บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 47 ไร้ปัญญาน่ากลัวจริงๆ
หม่าเจวียนยิ้มเฝื่อน “ฉันไม่เห็นว่าไต้ซือจะมีเรื่องสมเหตุสมผลอะไรเลย เธอเคยเห็นคนคุยกับหมาป่าได้ไหมล่ะ?”
ฟางอวิ๋นจิ้งเงียบ สองคนปรึกษากันว่าจะไม่บอกคนอื่น ถือว่าไม่รู้ไป แต่ว่าก็ยังต้องศึกษาวิธีบีบอัดรูปนี้ ถ้าศึกษาได้บ้าง ไม่แน่ว่าสองคนอาจไม่ต้องกลุ้มใจไปชั่วชีวิต
ขณะเดียวกันฟางอวิ๋นจิ้งถามฟางเจิ้งอย่างระมัดระวัง “ไต้ซือ ท่านใช้มือถือถ่ายภาพนี้เหรอคะ?”
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าภาพของเขามหัศจรรย์ขนาดนั้นจึงตอบกลับทันที “ใช่ ใช้มือถือที่พวกโยมส่งมาให้ ทำไมเหรอ?”
ฟางอวิ๋นจิ้งพูด “ไต้ซือ ภาพที่ถ่ายมาชัดจนน่าตกใจเลย ฉันคิดว่าจากนี้ท่านพยายามอย่าส่งภาพให้คนอื่นหรืออย่าส่งภาพเดิมนะคะ”
ฟางเจิ้งอึ้งไปก่อนจัดการในมือถือ พอขยายภาพแล้วก็ยังชัดจนน่าตกใจจริงๆ ไม่มีทางที่มือถือสมัยนี้จะทำได้ เช่นนั้นก็มีเพียงคำอธิบายเดียว ยันต์ปลุกเสก!
‘ของดี ยันต์ปลุกเสกเสริมความสามารถของสมัยใหม่ได้ด้วย…’ ฟางเจิ้งพูดชมในใจ
“ติ๊ง! ของสมัยใหม่กับของปกติในสายตาพระพุทธองค์แล้วล้วนเป็นของเหมือนกัน ทำไมจะเสริมความสามารถไม่ได้?”
ฟางเจิ้งหมดคำพูดจะตอบ…
ฟางเจิ้งคุยกับฟางอวิ๋นจิ้งอีกสองประโยคแล้วฟางอวิ๋นจิ้งก็ต้องไปทำธุระอื่น ฟางเจิ้งจึงเก็บมือถือแล้วกลับวัด พอมาถึงประตูเขาตะลึงงัน มีคนอยู่หน้าประตู!
“โยมหูทั่น กลับมาทำไมล่ะ?” ฟางเจิ้งถามด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ไต้ซือ ผมมาแจ้งกับท่านโดยเฉพาะเลย มีฆาตกรอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้าน ท่านต้องระวังตัว” หูทั่นกล่าว
ฟางเจิ้งเห็นหูทั่นหอบหายใจแรงก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดี รู้จักตอบแทนคุณ ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ขึ้นมาอย่างสุดชีวิตแบบนี้ เขาจึงยิ้มตอบ “อมิตพุทธ โยมใจพระจริงๆ วันหลังจะต้องร่ำรวยแน่นอน นั่งพักก่อนเถอะ อาตมาจะไปตักน้ำมาให้”
หูทั่นก็หิวน้ำเหมือนกันเลยกินไปสองชามใหญ่ติดๆ ถึงพ่นลมหายใจยาว “สบาย! ไต้ซือ ทำไมน้ำที่อร่อยจัง? ผมดื่มน้ำพุข้างล่างไปหลายอึกเทียบกับน้ำนี่ไม่ได้เลย!”
ในที่สุดหูทั่นก็เห็นถึงความต่าง ความรู้สึกเซลล์ทั่วร่างโห่ร้องด้วยความยินดีทำให้สบายไปทั้งตัว
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “น้ำปกตินี่แหละ โยมคิดมากไปแล้ว”
หูทั่นก็คิดแบบนั้น อาจจะเหนื่อยเกินไป พอดื่มน้ำเลยรู้สึกอร่อย “ไต้ซือ ท่านปิดประตูวัดเถอะ พวกเราแจ้งตำรวจแล้ว อีกเดี๋ยวตำรวจคงจะมา รอจับคนร้ายได้ท่านค่อยเปิดประตูก็ยังไม่สาย”
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “อมิตพุทธ อาตมายากจน ไม่มีของมีค่าอะไรหรอก คนร้ายนั่นมาจะเอาอะไรไปได้? โยมเถอะ รีบลงเขาไปดีกว่า”
“ผมก็ควรไปแล้วเหมือนกัน แต่ว่าไต้ซือ ฟังผมนะ จะต้องระวังไว้ พอกลับไปถึงแล้วผมจะโทรหา! เฮ้ย ทำไมผมโง่แบบนี้นะ มีเบอร์ไต้ซือแล้วจะขึ้นมาทำไม…เฮ้อ…” หูทั่นตบหน้าผากก่อนลงเขาไป
รอจนหูทั่นไปแล้ว ฟางเจิ้งก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา หมุนตัวกลับเอ่ยขึ้น “โยมออกมาเถอะ”
ฟางเจิ้งพูดจบก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากในอุโบสถข้างหลัง
ฟางเจิ้งกังวลแล้ว คนร้ายที่เห็นในเนตรสวรรค์ร่างกำยำเหี้ยมโหด ทำไมถึงเดินเบานักล่ะ?
พอหันกลับไปฟางเจิ้งก็อึ้งงัน “อาซ่งเอ้อ?”
คนที่มาคือซ่งเอ้อโก่ว! ซ่งเอ้อโก่ววิ่งออกจากหมู่บ้าน ด้วยความตระหนักไม่มีทางเลือกจึงขึ้นเขาเอกดรรชนี สุดท้ายมาถึงวัด คิดจะซ่อนตัว ตอนนี้เขามองฟางเจิ้งอย่างขมขื่น “ฟางเจิ้ง ฉันเอง…เอ่อ…เมื่อกี้นี้ฉันไม่ได้ยินที่พวกแกคุยกันนะ แต่ได้ยินเสียงแปลกๆ ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเราใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งเข้าใจซ่งเอ้อโก่วมาก ชื่อเดิมเขาคือซ่งเปิ่นชิง เป็นชื่อที่มีศิลปะมาก แต่อีกฝ่ายทำตัวเหมือนนิสัยสุนัข ลักเล็กขโมยน้อย พูดจาลับหลัง เอ้อระเหยลอยชายไปมาคือสัญลักษณ์ของเขา ดังนั้นทุกคนเลยตั้งฉายาให้ว่าซ่งเอ้อโก่ว(สุนัขสองหัว)
ซ่งเอ้อโก่วมีนิสัยไม่ได้เลวร้าย แต่ชอบละโมบ พูดจาเหลวไหล ตอนนี้หนีมาที่วัด ฟางเจิ้งนึกไปถึงเรื่องราวที่เห็นในเนตรสวรรค์ก็เข้าใจทันทีว่าคนที่ขวางรถมีแปดส่วนที่จะเป็นซ่งเอ้อโก่ว! ส่วนขวางทำไม เขาคาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจ
ฟางเจิ้งจึงพูดขึ้นอย่างหลักแหลม “เป็นเพื่อนใต้ภูเขา เหมือนว่าจะเกิดเรื่องที่ตีนเขา พวกเขาแจ้งตำรวจแล้ว เลยมาเตือนอาตมาว่าให้ระวังตัว โยมล่ะ? ทำไมถึงขึ้นเขามา? ถ้าอาตมาจำไม่ผิดโยมไม่เชื่อพระพุทธนี่”
ซ่งเอ้อโก่วมีสีหน้าขมขื่น ในใจยังวิตก ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี กลั้นใจอยู่นานก็กระทืบเท้าหมุนตัวกลับคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิม เอาหัวโขกพื้นดังโป๊กๆ โขกไปพลาง ร้องไห้ไปพลาง “ฉันผิดไปแล้ว ฉันฆ่าคน…แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…ฉันแค่อยากรู้ว่าของที่พนักงานส่งด่วนนั่นมาส่งให้แกเป็นอะไร ฮือๆๆ…”
ฟางเจิ้งคาดไม่ถึงเลยว่าซ่งเอ้อโก่วที่ปกติไม่กลัวฟ้าดินจะเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่รีบร้อนเข้าไปดึงซ่งเอ้อโก่ว คนนี้มีนิสัยไม่ได้เลวร้าย แต่มีข้อเสียมากไปหน่อย ทำให้หมู่บ้านวุ่นวายไม่เป็นสุข เขากำลังตรึกตรองว่าจะอาศัยโอกาสตอนนี้จัดการเจ้านี่ดีหรือไม่ เปลี่ยนนิสัยสักหน่อย
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงเดินเข้าไป ยืนอยู่ข้างหลังซ่งเอ้อโก่วเงียบๆ
ซ่งเอ้อโก่วโขกจนหัวแตกถึงหยุด นั่งทับน่อง มองฟางเจิ้งด้วยความเศร้า “ฟางเจิ้ง แกว่าฉันจะทำยังไงดี? ฉันฆ่าคน…”
ฟางเจิ้งสวดไปบทหนึ่ง “อมิตพุทธ โยมซ่ง โบราณเขาว่าฆ่าคนก็ต้องคืนด้วยชีวิต”
“อ๊าก…ฮือๆๆ” ซ่งเอ้อโก่วได้ยินว่าต้องคืนชีวิตก็ร้องไห้ฟูมฟาย ดูแล้วตกใจกลัวจริงๆ
ฟางเจิ้งยังไม่ห้ามซ่งเอ้อโก่ว รอจนซ่งเอ้อโก่วร้องไห้จนเหนื่อยแล้วถึงว่าต่อ “แต่ว่าพุทธศาสนามีเมตตา มักจะให้โอกาสคนแก้ตัวเสมอ”
“หา? โอกาสแก้ตัว? แต่ว่า…ฉะ…ฉันฆ่าคนไปแล้ว ไม่ได้ง่ายเหมือนขโมยของเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย นี่เป็นเรื่องผิดกฏหมาย ถูกจับได้ยังไงก็ต้องถูกยิงเป้า” ซ่งเอ้อโก่วสิ้นหวังแล้ว พอได้ยินฟางเจิ้งพูดก็จุดไฟแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าก็ยังหยั่งเชิงถามดู
ฟางเจิ้งยิ้ม “ทุกสิ่งมีชีวิตในโลกนี้อยู่ในสายตาของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก้าวก่ายทุกชีวิตไม่ได้ แต่ให้ความเป็นธรรมแก่โยมได้ ไหนโยมบอกมาซิว่าฆ่าคนยังไง”
ซ่งเอ้อโก่วเล่าความจริงทุกอย่าง ฟางเจิ้งฟังแล้วก็คิดในใจ ‘เป็นอย่างนี้จริงๆ เจ้านี่อยากรู้อยากเห็นมากไป’
ฉะนั้นฟางเจิ้งจึงตอบไป “โยมซ่ง โยมประมาททำให้คนอื่นถึงแก่ความตาย ไม่ได้จงใจฆ่า โทษจึงเบาลงมาก”
“หา? ใช่ ฟางเจิ้ง แกเคยเรียนหนังสือ เรียนสูงกว่าฉันอีก เคยเรียนวิชาการเมืองใช่ไหม? ในนั้นพูดถึงวิธีจัดการเรื่องแบบนี้ยังไงบ้าง?” ซ่งเอ้อโก่วเหมือนคว้าฟางช่วยชีวิตไว้ได้ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อพุทธศาสนา แต่เชื่อกฏหมายมากกว่า
……………………