บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 467 โหดกว่า
“พวกท่านยังยิ้มอีก?! อ้ากๆๆ…ฉันจะฆ่าคน!” ติงหนิงร้องโวย
ฟางเจิ้งยิ้มบอก “สีกา ใจเย็นก่อน เรื่องยังไม่ถึงตอนจบนะ อย่ารีบร้อนสรุป อีกอย่างพวกเขาอยู่ด้วยกันก็เพราะฝีมือสีกาเอง ตอนนี้มาโทษอาตมา จะไม่มีเหตุผลเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
“ตอนนี้ฉันไม่อยากคุยเหตุผล…ฉันอยากตะโกน อยากร้อง อยากกระโดด…” ติงหนิงพูด
“อย่างนั้นก็ตะโกน ก็ร้อง ก็กระโดดเถอะ พวกเราจะดูเอง” ฟางเจิ้งตอบ
ติงหนิงโกรธจนแทบกระอักเลือดทันที…
ขณะเดียวกัน หวังหลุนมาที่บ้านติงหนิง เขามีกุญแจบ้านติงหนิง เมื่อเข้าประตูไปก็พบว่าสัมภาระติงหนิงยังอยู่ในบ้าน จึงพลันโล่งอก หลังจากครุ่นคิดพิจารณาก็ได้ความคิด เอ่ยยิ้มๆ ขึ้นมา “เด็กโง่ เหนื่อยมาตั้งนาน ยุ่งมาตั้งนาน ฉันจะเซอร์ไพรส์เธอบ้างเหมือนกัน…”
ทางด้านฟางเจิ้ง กินข้าวเสร็จก็เดินออกจากร้านอาหาร ติงหนิงหันไปมองถนนที่คุ้นเคยข้างหลังพลางถอนหายใจยาว กล่าวเสียงเบา “ถ้าหากว่า…เวลาช้าลงได้ก็ดี”
“ถึงช้าลงเขาก็ไปกับคนอื่นแล้ว” ฟางเจิ้งว่า
“หลวงพี่ ท่านตาหามีแววไม่ขนาดนี้เลยเหรอ ไม่พูดได้ไหม? มิน่าท่านถึงเป็นนักบวช ถึงไม่เป็นนักบวชก็หาสาวไม่ได้” ติงหนิงถามอย่างโมโหฟึดฟัด
ฟางเจิ้งสะอึก
เด็กแดงได้ยินดังนั้นพลันหัวเราะขบขัน รีบพูดว่า “พี่ติงหนิงพูดถูก! เช่นนั้น พี่ติงหนิง ถึงเวลาช้าลงแล้วก็ยังเหมือนว่า…จะเปลี่ยนอะไรไม่ได้จริงๆ”
“ฉันก็รู้ แค่ทำใจจากไม่ได้นิดๆ…บางทีขอแค่วันนี้ไม่เข้าไป ไม่รับรู้ข่าวสารของพวกเขา ฉันคงหลอกตัวเองต่อไปได้ ใช้ชีวิตตามใจต่อไปได้…” ติงหนิงพึมพำ
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงสบตากัน ภายในใจเกิดความเจ็บปวดแทนติงหนิงเล็กน้อย ความรักของติงหนิงบริสุทธิ์มาก บริสุทธิ์จนเสียสสละตัวเองได้ แต่ก็ยังคงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เธอไม่อยากใช้อ อำนาจครอบครอง ไม่อยากแย่งชิงอะไรพวกนั้น เพียงแต่คิดง่ายๆ ว่าจะปกป้องบางสิ่ง ทว่าพอมาถึงท้ายที่สุด…เธอเหมือนจะเสียทุกอย่างไป หากฟางเจิ้งกับเด็กแดงไม่มา ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าบทสรุปสุด ดท้ายจะเป็นอย่างไร…แม้ว่าตอนนี้จะไม่ค่อยชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไรก็ตาม
สามคนเดินบนถนนแคบ ไม่รีบร้อนกลับไปบ้านติงหนิง ติงหนิงเองก็จงใจไม่พูดถึงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเธออยากยืดเวลาจริงๆ
ทว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีปลายทาง เวลาไม่มีวันหยุดลงเพื่อคนใดคนหนึ่ง สุดท้ายสามคนเดินมาถึงประตูบ้านติงหนิง
“หลวงพี่ วันนี้พวกท่านพักที่นี่เถอะ ฉันเช่าห้องหนึ่งปี ถ้าพวกท่านไม่มีที่ไปก็อยู่ต่อได้อีกครึ่งปี” ติงหนิงกล่าว
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ครั้งนี้อาตมาลงเขามาเที่ยว จะไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่ง สีกาพักบ้านหลังนี้เองเถอะ”
“พักเอง? ฉันจะไปวันนี้แล้ว จะไปอยู่ได้ยังไงคะ…” ติงหนิงส่ายหน้า เปิดประตูบ้านเข้าไป ทว่าต่อมาเธอถึงกับตาค้าง!
เห็นเพียงว่าในห้องวางเทียนไว้เต็มไปหมด เทียนรวมกันเป็นถนนสายเล็กยาวไปถึงใจกลางห้องรับแขก รวมเป็นคำว่าดวงใจรักคำใหญ่ ภายในห้องมีแต่ดอกกุหลาบเต็มไปหมด บนโซฟา บนโต๊ะน้ำชา บนตู้ทีวี…ทว่าข้างหลังแสงเทียนนั้นมีผู้ชายซื่อๆ คนหนึ่งยืนอยู่ กำลังกอดดอกลิลลี่ช่อใหญ่ ยื่นมือมาแบบเท่ๆ และกดปุ่มขยายเสียงเครื่องบันทึกเสียงตัวเก่า จากนั้น…
‘นาฬิกาดังกริ๊งๆ ตรงขอบหน้าต่าง
สายฝนยังตกอยู่นอกหน้าต่างนั้น
ฉันเพ่งมองดูกีตาร์ที่มีฝุ่นเกาะ
เพียงแต่สายของความรักเส้นนี้คลายออกแล้ว
ฉันคือดอกลิลลี่ที่ร่ำไห้ในแจกัน
บอกลาดินคือราคาที่ต้องจ่ายเพราะรักคุณ…’
“เอ่อ เหตุใดถึงเป็นเพลงดอกลิลลี่ที่ร่ำไห้? เพลงเศร้าเช่นนี้ไม่เหมาะจะเปิดตอนนี้กระมัง…” เด็กแดงงึมงำ
ผลคือมีมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นเข้ามาลากเด็กแดงไป ตอนนี้พวกเขาสองคนอย่าเป็นก้างขวางคอเลย เวลาที่เหลือเป็นของติงหนิงกับหวังหลุน
“นาย…นี่…ฉัน…อะไรกัน?” ติงหนิงอึ้งค้างอยู่กับที่
“ไม่มีอะไร เพื่อนติงหนิง นับจากวันนี้ไป ฉันขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าเธอคือแฟนของฉันหวังหลุน!” หวังหลุนพูดอย่างบ้าอำนาจ
ติงหนิงงงงัน ก่อนร้องว่า “อะไรนะ นายจะบอกเป็นก็เป็นได้เหรอ? มีสิทธิ์อะไร?”
“ก็สิทธิ์ที่…” หวังหลุนจ้องติงหนิงพร้อมเดินเข้ามา ติงหนิงที่แข็งแกร่งมาตลอดหวาดกลัวนิดๆ ถอยไปข้างหลัง แต่ถอยได้สองก้าวก็เป็นกำแพงแล้ว!
หวังหลุนแทบจะยืนแนบชิดตรงหน้าติงหนิง พูดเสียงเบาว่า “ก็สิทธิ์ที่ฉันรักเธอ!”
“หา…หา?” ติงหนิงตาค้าง อ้าปากเล็กน้อย จากนั้นพูดอะไรไม่ออก
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงยืนอยู่ใต้ตึก เด็กแดงพูด “อาจารย์ ท่านว่าพวกเขาสองคนทำอะไรกันข้างบน?”
“เด็กน้อย อย่าถามคำถามที่ไม่มีประโยชน์พวกนี้” ฟางเจิ้งตอบ
“ท่านไม่อยากรู้เหรอ” เด็กแดงถาม
“ไม่อยากรู้” ฟางเจิ้งตอบ
“ไม่อยากรู้แล้วเหตุใดท่านไม่ไป?” เด็กแดงถาม
“นายรู้เหรอว่าจะไปไหน?” ฟางเจิ้งถามกลับ
“…”
ในตอนนี้เอง มีเสียงตะคอกด้วยความโกรธดังมาจากบนตึก “หวังหลุน ไอ้บ้า ฉันลำบากเหนื่อยแทบตาย ทุ่มเงินทั้งหมดเข้าไป สุดท้ายนายทำสาวที่ได้มาหลุดมือ! กินเท้าฉันเถอะ!”
“อ๊าก!”
……
“โหดมาก…” ฟางเจิ้งอดปลงอนิจจังไม่ได้
“พอใช้ได้เถอะ” เด็กแดงว่า
“นายเคยเห็นที่โหดกว่านี้?” ฟางเจิ้งถาม
“เคย” เด็กแดงพูดเหมือนกำลังขบคิด
“ใคร?” ฟางเจิ้งถาม
“มารดาข้าเอง! พัดนั่น บิดาข้าต้องหนีหลายปีถึงจะกลับมาได้…” เด็กแดงถอนหายใจ
ฟางเจิ้งเหลือบตามองบน เขาสงสัยหนักมากว่าปีศาจกระทิงไม่ได้หนีหลายปี แต่ไปเที่ยวข้างนอกหลายปีต่างหาก! ช่างเป็นเด็กน่าสารที่บริสุทธิ์นัก…
“ติ๊ง! ยินดีด้วย สำเร็จภารกิจอีกแล้ว วันแห่งความรัก ส่งเสริมคนมีความรักคู่หนึ่งให้ลงเอยกันได้ในที่สุดเป็นบุญกุศลใหญ่ เหมือนดั่งที่ว่ายอมรื้อวัดไม่ยอมทำลายงานแต่ง บุญกุศล ไม่น้อยเลย นายจะจับรางวัลไหม?”
“ให้อาตมาคิดก่อนค่อยว่ากัน” ฟางเจิ้งว่า ต้องสั่งสมบุญกุศลแลกเป็นกลอง นั่นต่างหากคือสิ่งที่เขาต้องการ
แต่รางวัลมาอยู่ข้างมือแล้ว ถ้าไม่จับหัวใจก็คันยุบยิบ…
ตอนนี้เองเด็กแดงพูดปลงๆ ว่า “อาจารย์ ท่านว่าเหตุใดนักบวชถึงแต่งงานไม่ได้ ข้าว่ามีภรรยาอย่างพี่ติงหนิงน่าจะสบายมากเลย”
ฟางเจิ้งโขกหัวเขาไปทีหนึ่ง “นายเป็นเด็กน้อยจะเข้าใจอะไร”
“วัดตามอายุแล้ว ข้าเป็นปู่บรรพบุรุษท่านได้เลย…” เด็กแดงยังพูดไม่จบ ก็เห็นฟางเจิ้งทำท่าทางจะสวดมนต์จึงหุบปากไปทันที
ฟางเจิ้งถึงเอ่ยว่า “ปุถุชนบำเพ็ญพุทธก็เพื่อหลุดพ้นจากวัฏจักรหกวิถี ไม่อยู่ในห้าธาตุ แต่การแต่งงานมีลูกคือเรื่องของวิถีมนุษย์ ถ้าทำจะตกเข้าสู่วิถีมนุษย์ ดังนั้นแล้วจะหลุด ดออกจากหกวิถีได้ยังไง จะหลุดพ้นเป็นพุทธได้ยังไง?”
“อาจารย์ ข้าเชื่อคำพูดนี้ แต่พวกท่านไม่มีแม้แต่ผม เทพและพระพุทธเป็นสิ่งที่ไม่ชัดเจน แต่ก็ยังฝึกหกวิถีที่เชื่อถือไม่ได้นั่น? พระพุทธองค์ที่ท่านนับถือเป็นเพียงความดี ไม่มี แก่นแท้จริงอะไรเลย อีกอย่างแววตาท่านก็ขายท่านแล้ว ท่านต้องมีทฤษฎีของตัวเองแน่ๆ” เด็กแดงอ่านฟางเจิ้งออกนานแล้ว ฟางเจิ้งไม่อาจถือว่าเป็นนักบวชจริงๆ อย่างน้อยหลักการของเขาก ก็ไม่ค่อยเหมือนกับหลักการของพุทธศาสนาและนักบวชส่วนใหญ่