงยีนส์กับเสื้อเชิ้ต ดูไปแล้วค่อนข้างไม่บ่งชัดชายหญิง…
“สีกาเป็นคนทำ?” เด็กแดงถามพลางชี้กระถางดอกไม้บนพื้นข้างฟางเจิ้ง
เด็กสาวหน้าแดง “ค่ะ ฉันทำเอง คือว่า ขอโทษนะคะ…ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” พอมองฟางเจิ้ง เด็กสาวหน้าแดงกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจโล่งอก กระถางดอกไม้นี่ไม่ได้ฆ่าคนตาย เธอท่อ งอมิตาพุทธแล้วจริงๆ ขณะเดียวกันยังประหลาดใจมาก หัวหลวงจีนนี่ทำจากอะไรกันแน่? กระถางดอกไม้ตกจากชั้นสามกระแทกใส่กลับไม่เป็นอะไรเลย…
“อมิตาพุทธ สีกาไม่ต้องกังวล อาตมาไม่เป็นไร” ฟางเจิ้งไม่เป็นไรจริงๆ จีวรขาวจันทร์ปกป้องกาย อย่าว่าแต่กระถางดอกไม้เลย ลูกระเบิดตกใส่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อไม่เป็นไร ไฉนต้องสร้างคว วามลำบากให้คนอื่น?
ทว่าเด็กแดงไม่พอใจ กล่าวว่า “ไม่เป็นไรได้อย่างไร อาจารย์ข้าถูกของตกใส่…”
“ถ้าอย่างนั้นเธอจะเอายังไง?” เด็กสาวรู้แล้วว่าหลวงจีนนี่พูดง่าย แต่เจ้าเด็กน้อยที่ดูเหมือนตุ๊กตากระเบื้องนี่รับมือยากมาก
เด็กแดงขบคิดแล้วจึงพูด “อย่างน้อยก็ต้องเลี้ยงอาหารล่ะมั้ง?”
ฟางเจิ้งกำลังจะอบรมเด็กแดงสักประโยค พอได้ยินแบบนั้นกลับรู้สึกเหมือนจะมีเหตุผล…ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว ไม่มีคนเลี้ยงอาหารก็ต้องนั่งอดอยากตรงขอบทางเท้าอีก
เด็กสาวอึ้งไป ก่อนจะพูดยิ้มๆ “ก็คิดว่าเรื่องใหญ่อะไร ได้ ฉันเลี้ยงข้าวเอง! ตกลงไหม?”
เด็กแดงเผยยิ้มลำพองใจ แต่ก็ยังชำเลืองมองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งฝืนยิ้มบอก “สีกา ศิษย์อาตมาหัวดื้อ อย่าถือสาเลย” จะอ้าปากขอข้าวกินตรงๆ ฟางเจิ้งก็กระดากอายนิดหน่อย หากให้เขาพูดจะต้ องปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
เด็กแดงเสียกำลังใจในการทำงานทันใด เขาพบว่าอาจารย์คนนี้ไร้ความสามารถจริงๆ! เขาปูทางไว้ดีขนาดนี้แล้ว แต่ผลคือเรือก็ยังล่มเมื่อจอด
ทว่าเด็กสาวกลับยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ว่ายังไงก็ต้องเลี้ยงอาหาร อ้อ ถามหน่อยได้ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งถามกลับ “สีกาอยากถามอะไรเหรอ?”
“ท่านเป็นนักบวชจริงเหรอคะ?” ดวงตาโตของเด็กสาวเปล่งประกายแวววาว ดูอยากรู้จริงๆ
ฟางเจิ้งพยักหน้า “อมิตาพุทธ…”
“อย่าพูดจาไร้สาระ ถ้าอาจารย์ข้าไม่ใช่นักบวช โลกนี้ก็ไม่มีนักบวชแล้ว” เด็กแดงพูดอย่างมีเหตุผลถูกต้อง แม้แต่สุธนกุมารใต้ฝ่ามือพระโพธิสัตว์อย่างเขายังถูกโยนมาให้สั่งสอนเลย นัก กบวชแบบนี้เป็นนักบวชปลอมได้หรือ?
ทว่าเมื่อคำพูดเขาถึงหูเด็กสาวกลับกลายเป็นเรื่องตลก เธอมองแค่ว่าอย่าถือสาคำพูดเด็ก ไม่ได้คิดอะไร แต่ก็มั่นใจอยู่เล็กน้อยว่าหลวงจีนตรงหน้าคือนักบวชจริงๆ พอเติมเต็มความอยาก กรู้อยากเห็นแล้วจึงปรบมือ “เอาละ ไป เราไปกินอาหารมื้อใหญ่กัน!”
“เอ่อ ไม่ไปกินบ้านสีกาหรือ?” เด็กแดงกลัดกลุ้มแล้ว บนตึกคือบ้านของเด็กสาว ทำไมต้องออกไปข้างนอกอีก
เด็กสาวหน้าแดง “คือว่า…ฉันทำอาหารไม่เป็น…”
“บุพการีสีกาล่ะ?” เด็กถามซักถาม
“ไม่อยู่ ถ้าอยู่ก็คงง่ายแล่ว” เด็กสาวส่ายหน้าเศร้าๆ
ทว่าฟางเจิ้งกลับมองเห็นประกายความเจ้าเล่ห์ในแววตาของเด็กสาว เห็นได้ว่าเธอกำลังโกหก แต่จุดนี้ไม่สำคัญ ฟางเจิ้งไม่มีความจำเป็นต้องกินข้าวบ้านเธอ
พวกเขากินมื้อกลางวันกันที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฟางเจิ้งกับเด็กแดงสั่งบะหมี่ซุปใสมาคนละชาม เด็กสาวนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าตกใจ ดวงตาโตกลอกไปมาไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ และจะแอ อบมองฟางเจิ้งกับเด็กแดงตลอดเวลา
เห็นว่าสองคนนี้ไม่มีท่าทีรังเกียจ แต่กลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แถมสุดท้ายยังซดน้ำซุป ไม่เหลือทิ้งแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะฟางเจิ้ง ทุกการเคลื่อนไหวมีกลิ่นอายนักบวชอยู่เสี้ยวหนึ่ง ประหนึ่งผ่องแผ้วไร้มลทิน ไม่ช้าและไม่เร็ว มองแล้วสบายใจมาก ราวกับว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นต้นไม้ ต้นหญ้า ภูเขา เป็นธรรมชาติ เดิมทีควรอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว ไม่มีวันโผล่มาอย่างกะทันหัน ทว่ากลับทำให้ใจคนเกิดความสงบและเป็นมงคล สุขสบายอย่างยิ่ง
หลังกินอาหารเสร็จ ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ ขอบคุณสีกามาก”
“ไม่เป็นไรค่ะ นี่เป็นสิ่งที่ฉันควรทำอยู่แล้ว…” เด็กสาวรีบโบกมือ ก่อนถามอีกครั้งว่า “พวกท่านเป็นนักบวชจริงหรือคะ?”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก
เด็กแดงกลอกตามองบน