บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 470 เพื่อนดีที่กระตือรือร้น
ทว่านักเรียนท้องถิ่นเหล่านั้นต้องกลับบ้านทุกวัน จึงเกิดความอิจฉาริษยาเจ้าพวกที่มีอิสระเหล่านี้อย่างยิ่ง มีเงินมีเวลาว่างไม่มีคนดูแล ทิ้งการเรียนไปเที่ยว ใครล่ะจะไม่อิจฉา?
แน่นอนว่าฟางเจิ้งเป็นข้อยกเว้น เขามีเวลาแต่ไม่มีเงิน เที่ยวไม่ได้! เด็กในเมืองกับฟางเจิ้งพูดกันคนละภาษา เด็กจากหมู่บ้านชาวนาวันๆ ออกไปดื่มสุรา คุยโม้ เล่นเน็ต ฟางเจิ้งไม่มีเงินจึงไม่มีอะไรเล่นเลย ดังนั้นเลยกลายเป็นพวกไร้ตัวตน เมื่อก่อนถูกมองข้าม ตอนนี้ก็ยังถูกมองข้ามอีก นอกจากยิ้มเจื่อนๆ ในใจแล้วก็มีแต่ยิ้มเจื่อนเท่านั้น
ตอนที่ฟางเจิ้งเลือกเงียบแกล้งตาย จู่ๆ เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งแท็กชื่อเขา “ใช่ฟางเจิ้งไหม? ยินดีต้อนรับเข้ากลุ่มเพื่อนเก่า”
ตอนที่ฟางเจิ้งอ่านประโยคนี้แทบจะร้องไห้ ในที่สุดก็มีคนสังเกตเห็นเขา! อมิตาพุทธ เขายังถือว่าเป็นคนเป็น ไม่ถูกใครมองข้าม…มีความสุข!
อ่านจากชื่ออีกฝ่าย หลิวต้าเฉิง ‘ประธานหลิว’ ในความคิดฟางเจิ้งพลันมีใบหน้าที่ไม่ค่อยคุ้นตาวูบผ่านตามจิตใต้สำนึก เหมือนว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมสี่ของฟางเจิ้ง ต่อมาขึ้นมัธยมหกก็ถูกแบ่งมาอยู่ห้องเดียวกันอีก คลุกคลีกันไม่มาก พูดคุยกันน้อยครั้ง หลิวต้าเฉิงไม่ใช่เด็กเก่งด้านการเรียน และก็ไม่ใช่เศษเดน พยายามยังขึ้นไปได้ พอละความพยายามเล็กน้อยก็จะเป็นนักเรียนที่เจริญรอยตามพวกฟางเจิ้ง วาสนาของหลิวต้าเฉิงดีกว่าฟางเจิ้งมาก ตอนฉลองวันเกิดยังมีเพื่อนนักเรียนสิบยี่สิบคนไป ถือว่าเป็นคนดังพอสมควร ดูจากตำแหน่งข้างหลังอีกฝ่ายแล้ว ประธานหลิว เห็นได้ว่าหลิวต้าเฉิงทำได้ไม่เลว
ฟางเจิ้งตอบกลับ “อมิตาพุทธ อาตมาเอง สวัสดีทุกท่านด้วย”
“ฮ่าๆ…ฟางเจิ้ง นายเป็นหลวงจีนจริงๆ” พอฟางเจิ้งเอ่ยปาก ก็พลันเรียกเสียงหยอกล้อได้ไม่น้อย
“ฟางเจิ้ง ตอนแรกนายบอกว่าลงมาจากวัด ไม่นึกเลยว่าจะจริงด้วย”
“ฟางเจิ้ง ตอนนี้นายอยู่วัดไหน?”
“โกนหัวรึเปล่า?”
“ได้ยินว่าหลวงจีนสมัยนี้รวยมาก รวยมากๆ ได้กินเหล้ากินเนื้อ แถมยังป้อสาว ขับรถหรูได้อีก ฟางเจิ้ง นายถือว่ามีงานดีอันดับหนึ่งของห้องเราเลยนะ โคตรเจ๋ง ตอนแรกพวกเราตาถั่ว ตอนนี้อิจฉาแล้วว่ะ”
กลุ่มคนตะโกนกันขึ้นมา ฟางเจิ้งงุนงงทันที พูดอะไรกัน? พวกเขาใช้ชีวิตในโลกเดียวกันหรือไม่? รวยมาก ดื่มสุรากินเนื้อ ป้อสาว? หลวงจีนไป๋อวิ๋นกับหลวงจีนเสียกวงยังไม่ได้แบบนี้เลย! อีกอย่างถ้าฟางเจิ้งจำไม่ผิด ตอนเรียนเขาเคยบอกไม่ใช่ครั้งเดียวแน่ๆ ว่าตนบวชที่วัดเอกดรรชนี แต่คนพวกนี้ลืม! เขายังคงไร้ฐานะอย่างน่าเศร้าจริงๆ
ฟางเจิ้งเลยตอบไปว่า “อาตมาอยากมีชีวิตที่ร่ำรวยเหมือนกัน แต่อาตมาอยู่วัดเล็ก ไม่มีความสามารถึงขั้นนั้นหรอก ทุกวันนี้กินแค่ข้าวสวยกับอาหารเจ ชีวิตลำบาก ทุกท่านดูสบายดีนะ”
“ก็โอเค อ้อ ประธานหลิว ก่อนหน้านี้นายพูดอะไรนะ?” สิ่งที่ทำให้ฟางเจิ้งพูดไม่ออกคือเขาเพิ่งรายงานตัว คนที่ชื่อเฉินเซียวก็เริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว
จากนั้นหลิวต้าเฉิงโผล่หน้ามา “เมื่อกี้พูดอะไรนะ อ้อ เป็นเพื่อนกันหมดนะ ใครอยากทำงานอะไรก็มาบอกฉัน ตอนนี้กิจการใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ต้องการเพื่อนที่ไว้ใจได้ ขอแค่เชื่อฉันหลิวต้าเฉิง ไม่ว่าใครก็มาได้! มาที่นี่ได้เบิกเงินค่าตั๋วเครื่องบิน กินฟรีอยู่ฟรี ขอแค่มีความสามารถ ฉันจ่ายเงินให้ได้สบายๆ!”
“ประธานหลิวสุดยอด!”
“ประธานหลิวโคตรเจ๋ง ประธานหลิว ตอนนี้ฉันกำลังเรียน…”
ฟางเจิ้งอ่านทุกอย่างพลางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ดูเหมือนเขาจะถูกมองข้ามอีกแล้ว ทว่าเขาอย่างไรก็ได้ คนห่างไกลอย่างเขา ถ้าจะคุยจริงๆ เดาว่าคงคุยได้ไม่มาก จึงยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ใส่ใจ แต่อ่านเอาสนุกอย่างสบายใจ
ทุกคนคุยกันไปๆ มาๆ ก็คุยถึงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง
“ฉีลี่หย่า ได้ยินว่าเร็วๆ นี้ครอบครัวเธอเจอปัญหานี่ ตอนนี้ประธานหลิวรวยแล้ว ไปทำงานกับเขาสิ หาเงินแล้วก็แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง” เฉินเซียวกล่าว
ทุกคนต่างเห็นด้วยทันที ก่อนที่เด็กสาวชื่อลี่หย่าคนนั้นจะปรากฏตัวขึ้น
“ช่างเถอะ ฉันเรียนภาษาและวรรณคดีจีน พูดจริงๆ นะ ก็เรียนได้อะไรมาไม่เท่าไรหรอก ไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้…” ฉีลี่หย่าพูด
พอเห็นเด็กสาวคนนี้ออกมา มีร่างหนึ่งวูบผ่านในความคิดฟางเจิ้ง นั่นคือเด็กสาวที่นั่งตรงมุมตลอด แถมบอบบางเล็กน้อย พูดกับคนอื่นเสียงเบามาก ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจอะไร เพียงแค่เธอมีนิสัยขี้กลัว ถูกคนขู่ทีก็จะร้องไห้…
“ฉีลี่หย่า ไม่เป็นไร ฉันขาดกำลังคน ถ้าเธอไม่รู้จะไปไหนก็มาหาฉันได้” หลิวต้าเฉิงพลันออกปาก
ฉีลี่หย่าขบคิดแล้วตอบกลับ “ฉันคิดดูก่อน ต้องปรึกษากับที่บ้าน ถ้าทุกอย่างลงตัวฉันจะไป ขอบคุณไว้ก่อนนะประธานหลิว”
“ฮ่าๆ…เป็นเพื่อนเก่ากันนี่ ไม่ต้องเกรงใจ” หลิวต้าเฉิงตอบกลับ
จากนั้นทุกคนเริ่มพูดคุยกันอีก ฟางเจิ้งอ่านไปครู่หนึ่ง ส่วนใหญ่จะล้อมวงคุยกับหลิวต้าเฉิง หลิวต้าเฉิงจะโชว์บ้าน โชว์รถหรูของตนตลอด เรียกเสียงร้องตกใจได้
ฟางเจิ้งส่ายหน้า อวยพรให้หลิวต้าเฉิงร่ำรวยต่อไป หาเงินได้ยังคิดจะช่วยเหลือเพื่อนๆ นี่ก็ถือว่าเป็นคนดีอยู่
หลายวันต่อมา ฟางเจิ้งเอ้อระเหยลอยชาย เคาะระฆัง กินเจสวดมนต์ มองญาติโยมไปๆ มาๆ ไหว้พระ ภายในใจเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ญาติโยมที่มาวัดเอกดรรชนีเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว อดีตจะเป็นชาวบ้าน ตอนนี้เริ่มมีคนจากในอำเภอเมืองจำนวนมากมา ทว่าคนจากเมืองเฮยซานยังมีน้อยมาก จุดนี้มองจากทะเบียนรถที่จอดตรงตีนเขาก็รู้แล้ว
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฟางเจิ้งกำลังเล่นมือถือ ก็พลันได้รับคำขอเป็นเพื่อน เขามองไปแล้วเห็นเป็นหลิวต้าเฉิง! ฟางเจิ้งเองก็มีภาพจำที่ดีต่อหลิวต้าเฉิงอยู่แล้วด้วย
ในคำขอเป็นเพื่อนมีข้อความแนบมาด้วย ทำให้ฟางเจิ้งรู้สึกสบายยิ่ง ‘เฮ้ย เพื่อนฟางเจิ้ง ไม่ได้ติดต่อกันนานมากเลย ยังจำฉันได้ไหม? หลิวต้าเฉิง! ดูอัลบั้มรูปนายแล้ว นายเป็นหลวงจีนจริงๆ ด้วย’
ฟางเจิ้งเลยกดยอมรับ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันอย่างเป็นทางการ
แต่สิ่งที่ฟางเจิ้งคาดไม่ถึงคือ อีกฝ่ายส่งหน้ายิ้มมาทันทีเป็นการทักทาย
ฟางเจิ้งตอบด้วยอิโมจิประนมสองมือ
“ฟางเจิ้ง ไม่ได้เจอกันนาน ได้ยินว่านายเป็นเจ้าอาวาสด้วย ใช้ได้เลยนี่” หลิวต้าเฉิงถามอย่างสนิทสนม
ฟางเจิ้งตอบกลับด้วยความถ่อมตน “อมิตาพุทธ ก็ดี ชีวิตยากจนเล็กน้อย” เขาจะบอกว่ากินข้าวผลึก ดื่มน้ำบริสุทธิ์อะไรพวกนี้ทุกวันไม่ได้ละมั้ง? การถ่อมตัวเป็นคุณธรรมที่ดี แน่วแน่ไม่เสแสร้ง
“อย่างนั้นเองเหรอ” หลิวต้าเฉิงตอบ
ฟางเจิ้งถาม “ได้ยินว่าตอนนี้ประสกกำลังรุ่งเลย เก่งมากนะ ตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ?”
“ฉันเหรอ อยู่เป่ยเจียงทางภาคใต้ แม่น้ำสายใหญ่ไหลลงทะเล เป็นที่ที่รัฐบาลวางแผนจะพัฒนาระยะยาว ค่อนข้างดีเลย” หลิวต้าเฉิงเอ่ย
ฟางเจิ้งยิ้ม เขาเคยได้ยินว่าที่เป่ยเจียงมีแม่น้ำไหลลงทะเลจริงๆ เป็นเมืองติดทะเล ทว่าจะบอกว่าเป็นที่ที่รัฐบาลวางแผนพัฒนาระยะยาว อันนั้นก็เกินไปหน่อย ตรงนั้นห่างจากเมืองไห่เฉิงไม่ไกล มีเมืองไห่เฉิงเป็นเสือขวางทางแบบนั้น ถ้าเขาอยากพัฒนาจริงก็ยากเกิน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเมืองใหญ่ ใหญ่กว่าเมืองเฮยซานเสียอีก หมู่บ้านเอกดรรชนีเทียบไม่ติดเลย
…………………….