บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 468 เมฆมงคล
ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “อย่าประเมินอาจารย์สูงขนาดนั้น อาตมาไม่มีทฤษฎีอะไรของตัวเองหรอก มีหลายอย่างที่อาจารย์ของอาจารย์หรือก็คืออาจารย์ปู่ของนายสอนมา หลวงตาหนึ่งนิ้วบอกว่านักบวชต ต้องตรากตรำในโลกนี้อย่างถึงที่สุด รู้ว่าความสุขคือสิ่งใด รู้ว่าอะไรคือความสุข ถึงจะสามารถพาคนไปสู่ความสุข สั่งสมบุญกุศลทำความดี พระพุทธให้นักบวชตรากตรำในโลกนี้จนถึงที่สุด ห้ามกินเนื้อ ห้ามกินผักที่มีกลิ่นแรงห้าอย่าง[1] ห้ามไว้ผมสวยงาม ห้ามสวมเสื้อผ้าสวย ห้าม…ข้อห้ามแต่ละอย่างคือการนำของที่สวยๆ งามๆ ออกไป เพื่อให้เราเข้าใจถึงความล้ำค่าขอ องของพวกนั้น รอจนวันหนึ่งที่เราได้มาถึงจะถนอมรักษามันไว้ได้ดีกว่าเดิม”
“ก็เหมือนกับหวังหลุนนั่น? พอเห็นว่าจะเสียพี่ติงหนิงไปแล้ว ถึงเข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือใคร คนที่รักคือใคร?” เด็กแดงถาม
ฟางเจิ้งพยักหน้า ก่อนโขกหัวเขาไปที ด่าทอว่า “เป็นเด็กน้อยพูดเรื่องความรักให้น้อยๆ หน่อย กลับไปสวดมนต์!”
เด็กแดงพลันน้ำตานองหน้า ไร้สิทธิมนุษยชนจริงๆ มีสิทธิ์อะไรไม่ให้เขาพูด? ทว่าเจ้านี่ก็ยังเบี่ยงประเด็นเอ่ยไปว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ปู่ของเราก็ยอมรับการแต่งงานมีลูกรึ?”
ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน “ยอมรับ แต่อาจารย์ปู่ของนายคิดว่าตอนยังไม่สำเร็จอรหันต์ จะต้องตรากตรำในโลกนี้อย่างถึงที่สุดก่อน…”
“เอ่อ…เช่นนั้นถ้าไม่สำเร็จอรหันต์ก็แต่งงานมีภรรยาไม่ได้?” เด็กแดงถาม
ฟางเจิ้งพยักหน้าด้วยความจำใจ
เด็กแดงกล่าว “ถ้าเช่นนั้น ทุกคนออกบวชก็เท่ากับตัดเชื้อสายสืบสกุล บ่อนทำลายประเทศหรือไม่? แบบนั้นจะเผยแผ่ศาสนาเพื่ออะไร?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าตอบ “ความหมายของชีวิตขึ้นอยู่กับความต่อเนื่อง แต่งงานมีลูกก็เป็นขั้นตอนที่ต้องเผชิญ ไม่อย่างนั้นจะหมายถึงการดับสูญ ทว่าสิ่งที่นายพูดมามันเป็นอุดมคติเกินไป พุทธ ธศาสนามีดีนับหมื่น ขอแค่มีศีลก็จะมีคนนับไม่ถ้วนไม่เดินเข้าประตูบานนี้ ถึงยังไงผู้บำเพ็ญเพียรพุทธศาสนาก็ยังมีน้อย บทบาทของคนส่วนน้อยเป็นเพียงประภาคารกลางทะเล มอบความหวังให้ ผู้คนและชี้นำทางให้เท่านั้น”
“ก็ถูก…หากต้องโกนหัว ข้าจะไม่มีวันเข้าพุทธศาสนาเด็ดขาด เอ่อ…” เด็กแดงเอ่ยถึงตรงนี้ก็ยิ้มแหย ดูเหมือนว่าเขาจะเข้ามาเรียบร้อย
ในตอนนี้มีเสียงไวโอลินดังมาจากบนตึก เพียงแต่พวกเขาไม่เคยฟังเพลงนี้ ทว่า…
“อาจารย์ เพลงนี้คุ้นหูมาก”
ฟางเจิ้งพยักหน้า
ต่อมาก็ได้ยินคนด่า “ดึกดื่นป่านนี้ไม่หลับไม่นอนรึไง มาซ่อมอะไรกัน?”
“เลื่อยขาโต๊ะอะไรดึกๆ ดื่นๆ พวกแกอยากตายรึไง?”
ฟางเจิ้งกับเด็กแดงมองตากัน ยิ้มแห้งๆ “เป็นเสียงที่คุ้นหูจริงๆ เลื่อยขาโต๊ะ! ดูท่าติงหนิงคงจะเล่นเพลงนั้นได้เพลงเดียวจริงๆ…”
ฟางเจิ้งเคลื่อนความคิด ทั้งสองคนเปิดประตูไร้ลักษณ์กลับบ้าน รับเสียงนี่ไม่ไหวแล้ว!
ส่วนบันทึกเล่มนั้นวางไว้ในบ้านติงหนิงนานแล้ว แถมยังแนบโน้ตแผ่นหนึ่งไว้เป็นการขอโทษ เดิมทีว่าจะขอโทษต่อหน้า ทว่าในสถานการณ์นั้น ฟางเจิ้งไม่มีแม้แต่โอกาสจะพูดเลยล้มเลิกไป
ระหว่างขึ้นเขา เด็กแดงถามขึ้นว่า “อาจารย์ ท่านว่าพี่ติงหนิงดีขนาดนั้น เหตุใดหวังหลุนถึงมองไม่เห็น”
ฟางเจิ้งชี้ที่พื้นดิน “แผ่นดินดีขนาดนี้ นายเคยสนใจมันมาก่อนไหม?”
เด็กแดงงุนงง…
ฟางเจิ้งไม่พูดอะไร ที่เหลือให้เด็กแดงคิดตระหนักด้วยตัวเอง…
ตอนที่กลับถึงวัดเอกดรรชนี หมาป่าเดียวดาย ลิง และกระรอกเข้านอนกันแล้ว ฟางเจิ้งกลับกุฏิเลยทันที ปิดประตูนอนทว่านอนไม่หลับ นอนอยู่ว่างๆ ก็ฮัมเพลงขึ้นมาเบาๆ ร้องเพลงดอกลิลลี่ท ที่ร่ำไห้นั้นโดยไม่รู้ตัว เขาแหงนหน้ามองดวงจันทร์สว่างไสวนอกหน้าต่างพลางคิดในใจ ‘ถ้าอาตมาไม่ไปจะมีบทสรุปอย่างไร? ชาวโลกลำบากมากนัก กลับมีธุลีแดงบดบังดวงตา มองไม่ทะลุปรุโปร่ง คิ ดไม่ออก ย่อมทุกข์ทรมานมาก ว่างๆ ต้องออกไปบ่อยๆ แล้ว…’
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างเงียบๆ วันต่อมา ไก่ยังไม่ขัน ฟางเจิ้งก็ได้ยินหมาป่าเดียวดายกำลังเห่าเสียงดังข้างนอก
ฟางเจิ้งเปิดประตูมาดู เห็นเด็กแดงยืนบนโต๊ะ ข้างล่างเป็นลิง หมาป่าเดียวดาย และกระรอกนั่งยองอยู่ราวกับก้อนเนื้ออ้วนตุ้ยนุ้ย เพียงแต่ว่าก้อนเนื้อนี้กำลังปาดน้ำตา ปาดไปพลางพู ดไปพลาง “พี่ติงหนิงยิ่งใหญ่มาก คอยมอบให้อย่างเงียบๆ มาตลอด นี่สินะคือความรัก! ว่าแล้วว่าสิ่งที่แลกมาด้วยผลไม้เปลือกแข็งเป็นของปลอม…ฮือๆ…”
หมาป่าเดียวดายเห่า “ชีวิตหมาป่าของฉันมีหมาป่าตัวเมียนับไม่ถ้วน แต่ตอนที่ฉันลำบาก ไม่มีใครมองฉันแม้แต่หางตา ชีวิตนี้ได้รู้ว่ามีคนรู้ใจแบบติงหนิง ถึงตายก็ไม่…อาจารย์…ท่าน มาเมื่อไร”
“อาจารย์เพิ่งมา ไม่ได้ยินอะไรหรอก ศิษย์พูดต่อเถอะ ถึงตายก็ไม่อะไรนะ?” ฟางเจิ้งยิ้มหยีตาพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ มองทางหมาป่าเดียวดาย
หมาป่าเดียวดายกลืนน้ำลาย จากนั้นมองเด็กแดง แต่เจ้าเด็กนี่เห็นท่าไม่ดีนานแล้ว จึงวิ่งหนีมุดเข้าไปทำอาหารในครัวเรียบร้อย
เมื่อมองลิง เจ้าลิงล่ะ? ได้ยินเพียงเสียงกวาดพื้นดังมาจากข้างนอก
พอมองกระรอก เจ้านี่ชูเมล็ดสนขึ้นสูง ทำท่าทางประจบประแจงฟางเจิ้ง มันพลันพบว่าตัวเองถูกขายแล้ว! แถมยังไม่มีใครสนใจ! น้ำตาจึงนองหน้าโดยพลัน คิดแล้วเชียวว่าคุยโม้สุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ได้ อนิจจาชีวิตคน จะถูกฟ้าผ่าเอาได้ง่ายๆ!
“อาจารย์ ศิษย์อยากบอกว่ามีคนรู้ใจแบบนั้น ถึงตายก็ไม่เสียใจกับการเลือกของตัวเอง! ศิษย์ออกบวช ศิษย์เต็มใจ ศิษย์ออกบวช ศิษย์ภูมิใจในตัวเอง!” หมาป่าเดียวดายตอบทันที
ฟางเจิ้งตบๆ หัวหมาป่าเดียวดายอย่างพอใจ “พูดดี นับจากวันนี้ไปนายรับผิดชอบตักน้ำแล้วกัน”
หมาป่าเดียวดาย “…”
พูดจบฟางเจิ้งก็เดินออกไป ประนมสองมือ มองหอระฆังด้วยมาดขรึม ก่อนเดินขึ้นไปช้าๆ ทีละก้าว สวดบทหนึ่งแล้วใช้สองมือกอดค้อนระฆังออกแรงลากไปข้างหลัง จากนั้น…
ตึง!
เสียงระฆังรื่นหูดังขึ้นมา หลังจากเสียงระฆัง ไก่ตรงตีนเขาก็เริ่มขัน ควันไฟหุงอาหารลอยโชย…ภายในป่าใหญ่ นกร้องแมลงเปล่งเสียง ทุกสรรพสัตว์คืนชีพ คนจำนวนมากในอำเภอซงอู่ไกลๆ พากันตื่นนอน ยืนตรงหน้าต่างเสพสุขกับความเงียบสงบที่มาพร้อมกับเสียงระฆังพลางดูพระอาทิตย์ขึ้น สัมผัสความรู้สึกของวันใหม่
ฟางเจิ้งเคาะระฆังเนิบๆ ภายในใจว่างเปล่า อ่านบทสวดตรงหน้าพลางขับขานตาม เสียงระฆังดังขึ้น พาเสียงสวดมนต์ของเขาแผ่ไกลออกไป ปกคลุมทั้งวัด ดังไปทั้งภูเขา ไผ่หนาวกำลังเติบโต ข้าวผลึกกำลังแกว่งไกว ไอหมอกกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นสูง ส่องแสงแวววาวสีทองภายใต้แสงจากท้องฟ้า ดูสวยงามมาก เสมือนว่ายกทั้งวัดเอกดรรชนีลอยขึ้นไปบนฟ้าก็ว่าได้ สวยงาม!
พอเห็นวิวทิวทัศน์แบบนี้ ชาวบ้านนับไม่ถ้วนใต้ภูเขาพากันออกจากบ้าน แหงนหน้ามองยอดเขาพร้อมกับอุทานด้วยความตกใจ
“โตมาป่านนี้เพิ่งเคยเห็นเมฆแบบนี้ครั้งแรกเลย”
“ภูเขาเอกดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกได้เลยว่าทั้งภูเขากำลังเปลี่ยนแปลง” คนเฒ่าคนแก่อย่างถานจวี่กั๋วพูดอย่างปลงอนิจจัง
“สวยมาก เหมือนภูเขาเอกดรรชนีจะลอยขึ้นสู่เมฆเลย” มีคนพูดเสียงเบา
แน่นอนว่ามีคนถ่ายเซลฟี่มากกว่า แต่ละภาพถูกแชร์ลงในโซเชียล ครู่เดียวก็ดึงดูดความสนใจของคนมากมาย
“ว้าว ภูเขาเอกดรรชนีมีทะเลเมฆสีทอง!”
“พระเจ้า ยิ่งใหญ่อลังการมาก! แสงพุทธสว่างไสว ทะเลเมฆเคลือบสีทอง”
“อมิตาพุทธ รู้สึกเหมือนพระพุทธองค์มาเยือนภูเขาเอกดรรชนีเลย”
“เจ๋งจัง ไม่รู้ว่าของจริงหรือเปล่า”
……………………………….
[1] ผักที่มีกลิ่นแรงห้าอย่าง เบื้องต้นคือ กระเทียม ต้นหอม กุยไช่ ต้นกระเทียม และหอมใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็หมายรวมถึงผักชนิดอื่นที่มีกลิ่นแรงด้วย