บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 469 ยังไม่เป็นที่ชื่นชอบเหมือนเดิม
“ภูเขาเอกดรรชนีสวยขนาดนี้เลย? ได้ยินว่าที่นั่นมีป่าไผ่ให้ไปดูได้ด้วย ไม่ได้การละ ต้องหาโอกาสไปดูหน่อยแล้ว”
“พร่งนี้ออกเดินทาง ไปภูเขาเอกดรรชนี มีคนนัดไหม?”
“ได้ยินว่าที่ภูเขาเอกดรรชนีดูพระอาทิตย์ขึ้น ดูป่าไผ่ กินข้าวไผ่หนาวอาหารประจำถิ่นได้ ตอนนี้ยังมีทะเลเมฆให้ดูอีก จิ๊ๆ ภูเขาเอกดรรชนีที่ที่มีนิ้วเดียวแบบนี้มีอะไรให้ดูเยอะ ะเลย จะต้องไปแน่”
“สร้างกระแสๆ…”
บนโลกอินเทอร์เน็ตมีคนพูดหลายอย่าง ทว่าสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือภูเขาเอกดรรชนี วัดเอกดรรชนีมีชื่อเสียงอีกครั้งแล้ว
ครั้งแรกพูดได้ว่าสร้างกระแส แต่สองครั้งล่ะ? สามครั้งล่ะ? หลายครั้งล่ะ?
อักษรพุทธองค์มังกร ป่าไผ่ทางเหนือ ต้นกกข้ามฟาก พระอาจารย์พาวิญญาณวีรชนข้ามฟาก…
เมื่อก่อนตอนที่ข่าวเหล่านี้ทยอยกันออกมา ทุกคนไม่สนใจ ทว่าตอนที่เรื่องเหล่านี้ปรากฏขึ้นต่อกันทีละเรื่องนั้น ทุกคนต้องตรึกตรองดีๆ ว่าจริงหรือไม่ วัดนี้และหลวงจีนรูปนี้มีควา ามสามารถจริงหรือไม่ เก่งกาจขนาดนั้นจริงหรือไม่
คนจากอำเภอซงอู่ไม่แปลกตากับวัดเอกดรรชนีอีก หลายคนเคยกินอาหารที่หมู่บ้านเอกดรรชนี เคยขึ้นเขาไปไหว้พระ และมีหลายคนเคยไปขอลูกสำเร็จ ตอนนี้มาเห็นสิ่งเหล่านี้อีกจึงไม่มีใคร บอกว่าเป็นพวกลวงโลก ในทางตรงข้ามกลับมีคนจำนวนมากภูมิใจและกระจายข่าวเหล่านี้ไป พูดเสริมประโยคหนึ่งด้วยว่า ‘ภูเขาเอกดรรชนีเจ๋งจริงๆ! วัดเอกดรรชนีก็ศักดิ์สิทธิ์มาก คนที่ไปขอ อลูกได้กันหมดเลย!’
‘เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนีก็เก่งมาก ที่นั่นยังมีสัตว์ฉลาดมากอีกตั้งหลายตัว เหมือนกับคนเลย’
‘ชอบหลวงพี่ลิงมาก กวาดลานวัดทุกวัน แถมยังดูแลคน ดูแลเด็กให้…’
‘ฉันชอบกระรอกนั่น เขาให้ของขวัญเล็กๆ กับทุกคนเลย เมล็ดสนนั่นอร่อยมาก’
‘ฉันชอบหมาตัวใหญ่ ได้ยินว่าเป็นหมาป่าเงิน น่ายำเกรง ดูทรงอำนาจโคตร’
‘ฉันชอบเณรน้อยสวมตู้โตวคนนั้น แรงเยอะมาก แบกถังน้ำหนักขนาดนั้นยังเดินได้เหมือนเหาะเลย เก่งกว่าผู้ใหญ่อีก’
ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ คำวิจารณ์ต่างๆ นานากระจายไปบนโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ไปถึงเมืองเฮยซาน จากนั้นชาวเมืองเห็นเป็นเรื่องมหัศจรรย์และส่งต่อไป เพียงครู่เดียว ในที่สุด ดตอนนี้วัดเอกดรรชนีก็มีชื่อเสียงเกินกว่าอำเภอซงอู่ เข้าไปอยู่ในสายตาชาวเมืองเฮยซานแล้ว ตอนที่จิ่งเหยียนเห็นข่าวนี้ก็ช่วยผลักดันทันที ไหนจะมีคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีน พั่ งจื่อ โหวจื่อและพวกหม่าเจวียนช่วยกระจายข่าวด้วยกัน วัดเอกดรรชนีจึงมีชื่อเสียงมากขึ้นทุกที
“ติ๊ง! ยินดีด้วย ชื่อเสียงวัดเอกดรรชนีกระจายทั่วเมืองเฮยซานแล้ว พยายามเข้า พยายามอีกหน่อย ไม่แน่อาจจะสำเร็จภารกิจชื่อเสียงโด่งดังก็ได้” ระบบโพล่งขึ้นมา
ฟางเจิ้งทำหน้ามึนงง เขาทำอะไร? ไม่อยากเชื่อว่าชื่อเสียงของวัดเอกดรรชนีจะกระจายออกไปแล้ว? เขาแค่เคาะระฆังเอง? ใช่หรือ?
ไม่ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร ฟางเจิ้งยังใช้ชีวิตของตัวเอง เคาะระฆังทุกวัน เคาะมู่อวี๋ สวดมนต์ อ่านคัมภีร์ ตระหนักรู่พระธรรม ฝึกฝนกำลังภายในที่เด็กแดงปรับแก้ให้
เดิมทีจะฝึกคัมภีร์ลมหายใจก่อกำเนิดก็ได้ เพียงแต่ผลจากการฝึกแย่มาก ต้องฝึกในภูเขาลึกป่าทึบอย่างลำบากทุกคืนวันถึงเกิดผล จะทำให้ร่างกายแข็งแรงอายุยืนยาวย่อมไม่ใช่ปัญหา คนอื่น มีชีวิตร้อยปี แต่ยอดฝีมือที่ฝึกคัมภีร์ลมหายใจก่อกำเนิดมีชีวิตถึงร้อยสองสามร้อยปีได้สบาย ขณะเดียวกันผู้ฝึกจะมีกำลังกาย ความอึด และสภาวะร่างกายทุกด้านมากกว่าคนอายุเท่ากัน
แน่นอน คัมภีร์ลมหายใจก่อกำเนิดไม่สามารถยกระดับพลังที่ปะทุของร่างกายได้ ดังนั้นยอดฝีมือที่ฝึกวิชานี้จึงไม่ได้หมายถึงยอดฝีมือวิทยายุทธ์ เพียงคุณสมบัติร่างกายด้านต่างๆ ดีกว่า เท่านั้น ถ้าต้องการฝึกวิชาอื่นก็เห็นผลได้เร็วกว่า ไปได้ไกลกว่า
ทว่ามองจากอีกด้าน คัมภีร์ลมหายใจก่อกำเนิดเป็นวิชาการต่อสู้อันดับหนึ่งของโลกแน่ ถึงอย่างไรสู้คุณไม่ได้ ก็มีชีวิตยืนยาวกว่า รอคุณตายแล้วค่อยขุดหลุมศพ เหยียบหน้าหลุมศพ กระท ทืบอะไรแบบนี้ คุณจะทำอะไรเขาได้? แน่นอนนี่เป็นเพียงคำพูดตลกๆ คนที่ฝึกคัมภีร์ลมหายใจก่อกำเนิดได้เก่งกาจแล้ว สภาวะจิตใจย่อมไม่ฉุนเฉียวขนาดนั้น และก็ไม่ทำเรื่องแบบนั้นเช่น นกัน
แต่ว่าคัมภีร์ลมหายใจก่อกำเนิดที่ปรับปรุงมาภายหลังต่างออกไปอย่างชัดเจน หลังจากฟางเจิ้งฝึกก็รู้สึกอย่างเด่นชัด พละกำลังที่เมื่อก่อนไม่คืบหน้าเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ร่างกายแข็งแรงขึ้นท ทุกวัน กำลังมากขึ้น อดทนได้นานขึ้น ผิวพรรณที่เดิมทีดีมากอยู่แล้วขาวสะอาดและเต่งตึงยิ่งกว่าเดิม
ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อน “มีคัมภีร์ลมหายใจก่อกำเนิดแล้ว อาตมาสึกตอนนี้คงจะรวยมากแน่ๆ อืม…เปิดคอร์สความงามจะต้องรวยล้นฟ้าแหง”
“นายลองดูได้” ระบบพลันกล่าวขึ้น
ฟางเจิ้งมองบน “นายจะให้ฉันดีใจหน่อยไม่ได้รึไง? แค่คิดก็ไม่ได้เหรอ?”
ฟางเจิ้งขี้เกียจจะสนใจระบบ เคาะมู่อวี๋สวดมนต์ต่อไป
ตกเย็น ฟางเจิ้งนั่งใต้ต้นโพธิ์ หยิบมือถือออกมาไถดูตามอำเภอใจ ตอนนี้เอง เขาได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมกลุ่ม คนเชิญเป็นผู้ใช้ที่ไม่รู้จัก ชื่อกลุ่มคือ ‘กลุ่มอำเภอซงอู่ชั้นสอง ปี สามห้องสาม’
ฟางเจิ้งมองแวบหนึ่ง นี่คือกลุ่มชั้นเรียนของตน ทว่าทำไมถึงเพิ่มเพื่อนมาอย่างกะทันหัน? คนที่รู้เบอร์มือถือเขามีไม่มาก คนที่เพิ่มเพื่อนวีแชตเขาได้ก็มีไม่กี่คน
จนถึงตอนนี้เพื่อนในมือถือเขามีไม่เกินยี่สิบ อีกทั้งครึ่งหนึ่งเป็นคนจากกองถ่ายจึงถูกแทะโลมตลอด ทว่าฟางเจิ้งมีภูมิต้านทานนานแล้ว จึงมองข้ามการแทะโลมของผู้หญิงสวยๆ เหล่านั้น อ อ่านข้อความที่ส่งเข้ามาทั้งหมดพลางหัวเราะ จากนั้นพอไม่ตอบกลับ นานวันเข้าผู้หญิงเหล่านั้นก็ยอมแพ้ไปเอง…
ทว่าในเพื่อนเหล่านี้ไม่มีใครเป็นเพื่อนสมัยเรียนเลย! ถ้าอย่างนั้นใคร รู้เบอร์เขาและเลขบัญชีวีแชตเขามาจากไหน?
ไม่อยากคิดมากขนาดนั้นแล้ว ดีเลวอย่างไรก็เป็นเพื่อนกัน จึงกดรับไป! แม้จะไม่ได้ติดต่อกับคนพวกนี้มานานมาก แม้ตอนนั้นจะรู้สึกว่าโรงเรียนแย่มาก ความสัมพันธ์กับเพื่อนก็แย่ แต่พ พอนึกถึงเรื่องเก่าๆ ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวนคิดถึงช่วงหนุ่มสาว และยังมีความคิดถึงอีกมากมาย
แต่สิ่งที่ทำให้ฟางเจิ้งตกใจคือ เมื่อเข้ากลุ่มไปแล้วเหมือนไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนเพิ่มเข้ามา ถึงระบบจะเตือนว่าเขาเข้ากลุ่มแล้วก็ตาม
“ว่าแล้ว อาตมายังถูกเมินเฉยเหมือนเดิมเลย” ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ
เขาเรียนมัธยมปลายที่อำเภอซงอู่ อำเภอซงอู่ชั้นสองอยู่ในกลุ่มมัธยมปลายประเภทสอง[1] ที่นี่รวมเอานักเรียนที่มาจากหมู่บ้านชาวนารอบๆ ไว้มากมาย แน่นอนว่ายังมีนักเรียนจากในอำเภอ ท้องถิ่นด้วย ดังนั้นระหว่างนักเรียนจึงแบ่งเป็นหลายระดับ นักเรียนจากอำเภอเมืองคิดว่าสภาพแวดล้อมของตนดีเยี่ยม จึงแสดงความรู้สึกเหนือกว่าออกมาเล็กน้อยอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ถึงความร รู้สึกเหนือกว่านี้มักจะอยู่ได้ไม่ถึงเดือนก็ตาม หลังจากสอบครั้งแรกแล้วก็หายไป…
แต่นักเรียนจากหมู่บ้านชาวนาโดยพื้นฐานแล้วจะพักที่โรงเรียน โรงเรียนไม่มีกำลังให้พักได้มากขนาดนั้น จึงตั้งกฎประหลาดมาข้อหนึ่งคือให้นักเรียนหญิงพักได้ ส่วนนักเรียนชายต้องอ ออกไปหาเอาเอง…เช่นนี้เองจึงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของคนโดยรอบไม่น้อย มีหลายคนปรับเปลี่ยนบ้านตัวเองแล้วรับนักเรียนเข้าพัก ผลคือไม่มีครูดูแล พวกนักเรียนเลยเกือบได้ไปสวรรค์กันข้า างนอกแล้ว…
………………………………
[1] โรงเรียนมัธยมปลายแบ่งออกเป็นสามประเภท ความแตกต่างมีหลายปัจจัย เช่น ระดับผู้สอน ระดับการเรียนการสอน ความพร้อมของอุปกรณ์ ภูมิหลังที่มาของนักเรียน ระดับความก้าวหน้าทางการศึกษา