บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 463 เหตุผลง่ายๆ
‘ถูกพ่อแม่พร่ำอยู่สามวันสามคืน จะโทษฉันได้เหรอ? ตอนฉันสอบเขียนปณิธานพวกเขาอยู่ต่างประเทศกกันหมด ไม่กลับมาช่วยฉัน ฉันสมัครเองยังมาบอกว่าฉัน…จริงๆ เลย…’
‘เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว! ผู้ชายหล่อๆ ที่นั่นเตรียมตัวพร้อมรึยัง? ฉันมาแล้วนะ!’
‘เจ้าหวังหลุนนั่นบอกว่าฉันเป็นขนมงาอ่อน เกาะติดเขา สะบัดไม่หลุด! จริงๆ เลย ใครอยากตัวติดเขากัน! ถ้าไม่ใช่เพราะสัมภาระหนักเกินไป ฉันจะตามเขาไปเหรอ ก็แค่ประหยัดแรงเท่านั้นเองนี่? แต่ว่าปัญหาคือทำไมเราต้องลากกระเป๋าสองใบ แต่เขาแบกกระเป๋าสองใบสบายๆ เอง? ฉันไม่ยอม! ฉันเป็นผู้หญิง ผู้หญิงบอบบาง!’
‘มหาวิทยาลัยวันแรก ฉันต่อยนักศึกษาชายสองคน หนึ่งต่อสอง! ชื่อเสียงฉันดังไปทั่วโรงเรียนแล้ว ฉันดังแล้ว! พวกเขาเรียกฉันว่าอันธพาลสาวอันดับหนึ่งของเอกคอมพิวเตอร์ จริงๆ เล้ย ฉันโหดขนาดนั้นเลยหรือไง? เห็นๆ อยู่ว่าผู้ชายสองคนนั้นอ่อนแอเกินไป…’
‘หวังหลุนนั่นเป็นราชากระเพาะอาหารรึไง? ไม่ถึงเดือนก็ใช้เงินกินข้าวหมดแล้ว ยังมีหน้ามายุ่งกับข้าวฉันอีก! ฮือๆๆ…เขาตามมา ฉันเลยไม่กล้ากินข้าวต้มหน้าเนื้อชามใหญ่เลย แถมต้องแสร้งเป็นสุขุม กินบะหมี่ชามเล็ก หิว! ที่ระยำกว่านั้นคือเขาบอกว่าฉันแสร้งทำเป็นคุณหนูต่อหน้าเขา! ถ้าพี่โกรธละก็จะจับเขากินเลย ฟินจริงๆ ฮ่า! แต่ว่าบัตรอาหารของคนเดียวเลี้ยงตั้งสองคน ยากมากเลย…ดูท่าจะต้องกินน้อยๆ ไม่อย่างนั้นเขาต้องกินไม่อิ่มแน่ เด็กผู้ชายต้องใช้พลังงานเยอะนี่นะ ฉันกินน้อยๆ จะได้ลดน้ำหนักพอดี…ฉันนี่มีเมตตามากเกินไปแล้ว ถือว่าเลี้ยงสัตว์แล้วกัน’
‘ปีสามแล้ว! เวลาผ่านไปไวจริงๆ จะเรียนจบแล้ว พวกเราว่าจะกลับไปพัฒนาบ้านเกิด นี่นับเป็นเรื่องดี พ่อแม่ที่รักของฉัน ถึงปีหนึ่งพวกท่านจะกลับมาไม่กี่ครั้ง แต่ฉันก็ยังคิดถึงพวกท่านมากนะ เมื่อก่อนหวังหลุนนั่นตะโกนว่าจะไปเมืองไห่เฉิงไม่ใช่เรอะ? เป็นคนพิลึกจริงๆ’
‘เอาละ ประกาศคำตอบอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้านี่ตามจีบเซ่าซินซิวเทพธิดาผมยาวในใจเขา บ้าชะมัด…ฉันถามเขาว่าชอบเธอตรงไหน เขาบอกว่าชอบผมยาวแบบนั้น! ผมยาวดูดีเหรอ? เจ้านี่ชอบผมยาวมาตั้งแต่เล็ก…แต่ว่า…’
‘ปรึกษากันทั้งคืน ในที่สุดก็วางแผนสารภาพรักได้ เอาละ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ฉันต้องสนับสนุนเขาหน่อย แต่ทำไมฉันรู้สึกเศร้าใจแบบนี้ล่ะ…ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว นอน!’
‘คิดบัญชีมาทั้งคืน เงินพวกเราไม่พอใช้สำหรับแผนการ ถ้าอยากทำแผนนี้สำเร็จ ดูท่าฉันต้องออกแรงให้เต็มที่ซะแล้ว ฉันสงสัยจริงๆ ฉันเป็นเพื่อนหวังหลุนหรือเป็นแม่เขากันแน่…เซ็งสุด’
‘ไอ้บ้า! ลูกพี่ลูกน้องคนโตของฉันบอกว่าฉันเป็นคนสมองทึ่มด้านไวโอลิน! ฝึกไม่ได้ ฉันไม่เชื่อหรอก เอาวะ แม่จะหน้าด้านอยู่บ้านพวกเขาไม่ไปไหน วันๆ นอกจากกินข้าวแล้วก็จะเล่นไวโอลิน ไม่เชื่อหรอกว่าจะทำไม่ได้!’
‘ปวดบ่า ปวดนิ้ว ปวดเอว…แต่ฉันยังไปต่อได้!’
‘ลูกผู้พี่โทรศัพท์บอกแม่ฉันว่าฉันบ้าไปแล้ว เขาบอกว่าฉันเล่นไวโอลินทุกวันแบบเอาเป็นเอาตาย ฉันเอาเป็นเอาตายเหรอ? นี่ไม่ใช่เพื่อ…แต่ทำไมฉันต้องทำเพื่อเขาด้วย?’
‘ลูกผู้พี่ฉันบ้าไปแล้ว เอาไวโอลินให้ฉัน แถมขอร้องให้ฉันกลับบ้านด้วย เอาเถอะ ฉันซ้อมที่บ้านก็ได้’
‘เพื่อนบ้านแจ้งตำรวจแล้ว…ฉันว่าจะลองไปที่ชายหาดดู แถวนั้นคนเยอะมาก…’
‘คนที่ชายหาดน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว พลังสังหารของฉันสูงมากจริงๆ แต่ฉันหาแหล่งใหม่ได้แล้ว เป็นที่มีหินทรายเป็นกองๆ ไม่มีใครมา ฉันจะได้เล่นไวโอลินตามอำเภอใจ แต่ว่าเท้าฉันถูกบาด เจ็บมากเลย…แต่นอกจากที่นี่แล้วฉันจะไปที่ไหนได้อีก? อยากร้องไห้…แต่ว่าฉันร้องไห้แล้วก็ไม่มีคนโอ๋อีก…จะร้องไห้ไปทำไม…’
‘เจอกับอาจารย์ดนตรีมหาวิทยาลัยที่เกษียณคนหนึ่ง เธอยอมฟังฉันเล่นไวโอลิน และสอนอะไรฉันเยอะมาก ตอนนี้ฉันเล่นจบเพลงหนึ่งแล้ว เรานี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ แต่ว่าควรจะให้ของอะไรกับอาจารย์ใหม่ของฉันไหมนะ คนเราต้องตอบแทนคุณสิ’
‘ฉันหางานใหม่ได้แล้ว ไปพิพิธภัณฑ์สัตว์ทะเล เหอะๆ…อยู่ๆ ไปช่วงหนึ่งจนชินแล้วก็อาจจะประหยัดเงินได้ไม่น้อย’
‘ครูฝึกหานไม่เลวเลย เข้ากันได้ง่ายมาก สอนอะไรฉันเยอะมาก แต่ว่าแสดงเป็นตัวตลกยากมากเลย เท้าบิดจนเจ็บไปหมด…หวังหลุนไอ้คนสมควรตาย ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ฮือๆ เจ็บก็ต้องไปทำงาน ชีวิตรันทดเหลือเกิน’
‘ครูฝึกหานตอบตกลงแล้วว่าจะช่วยฉันจัดแสดงปลาโลมา ฮ่าๆ…ฉันรู้อยู่แล้ว มนุษยสัมพันธ์ของฉันดีจะตาย!’
……
บันทึกเล่มนี้หนามาก อีกทั้งทุกบันทึกไม่ได้ยาวเป็นพิเศษ บ้างเป็นประโยค บ้างไม่ได้เขียนนาน ในนั้นมีช่วงเว้นว่างไปหลายปี…ทว่าตอนที่ฟางเจิ้งปิดเล่มบันทึก เขาพบว่าหน้าหลังสุดยังมีตัวอักษรอีกแถว!
ฟางเจิ้งอ่าน ด้านบนเขียนไว้ว่า ‘หรือว่านายไม่รู้ เด็กสาวข้างๆ นายผมยาวแล้วไม่ใช่เหรอ?’
กระดาษแผ่นนี้เป็นกระดาษแผ่นเดียวที่ยับ เหมือนเคยเปียกชื้นจากหยดน้ำมาก่อน
ฟางเจิ้งเหมือนเห็นเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ฟังเพลงดอกลิลลี่ที่ร่ำไห้ น้ำตาไหลพลางเขียนประโยคนี้ ทว่าตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมากลับเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม เจิดจ้าราวกับแสงตะวัน สบายๆ แต่กลับงดงามไม่มีจุดด่างพร้อย…
ฟางเจิ้งปิดเล่มบันทึก ถอนหายใจเอ่ยว่า “อมิตาพุทธ”
ตอนนี้เองเด็กแดงวิ่งเข้ามาถาม “อาจารย์ เป็นอย่างไรบ้าง?”
ฟางเจิ้งพยักหน้าบอก “เข้าใจแล้ว นายว่าควรทำยังไงดี?”
“ข้าว่าติงหนิงเหมาะกับหวังหลุนมากกว่า พวกเขาต่างหากที่ควรจะคู่กัน!” เด็กแดงตอบทันที
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?” ฟางเจิ้งถาม
เด็กแดงตอบอย่างเด็ดขาด “นางดีกับข้า!”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก
เด็กแดงกล่าวอย่างงงงัน “อาจารย์ ท่านทำหน้าแบบนี้คืออะไร ข้าพูดไม่ถูกรึ? ข้าต้องช่วยคนที่ดีกับข้าอยู่แล้ว หรือจะให้ช่วยคนที่ไม่รู้จัก?”
ฟางเจิ้งไม่มีคำจะโต้ตอบ แม้หลักการนี้จะไม่ชอบธรรมอยู่เล็กน้อย แต่ก็มีเหตุผลเหมือนกัน! ทว่าจะช่วยอย่างไรดีล่ะ? เรื่องความรักแบบนี้บังคับกันไม่ได้จริงๆ ถ้าหวังหลุนไม่ชอบติงหนิง ฟางเจิ้งก็หิ้วกระบองมาตีให้เขายอมรับไม่ได้…ดูท่าคงต้องรู้มุมมองของสองฝ่ายให้ชัดก่อน
คิดได้ดังนั้น ฟางเจิ้งจึงยืนขึ้น “จิ้งซิน อีกเดี๋ยวเราทำแบบนี้”
“หา…หา? อาจารย์ ท่านไม่กลัวทำพังรึ?” เด็กแดงเอ่ย “พี่ติงหนิงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ถ้าทำพังเดาว่านางต้องโกรธมากแน่…”
ฟางเจิ้งกล่าว “ไม่หรอก ของบางอย่างก็ต้องให้เขาดู”
พอเข้าใจทุกอย่างแล้ว ฟางเจิ้งไม่รีบร้อนบอกเรื่องที่เขาอ่านบันทึกแล้วกับติงหนิง สามคนนั่งตรงริมชายหาด มองมหาสมุทร ดวงตะวันบนฟ้าค่อยๆ หม่นแสงลง ตกลงบนตรงเส้นขอบฟ้าทะเลอย่างเนิบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งมองพระอาทิตย์ตกดินริมทะเล อย่าว่าอย่างนี้อย่างนั้นเลย เขาชอบความรู้สึกแบบนี้มากทีเดียว