บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 461 รู้เยอะเกินไปแล้ว
“ถึงตอนนั้นท่านจะรู้เอง ตอนนี้พูดยาก อีกอย่างเราต้องรีบทำเวลามากด้วย” ติงหนิงกุมเอว พูดด้วยความขมขื่น “รู้สึกว่าเอวฉันจะเสียแล้วละ เจ้าหวังหลุนนั่น คราวหน้าต้องเลี้ยงข้า าวมื้อใหญ่บำรุงร่างกายฉัน”
ฟางเจิ้งไม่ได้พูดอะไร แต่ยกกล่องเดินตามติงหนิงไป ขึ้นรถแท็กซี่อีกครั้ง ครั้งนี้มุ่งหน้าไปยังอ่าวไม้แดง
ตอนที่เห็นมหาสมุทรสีคราม สายลมทะเลพัดกลิ่นเค็มมา ฟางเจิ้งถึงรู้ว่าครั้งนี้พวกเขามาที่เมืองไห่ปิน! ขณะมองมหาสมุทรไร้ขอบเขต ฟางเจิ้งพลันรู้สึกว่าโอบกอดใต้ฟ้าไว้ จิตใจเบิกบาน รู้สึกสบายไปทั้งตัวไม่น้อย อดพูดไม่ได้ว่า “อมิตาพุทธ นี่คือมหาสมุทร…”
เด็กแดงคิดว่าฟางเจิ้งจะกล่าวปลงอนิจจังอะไรจึงเงยหน้ารอ สรุปคือฟางเจิ้งกลับพูดมาประโยคหนึ่ง “เป็นน้ำทั้งหมดจริงๆ ด้วย…”
เด็กแดงอ้าปากเหวอ
ขณะนี้เอง ติงหนิงวิ่งมาทางนี้พลางโบกมือ รถคันใหญ่ขับเข้ามา รถลากท่อนไม้จำนวนหนึ่งมาด้วย ฟางเจิ้งเขยิบเข้าไปใกล้ด้วยความแปลกใจ เอ่ยถามว่า “สีกา เอาไม้เยอะขนาดนี้มาทำอะไร? ?”
“ของดีค่ะ ช่วยถ่ายของลงจากรถที” ติงหนิงยิ้มลึกลับ ก่อนเริ่มขนท่อนไม้ลงมา ท่อนไม้เหล่านี้ไม่หนา มีความหนาราวๆ แขน ทว่าจำนวนไม่น้อยเลย ถ้าผู้ชายยกเดาว่าต้องใช้แรงบ้าง เ เด็กสาวหรือ…นั่นยากเกินไป
ฟางเจิ้งรีบเข้ามาช่วย คนขับรถก็ช่วยเช่นกัน พวกเขาช่วยกันอยู่นานถึงย้ายไม้ทั้งหมดไปที่ชายหาดได้ จากนั้นติงหนิงจ่ายเงินคนขับรถแล้วส่งเขากลับไป
ติงหนิงมองท่อนไม้บนพื้นพลางหอบหายใจแรง เสื้อเชิ้ตสีขาวกลายเป็นสีดำไปนานแล้ว มือและใบหน้าสกปรก เธอฝืนยิ้มบอกว่า “ถ้ารู้ว่าเหนื่อยขนาดนี้ ฉันน่าจะเปลี่ยนแผนให้เบากว่านี หน่อย ไม่ไหว หวังหลุนต้องเลี้ยงข้าวฉันมื้อใหญ่!”
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ “สีกา เอาไม้พวกนี้มาทำอะไร?”
“เอามาสร้างแบบค่ะ มาช่วยที จะต่อไม้พวกนี้เป็นคำว่า LOVE แล้วก็มีรูปหัวใจด้วย” ติงหนิงพูดจบก็สูดลมหายใจเข้าลึก เริ่มทำงานต่อ
ฟางเจิ้งจนปัญญา ได้แต่ช่วยงานต่อ เพียงแต่สองคนไม่เห็นว่ามีเจ้าตัวเล็กกำลังนั่งยองอยู่ตรงมุม ถือบันทึกประจำวันเล่มหนึ่งอ่านอย่างออกรส…
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดก็วางเสร็จ ติงหนิงเหนื่อยจนนอนแผ่บนทรายไม่อยากขยับตัวแล้ว หนังตายกขึ้นเล็กน้อย มองฟางเจิ้งพลางว่า “หลวงพี่ ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมตัวท่านสะอาดแบบนี้ล ล่ะ ฉันรู้สึกว่าฉันสกปรกจนจะกลายเป็นหมาอยู่แล้ว!”
สิ้นเสียง สุนัขพันธุ์ซามอยด์สีขาวตัวหนึ่งวิ่งผ่าน ขนสีขาวทั้งตัวราวกับหิมะ…
ฟางเจิ้งมองสุนัขซามอยด์วิ่งผ่านแล้วมองติงหนิงอีกครั้ง ติงหนิงกลอกตามองบน พูดเสียงสะอื้นไห้ “สกปรกกว่าหมาอีก ฮือ…”
ฟางเจิ้งพลันขำเด็กสาวคนนี้ เขานั่งลงข้างติงหนิง “สีกา ตอนนี้เราจะทำอะไรกัน?”
“ตอนนี้เหรอ รอค่ะ รอฟ้ามืด พวกเขากินข้าวเย็นแล้วก็น่าจะมา” ติงหนิงกล่าว
“เอ่อ รอนานขนาดนั้นเลย?” ฟางเจิ้งงุนงง เดิมทีคิดว่าจะได้เริ่มแล้ว
ติงหนิงยิ้มเฝื่อนๆ “จะเร็วอย่างนั้นได้ไงคะ หลวงพี่ ท่านหิวเหรอ? ถ้าหิวฉันจะสั่งอะไรมาให้กิน เอ่อ…กินเสร็จแล้วตอนเย็นฉันจะเลี้ยงพวกท่านมื้อใหญ่เลย”
ฟางเจิ้งถามอย่างไม่เข้าใจ “สีกาจะเฝ้าอยู่ตรงนี้ตลอดเลย?”
“แน่นอนค่ะ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาเมื่อไร ถ้ามาแล้วฉันไม่ส่งสัญญาณให้เขา เขาจะไม่รู้เลยว่าจัดแผนการไว้ตรงไหน นั่นน่ะเท่ากับเสียเวลาเปล่า” ติงหนิงตอบ
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูดอีกครั้ง เด็กสาวดีกับเด็กหนุ่มเกินไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง นี่คือเพื่อนกันหรือ? ดีกว่าเพื่อนปกติอีก? อย่างน้อยตอนฟางเจิ้งเรียนหนังสือก็ไม่มีเพื่อนแบบนี้ ไม่ว่าหญ ญิงหรือชายก็ไม่มี เขามองติงหนิงที่นอนแผ่อยู่ตรงนั้น เหนื่อยหอบหายใจแรงพลางเกิดความอิจฉาหวังหลุนอยู่ในใจอย่างยิ่ง ชีวิตคนเรามีคนรู้ใจแบบนี้ได้ เดาว่าก็คุ้มค่าไปเสียทุกอย่ างแล้วนี่? อย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งที่ฟางเจิ้งต้องการ เด็กสาวที่ไม่ได้สวยเป็นพิเศษ เด็กสาวที่จริงใจกับตน ตัวเองก็ดีกับเธอเช่นกัน สองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบเรียบง่าย
“หลวงพี่ ท่านสั่งอาหารสิ อยากกินอะไรก็สั่งเลย” ติงหนิงหยิบมือถือมา
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมายังไม่หิว ค่อยกินตอนเย็นด้วยกันเถอะ”
ทันใดนั้นเอง เด็กแดงโพล่งขึ้นมา “อาจารย์ ท่านมานี่หน่อย!”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้น ก็เพิ่งนึกออกว่าตนยังมีลูกศิษย์กินล้างกินผลาญอยู่อีกคน! เมื่อครู่ตอนทำงานไม่เห็นหน้า ตอนนี้โผล่หัวมาแล้ว! มีอย่างที่ไหนกัน เห็นอาจารย์ทำงาน แต่ตัวเอง วิ่งหนีไปสบายอยู่ข้างๆ ฟางเจิ้งตรึกตรองว่าถึงเวลาที่ต้องฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์กับศีรษะเด็กแดงแล้ว แม้อาจจะไม่มีประโยชน์ แต่ก็ได้ระบายโทสะ!
ฟางเจิ้งยิ้มให้ติงหนิง “สีกา อาตมาจะไปดูหน่อย มีเรื่องอะไรก็เรียกอาตมาแล้วกัน” ว่าจบก็เดินไป
ติงหนิงมองแผ่นหลังฟางเจิ้ง นัยน์ตามีความปีติยินดีและซาบซึ้งใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ เธอรู้ดีว่าเงินติดตัวเธอไม่พอแล้ว ความจริงเธอกับหวังหลุนไม่ถือว่าเป็นคนมีเงิน อย่างน้อยตอน นนี้ก็ไม่นับ! เงินของทั้งสองคือเงินที่บุพการีให้มา สะสมมาเกือบครึ่งปีถึงมีเก็บในทุกวันนี้ ทว่าปัญหามาแล้ว พวกเขามีเงินพอแค่วางแผน ส่วนการย้ายไม้อะไรพวกนี้จ้างคนงานไม่ไหว ว วันนี้ถ้าไม่ได้ฟางเจิ้งช่วย เธอคิดว่าคงได้ตายบนชายหาดแน่…
ตอนนี้ค่าแรงคนแพงเท่าไร ติงหนิงรู้ดี ข้าวราดแกงอาหารเจจะจ้างแรงงานที่ยอมแบกรับความลำบากและคำบ่นแบบนี้ได้หรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่มีทาง…ติงหนิงเลยคำนวณว่าในกระเป๋าตัวเองมีเงิ นเหลือเท่าไร ส่วนเงินที่ได้จากหวังหลุนเมื่อตอนกลางวันก็ใช้ซื้อไม้ จ้างรถ จ้างคนขึ้นของไปแล้ว…
พอนึกถึงกระเป๋าเงินที่ว่างเปล่า ติงหนิงก็ต้องหมดแรงอีกครั้ง
“จิ้งซิน เมื่อกี้นายไปไหนมา?” ฟางเจิ้งเดินเข้าไปอย่างคันไม้คันมือ
เด็กแดงทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เห็นฟางเจิ้งเดินเข้ามาแบบนี้ก็รู้ว่ากำลังจะถูกอัด จึงรีบพูด “อาจารย์ ท่านอย่าเพิ่งโกรธ ข้าจะบอกท่านว่าข้าพบความลับที่ยิ่งใหญ่!”
“อ้อ? ความลับยิ่งใหญ่? ความลับอะไร พูดมา ถ้าพูดดีอาจารย์จะให้นายสองฝ่ามือ” ฟางเจิ้งเอ่ย
เด็กแดงพูดไม่ออก ไอ้สารเลวหัวโล้นนี่ทำไมไม่ชอบถูกเอาเปรียบอะไรแบบนี้! ทว่าเด็กแดงมองติงหนิงแวบหนึ่ง ก่อนละทิ้งความคิดจะเถียงกับฟางเจิ้งไป “อาจารย์ พี่ติงหนิงกับหวังหลุนนั่ นเป็นสหายที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัย”
ฟางเจิ้งบอก “อาตมามองออก ไม่อย่างนั้นคงไม่เกี่ยวพันแน่นแฟ้นขนาดนี้ หวังหลุนจีบผู้หญิง ติงหนิงยังวิ่งวุ่นไปทั่ว”
เด็กแดงเอ่ยต่อ “ปัญหาคือ พี่ติงหนิงชอบหวังหลุนนั่นมาตลอดเลย!”
ฟางเจิ้งงุนงง “อะไรนะ?” ก่อนพลันตบเข้าที่หน้าผาก นึกถึงการแสดงออกของติงหนิง นี่ไม่ใช่ว่ามีเหาอยู่บนหัวตนและเห็นๆ กันอยู่แล้วหรือ? ฟางเจิ้งอยู่กับเธอมานานขนาดนี้ยังมองไม่ ออก คนที่อยู่ในสถานการณ์จะมองไม่ทะลุปรุโปร่งจริงๆ!
เด็กแดงพูด “มั่นใจแน่นอน นางชอบหวังหลุนจริงๆ แต่เหมือนว่าหวังหลุนจะไม่ชอบนาง…”
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว “ทำไมนายถึงรู้เยอะขนาดนี้?”