บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 457 ขนสุนัขเต็มพื้น
เด็กสาวยิ้มเก้อเขิน “ขอโทษค่ะ คือว่าฉันไม่เคยเจอหลวงจีนจริงๆ เมื่อก่อนมีแต่นักบวชปลอมมาเร่ขายยันต์คุ้มกันข้างถนนอะไรพวกนี้ เห็นเยอะๆ เข้าเลยสับสนน่ะค่ะ”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย ไม่ใส่ใจอะไร เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อมิตาพุทธ สีกาอย่าใส่ใจ อาตมาขอลาตรงนี้แล้วกัน”
เด็กสาวมองแผ่นหลังฟางเจิ้งกับเด็กแดงพลางขบคิด สุดท้ายก็ตามไปถาม “หลวงพี่ทั้งสองท่าน ถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งพูด “เชิญสีกาถาม”
“พวกท่านไม่ใช่คนท้องที่ใช่ไหมคะ?” เด็กสาวถาม
ฟางเจิ้งพยักหน้า
เด็กสาวกลอกตาโต ถามด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านไม่มีเงินกินข้าวใช่ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งตะลึงงัน เด็กแดงพลันก้มหน้านับมดทันที น่าขายหน้า! ผู้ใหญ่สองคนไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าว!
ทว่าฟางเจิ้งกลับไร้กังวล ตอบยิ้มๆ “อาตมาไม่มีเงินกินข้าวจริงๆ อาตมาเป็นนักบวช จะต้องการเงินไปทำไม?”
“เอ่อ…ฉันเพิ่งเคยเจอคนจนที่มีเหตุผลสมควรแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย…” เด็กสาวพูดตามจิตใต้สำนึก
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นถึงกับหมดคำจะพูด…อย่าตรงไปตรงมาได้หรือเปล่า? อย่าพูดตรงๆ ได้ไหม? พูดให้รื่นหูกว่านี้ไม่ได้หรือไง? ร้องไห้แล้ว!
เด็กสาวรีบบอก “หลวงพี่ ขอโทษนะคะ ปากฉันไม่มีหูรูดแบบนี้ประจำ ชอบพูดจามั่วซั่ว คือว่า ถ้าพวกท่านไม่มีที่พักหรืออาหาร ฉันจัดการให้จะว่าไงคะ?”
ฟางเจิ้งอึ้งงัน เด็กแดงพูดอย่างตกใจระคนดีใจ “จริงรึ? ดีเลย!”
ฟางเจิ้งเขกหัวไปทีหนึ่ง เขกจนเด็กแดงกุมศีรษะไปนั่งยองนับมดอยู่ข้างๆ
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อมิตาพุทธ ไม่ทำคุณประโยชน์ก็ไม่รับรางวัลตอบแทน สีกาทำกระถางดอกไม้ตกใส่หัวอาตมา แต่ก็เลี้ยงอาหารอาตมามื้อหนึ่ง ถือว่าหายกันทั้งสองฝ่ายแล้ว ถ้าจะเลี้ยงอาหารอาตมาอีก อาตมารับไว้ไม่ได้หรอก”
“ไม่ใช่ให้กินให้พักฟรีๆ นะคะ ฉันอยากขอให้หลวงพี่ช่วยหน่อย…” เด็กสาวรีบพูดให้กระจ่าง
ฟางเจิ้งขบคิดแล้วมองดวงตาโตเฝ้ารอคอยของเด็กแดง ก่อนนึกถึงเรื่องของตนอีกครั้ง หากหาเป้าหมายที่จะช่วยเหลือไม่พบ ทั้งสองคนก็อย่าคิดกลับไปเลย กลับไปแล้วประตูไร้ลักษณ์อาจจะประท้วงเอาได้ เขาไม่รู้ว่าภารกิจจะสำเร็จเมื่อไร ถ้าหิวอยู่ตลอด นอนอยู่ข้างทาง คงไม่ดีเท่าไรนัก
ฟางเจิ้งเลยพยักหน้ากล่าว “ต้องดูว่าสีกาจะให้อาตมาช่วยแบบไหน”
เด็กสาวยิ้ม ยื่นมืองามออกมาข้างหนึ่ง “ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะคะ ฉันติงหนิง! หลวงพี่ชื่ออะไรคะ?”
“อาตมาฟางเจิ้ง นี่คือจิ้งซิน ศิษย์ของอาตมา” ฟางเจิ้งไม่ได้จับมือกับเด็กสาว แต่ประนมสองมือแสดงความเคารพ
ติงหนิงยิ้มๆ พูดอย่างใจกว้างว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ตอนนี้เราเกี่ยวข้องกันแบบว่าจ้างงานแล้วใช่ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งรู้ว่าติงหนิงกกำลังล้อเล่น จึงหัวเราะตาม
“ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง เร็วๆ นี้เจ้านี่ตามจีบสาวคนหนึ่งอยู่ เขาให้ฉันช่วย…ให้ตาย ท่านไม่รู้หรอกว่าแผนการเขาใหญ่แค่ไหน ปัญหาคือฉันคนเดียวทำไม่ไหว ดังนั้น…” พูดถึงตรงนี้ ติงหนิงหัวเราะคิกคัก “ไม่ว่ายังไงหลวงพี่ทั้งสองต้องช่วยฉันหน่อยนะคะ…”
“เอ่อ เพื่อนสีกาจีบสาว สีกาช่วย? เอ่อ…แล้วช่วยยังไง?” ฟางเจิ้งก็รู้สึกว่าน่าสนใจ แต่ปัญหามาแล้ว เรื่องนี้คนอื่นสอดมือยุ่งได้หรือ?
ติงหนิงพูด “ทำตามแผนการก็พอ เราสองคนวางแผนนี้มาหนึ่งอาทิตย์กว่าจะเสร็จ ที่สำคัญคือเราเอาวิธีที่คิดได้ทั้งหมดใส่เข้าไป ก็เลยต้องมีคนช่วยหลายคน อีกอย่างคนพวกนี้ต้องไม่ใช่คนที่เขากับนางฟ้าของเขารู้จักด้วย เพื่อกันไม่ให้โป๊ะแตก แต่คนที่พวกเรารู้จักหลักๆ อยู่ในแวดวงเดียวกัน ดังนั้นเลย…แต่ตอนนี้ใช้ได้แล้ว พอมีไต้ซือช่วย ขั้นตอนพวกนี้เลยแก้กันได้สบายๆ เอาละ เพื่อฉลองการก่อตั้งกลุ่มจีบนางฟ้าของพวกเรา เย็นวันนี้ฉันจะเลี้ยงมื้อใหญ่พวกท่านเอง!”
“ข้าจะกินไอศกรีม!” เด็กแดงชิงพูดขึ้นก่อน ตอนแรกโอวหยางเฟิงหวาเคยพาเขาไปกิน เจ้าเด็กนี่หลงรักรสชาตินั้นเข้าแล้ว ขึ้นเขามาไม่ได้กิน ลงเขามามีโอกาสแล้วย่อมไม่เกรงใจ
ติงหนิงตบอกบอก “ไม่มีปัญหา ฉันจัดการทุกอย่างเอง!”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราต้องทำอะไร?” ฟางเจิ้งถาม
“ตอนนี้เหรอ ก็ต้องเตรียมปฏิบัติการแผนขั้นแรก!” ติงหนิงตอบกลับ
“ขั้นแรกคืออะไร?” เด็กแดงถาม
“โทรศัพท์แจ้งเพื่อนฉันว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว เขานัดนางฟ้าออกมาได้” ติงหนิงยิ้มดีใจ สายลมพัดผ่านมา รอยยิ้มนั้นบริสุทธิ์มาก เส้นผมยาวปลิวไสวราวกับดอกไม้ช่อหนึ่ง ดูแล้วสวยมาก
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงพูดไม่ออกนิดๆ อีกฝ่ายหาแฟนสาว แต่ทำไมเด็กนี่ถึงดีใจขนาดนี้?
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฝั่งนั้นถึงโทรมาหา บอกว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว
ติงหนิงพลันวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน ไม่นานก็หยิบไวโอลินออกมาตัวหนึ่งและยังมีเสื้อผ้าถุงใหญ่
“เอ่อ สีกา เอาของพวกนี้มาทำอะไร?” ฟางเจิ้งไม่เข้าใจเรื่องโรแมนติกเลย
“พวกนี้คืออุปกรณ์การแสดง ขาดไม่ได้” ติงหนิงเรียกฟางเจิ้งกับเด็กแดงขึ้นแท็กซี่ “โชเฟอร์ ไปร้านอาหารตะวันตกหงไห่อั้น”
บนรถ ติงหนิงพูดขึ้นว่า “กินอาหารฝรั่ง ฟังเพลงพิเศษ โรแมนติกสุดๆ ไปเลย! น่าเสียดาย เพื่อนฉันคนนั้นขาดเงินทุน จ้างแบบมืออาชีพไม่ได้ ได้แต่ให้มือสมัครเล่นอย่างฉันมา”
“สีกาเล่นไวโอลินเป็นด้วย?” ฟางเจิ้งมองติงหนิงอย่างตกใจ เด็กคนนี้ดูห้าวคล้ายกับทอมบอย ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่สงบจิตใจเรียนดนตรีได้
ติงหนิงมองค้อนฟางเจิ้งทีหนึ่ง “อย่าดูถูกฉันนะคะ ฉันเรียนมาจากโรงเรียนที่ได้มาตรฐาน เรียนมาแล้ว…เกือบครึ่งเดือน”
“เอ่อ…” ฟางเจิ้งหมดคำจะพูด เกือบครึ่งเดือน นี่จะเล่นทำนองออกมาได้หรือ?
เด็กแดงพูดพึมพำ “ข้าได้ยินว่าถ้าเล่นไวโอลินดีจะเพราะมาก เล่นไม่ดีจะเหมือนเลื่อยขาโต๊ะ…”
สรุปคือเขาโดนมองค้อนอีกคน ติงหนิงพูดเศร้าๆ ว่า “พวกท่านให้กำลังใจฉันหน่อยไม่ได้รึไง สู้ๆ อะไรอย่างนี้? ฉันไม่ได้พาพวกท่านให้ถ่วงแข้งถ่วงขานะ…”
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงมองตากัน แล้วพูดอย่างพร้อมเพรียง “สู้ๆ สู้ๆ!”
“ก็พอได้หน่อย” ติงหนิงยิ้มก่อนเปิดถุงใหญ่ออก พูดโม้ว่า “ในนี้คืออุปกรณ์การแสดง อีกเดี๋ยวฉันต้องปลอมเป็นผู้ชาย หมวกสูงจะปิดผมยาวได้…เฮ้อ ว่าแล้วว่าผมยาวเป็นปัญหาจริงๆ”
“สีกาไม่ชอบผมยาวรึ?” ฟางเจิ้งถาม
ติงหนิงตอบแบบสบายๆ “ไม่ชอบค่ะ มันดูแลยากเกินไป ตั้งแต่ฉันไว้ผมยาว สิ่งที่แม่ฉันพูดบ่อยที่สุดคือขนหมาเต็มพื้นไปหมด! บ้าชะมัด ฉันมีขนหมารึไง? เฮ้อ…”
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงได้ยินดังนั้นก็เกือบหัวเราะ ทว่าก็ยังเคารพนายจ้าง อดกลั้นเอาไว้!
ติงหนิงมองสองคนปราดหนึ่ง “เอาละ หัวเราะไปเถอะ ใช่ว่าไม่เคยถูกหัวเราะสักหน่อย”
ผลปรากฏว่า…
“ฮ่าๆๆ…” ฟางเจิ้งกับเด็กแดงยังไม่หัวเราะ แต่คนขับรถหัวเราะก่อน น้ำเสียงดังกังวาน
“คุณหุบปากไปเลย ไม่ได้ให้คุณหัวเราะสักหน่อย!” ติงหนิงร้องโวยวาย ผลคือคนในรถต่างหัวเราะกันหมด…
เมื่อถึงที่หมาย ติงหนิงพุ่งเข้าไปในร้านเสื้อผ้าอย่างมาดเท่ ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับพนักงาน หลังจากพูดรัวไม่รู้กี่ประโยคแล้ว ในที่สุดพนักงานก็ให้ยืมห้องลองชุดด้วยความจำใจ ด้วยเหตุนี้ไม่นานก็มีคนสวมสูท สวมรองเท้าหนัง รูปร่างค่อนข้างผอม สวมหมวกทรงสูง ไว้เคราและจอนผมเดินออกมา เพียงแต่ว่า ผิวนั่น…ขาวเกินไปหน่อย!
……………………