บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 458 ไวโอลิน
“เป็นไงคะ? จำฉันในแบบเดิมได้ไหม?” ติงหนิงโน้มเข้าไปใกล้หน้าฟางเจิ้ง ถามอย่างจริงจังมาก
ฟางเจิ้งตอบอย่างจริงจังมากเช่นกัน “มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นหญิงแต่งชาย แต่ว่า…มองไม่ออกนะว่าเป็นสีกา”
“นั่นโอเคค่ะ ในห้องอาหารตะวันตกจะใช้แสงสลัวกัน ถึงตอนนั้นก้มหน้าหน่อย ทำท่าทางเคลิบเคลิ้ม อีกฝ่ายน่าจะจำฉันไม่ได้…เฮ้ย มาแล้ว! พวกเขามาแล้ว! หาที่หลบเร็ว!” ติงหนิงรีบไปหลบ หลังฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นจึงมองไป เห็นแต่รถแท็กซี่คันหนึ่งจอด ตามด้วยเด็กหนุ่มตัวใหญ่เดินลงมา เด็กหนุ่มไว้ผมสั้น ดูมีชีวิตชีวามาก การแต่งตัวเรียบง่ายแต่ดูแล้วโดดเด่นไปทั้งตัว เห็นได้ชัดว่านี่คือผลจากการจับคู่เสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง เด็กหนุ่มตัวใหญ่เปิดประตูอย่างขันแข็ง ผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมา รูปร่างผอมสูง มีส่วนเว้าโค้ง เส้นผมยาวราวน้ำตกดำ ส สยายอยู่ข้างหลัง แสงตะวันสาดลงด้านบน สะท้อนออกมาเป็นประกายเส้นๆ…เด็กสาวไม่ได้ตื่นเต้นเท่าเด็กหนุ่ม ดูสงบนิ่งและมีมารยาทมาก การเดินก็ดี การพูดการจาก็ดี ดูเหมาะสมอย่างยิ่ง
“เป็นไง? เป็นแม่แบบเทพธิดาพอไหมคะ?” ติงหนิงชะเง้อหน้าออกมาจากข้างหลังฟางเจิ้ง ถามด้วยสีหน้าจริงจัง มองจากสีหน้าเธอไม่มีความอิจฉาริษยาเลย ดวงตาโตใสสะอาดมาก
เด็กแดงพยักหน้าบอก “สวย แต่ข้าว่าสีกาสวยกว่าเล็กน้อย”
ติงหนิงได้ยินแล้วพลันหัวเราะ หยิกใบหน้าเล็กๆ ของเด็กแดง พูดยิ้มๆ ว่า “ปากหวานจริง กลับไปจะเลี้ยงไอศกรีมเธอเยอะๆ เลย! แต่ฉันรู้ตัวดีนะว่าฉันมันลูกเป็ดขี้เหร่ จะไปเทียบกั บหงส์ฟ้าขาวได้ยังไง เอาเถอะ ไม่พูดแล้ว ฉันเข้าไปละ ช่วยฉันเฝ้าเสื้อผ้าด้วยนะคะ”
“พวกเรารับผิดชอบเฝ้าเสื้อผ้ารึ?” เด็กแดงถามในสิ่งที่ฟางเจิ้งสงสัย
“ไม่ใช่แน่นอน ช่วงหลังยังมีงานให้พวกท่านทำอีก อันนี้ฉันทำคนเดียวไหว” เอ่ยจบติงหนิงก็วิ่งเข้าไป
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงมองตากัน ฟางเจิ้งกล่าวว่า “ไปเถอะ เข้าไปดูด้วยกัน พูดจริงๆ นะ อาจารย์ไม่วางใจไวโอลินของสีกาติง…”
เด็กแดงพยักหน้าตาม “รับของอีกฝ่ายมาแล้ว เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องช่วย กินข้าวของอีกฝ่าย เป็นการผูกกรรมกันแล้ว หากไม่ทำงานคงจะไม่ดีนัก”
สองคนจึงตามเข้าไปในร้านอาหารตะวันตก
ที่นี่เป็นร้านอาหารตะวันตกที่โออ่ามาก ด้านนอกเป็นผนังสีดำทั้งหมด โลโก้ตัวใหญ่เด่นตาอย่างยิ่ง ตอนผลักประตูใหญ่โลหะเข้าไปยังเกิดเสียงดังแกรกๆ คล้ายเกิดสนิม แต่ก็เหมือนไม ม่ใช่ ความรู้สึกหนักๆ แบบนั้นทำให้คนรู้สึกสบายมาก พอเข้าประตูใหญ่ไป มีผู้หญิงสวมสูทยืนตัวเหยียดตรงอยู่ตรงปากประตู พยักหน้าด้วยรอยยิ้มบาง “ยินดีต้อนรับค่ะ”
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงทำอะไรไม่ถูกพร้อมกัน ไม่เคยเข้าร้านอาหารมีระดับสูงแบบนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเลย
ดีที่หนึ่งเป็นเจ้าอาวาส เป็นนักบวช อีกหนึ่งเป็นมหาราชากลางภูเขา ในเวลาสำคัญจึงยังรักษาความสงบไว้ได้ ยิ้มตอบกลับก่อนจะเดินเข้าไปอย่างสบายๆ พยายามไม่ส่งเสียงตลอดทาง ทำท่าที ว่าฉันคุ้นชินมาก ต่อมาทั้งสองคนถูกผู้หญิงคนหนึ่งพาไปนั่งโต๊ะ หญิงงามยิ้มบางๆ พลางถาม “ทั้งสองท่านรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ?”
เด็กแดงกระแอมไอ เลียนแบบจากที่เห็นมาในอินเทอร์เน็ต ตอบไปด้วยมาดขรึมว่า “เอาเมนูมาดูก่อน อาจารย์ ข้าชอบดื่มกาแฟบลูเมาท์เทนจริงๆ ลาเต้ก็ดี ท่านล่ะ?”
ฟางเจิ้งไม่ได้พูดอะไร เพราะผู้หญิงส่งเมนูมาให้อย่างมีมารยาทมาก ฟางเจิ้งไม่มองประเภทของข้างหน้าเลย แต่กวาดสายตามองราคาข้างหลังแวบหนึ่ง รวมถึงอักษรข้างบน เขาอยากจะตบเด็กแดงให้ ตายนัก! เขาเห็นว่าข้างบนเขียนประโยคหนึ่งว่า ‘ร้านเราบริการฟรีน้ำเปล่า แต่เก็บค่าที่นั่งทุกท่าน สิบหยวน!’
ทว่ารายการกาแฟอื่นๆ ราคาต่ำสุดคือห้าสิบหยวน!
ส่วนชาอะไรพวกนี้ ฟางเจิ้งไม่มองเลย น้ำเปล่าสิบหยวนแล้ว ชาจะถูกได้หรือ?
เด็กแดงไม่มองเมนู เขายังคงเสแสร้ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “อาจารย์ ข้าแนะนำว่าให้ท่านดื่มลาเต้ รสชาติไม่เลว”
ฟางเจิ้งวางเมนูลงตรงหน้าเขา เอ่ยยิ้มๆ “ศิษย์อยากดื่มอะไรก็สั่งเองเถอะ แล้วก็จ่ายเงินเองด้วย”
เด็กแดงกวาดสายตามองราคาข้างบนแวบหนึ่ง ใบหน้าแดงโดยพลัน หน้าแรกคือกาแฟ แต่ละอย่างราคาหลายสิบหยวนขึ้น พอมองเหล่าคนข้างๆ ที่ดื่มกาแฟ ต่างก็ได้แก้วเล็กกันทั้งนั้น ไม่พอเข ขาดื่มอึกหนึ่งด้วยซ้ำ! เด็กแดงเลยกระแอมไอ “ความจริงชาก็ดีเหมือนกัน”
พลิกไปหน้าหลัง ชาหลงจิ่งซีหูกาละ 256 หยวน!
เส้นดำพลันปรากฏเต็มหน้าผากของเด็กแดง แทบจะด่าแม่แล้ว! นี่คือการปล้นเหรอ? ขึ้นเขาไปจุดธูปดอกหนึ่งเป็นเงินเท่าไรเชียว! ที่สำคัญคือนั่นน่ะศักดิ์สิทธิ์มากด้วย!
เด็กแดงมองฟางเจิ้งอย่างน่าสงสาร ด้วยความจำใจ ฟางเจิ้งเลยได้แต่ใช้ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง!
บริกรหญิงกำลังรอหลวงจีนสั่งอาหาร นึกอะไรบางอย่างออกทันควัน จากนั้นมองไปตรงหน้าอีกที คนมาจากไหนกัน?
“หืม? แปลกมาก หรือว่ามองผิด?” บริกรหญิงไม่ได้คิดอะไรมาก หมุนตัวเดินไป
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงถึงค่อยผ่อนลมหายใจโล่งอกราวกับปลดภาระหนักอึ้งออก…ศีรษะเล็กกับใหญ่ชะเง้อออกไปเริ่มมองหาติงหนิง สรุปคือห่างไปไม่ไกล พวกเขาเห็นติงหนิงมาอยู่ข้างโต๊ะตัวหนึ ง คนที่นั่งสองฝั่งโต๊ะคือเด็กหนุ่มกับนางฟ้าของเขา ไม่รู้สามคนพูดอะไรกัน แต่ติงหนิงแสดงความเคารพอย่างสุภาพบุรุษมาก จากนั้นเริ่มสีไวโอลิน
ภาพนี้ดึงดูดสายตาคนไม่น้อย หลายคนเข้าใจว่ากำลังทำอะไร นัยน์ตามีเจตนาดี ใบหน้าประดับรอยยิ้มบาง
เด็กหนุ่มดูตื่นเต้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด นางฟ้าตรงหน้ายังคงยิ้ม เหมือนตกใจระคนดีใจนิดๆ ทว่าไม่ได้แปลกใจ ยังคงสบายๆ เหมือนเดิม
“อาจารย์ ข้าว่าพี่ติงหนิงดูพึ่งพาไม่ได้เลย” เด็กแดงพูดงึมงำ
“เรียกพี่เหรอ? นายเป็นบรรพบุรุษเธอได้แล้วไม่ใช่รึไง?” ฟางเจิ้งกล่าว
“นางซื้อไอศกรีมให้ข้าแล้ว ซื้อของอร่อยให้ด้วย…” เด็กแดงตอบอย่างมีเหตุผลถูกต้อง
ฟางเจิ้งพูดไม่ออกโดยพลัน ศิษย์จอมล้างผลาญคนนี้ ถ้ามีนมก็เป็นมารดาได้เลย! ไม่มีหลักการแม้แต่น้อย แต่ฟางเจิ้งชินชาแล้ว จึงพูดเสียงเบา “พูดตามจริงนะ อาจารย์ก็ว่าซ้อมไวโอลินมาแค ค่เกือบครึ่งเดือนคงจะเล่นได้ไม่เท่าไรหรอก”
“ถ้าเล่นไม่ดีก็พังมิใช่รึ?” เด็กแดงพูด
ฟางเจิ้งเงียบ เด็กแดงว่าต่อ “ถ้าพังขึ้นมาก็ไม่ต้องมีงานช่วงหลังแล้วนี่? เราสองคนก็ไม่มีค่า? เช่นนั้นก็จะไม่มีใครดูแลเรื่องอาหารของเราสองคนอีก?”
ฟางเจิ้งตรึกตรองดู เหมือนว่าจะมีเหตุผล! “ดู…เอ่อ”
ฟางเจิ้งยังไม่ทันเอ่ย เสียงไวโอลินรื่นหูก็ดังขึ้นจากด้านนั้น เสียงไพเราะมาก ไม่มีเสียงเลื่อยขาโต๊ะอย่างที่สองคนคิดแม้แต่น้อย ในทางตรงข้าม มันเพราะมาก!
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงสบตากันทีหนึ่ง ต่างเห็นความตกใจในดวงตาของกันและกัน นี่มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว! ถ้าฟางเจิ้งจำไม่ผิด ถ้าไม่ได้เล่นไวโอลินปีถึงสองปีก็ยากที่จะเล่นออกมาได้ไพเรา าะ หรือว่าติงหนิงที่ดูมีนิสัยเรื่อยเฉื่อยจะเป็นอัจฉริยะไวโอลิน?
แต่ฟางเจิ้งเห็นว่านางฟ้ากลับขมวดคิ้ว ดูไม่พอใจกับเสียงนี้มากอย่างเด่นชัด ทว่าเธอไม่ได้คิดจะขัด แต่ฟังนิ่งๆ เพียงแต่ยิ่งฟังคิ้วยิ่งขมวดขึ้นเรื่อยๆ
ฟางเจิ้งเรียกเด็กแดง ทั้งสองคนเดินเข้าไป คนอื่นมองไม่เห็นพวกเขาย่อมไม่มาขวางทาง