บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 472 อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น?
ส่งหยางหวากลับไปแล้ว ฟางเจิ้งไม่วางใจยิ่งกว่าเดิม เขามีภาพจำต่อฉีลี่หย่าที่ดี แม้ฉีลี่หย่าจะไม่ใช่เด็กสาวสวย ความรู้ความสามารถธรรมดา ไม่ได้หน้าตาสะสวย ไม่มีรูปร่างน่าหลงใหล ส่วนสูงไม่ถึงหนึ่งเมตรหกสิบ แต่ว่าในความบอบบางมีความอบอุ่นอยู่ เขาเคยเห็นฉีลี่หย่าซื้อข้าวกล่องสองชุด ชุดหนึ่งเอาให้ผู้ชายเร่ร่อนคนหนึ่ง มอบให้อาทิตย์ละครั้งจนกระทั่งชายเร่ร่อนคนนั้นออกจากละแวกใกล้โรงเรียนไป
นึกถึงตรงนี้ ฟางเจิ้งเป็นห่วงฉีลี่หย่ายิ่งกว่าเดิม หรือว่าเธอจะเจอสถานการณ์แบบเดียวกัน
คิดถึงตรงนี้ฟางเจิ้งนั่งไม่ติดที่นิดๆ ทว่าเมื่อนึกถึงทางใต้ที่ห่างไกลนั่น ไม่ต้องพูดถึงตั๋วเครื่องบินเลย ตั๋วรถไฟก็ไม่ถูก! เงินน้อยนิดในกระเป๋าไม่พอใช้!
“ระบบ นายรับเงินจุดธูปไปตั้งเยอะ แบ่งให้ฉันส่วนหนึ่งไม่ได้เหรอ?” ฟางเจิ้งถามเศร้าๆ
“ได้!” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งอึ้งงัน ก่อนยิ้มเยาะ “เราไม่เล่นพูดแบบเว้นวรรคนานๆ แล้วตกลงไหม? พูดมาตรงๆ ว่าได้หรือไม่ได้”
“ได้” ระบบตอบอีก
ฟางเจิ้งตะลึงค้าง ถามเป็นการยืนยันอีกครั้ง “ได้จริงๆ เหรอ?”
“ได้!” ระบบตอบ
“นายมั่นใจนะว่าได้?” ฟางเจิ้งถามอีก
“นายอย่ากวนให้มากจะได้ไหม ถ้าไม่เอาเงินฉันจะเก็บไว้เอง!” ระบบโกรธแล้ว
“แล้วจะมัวพูดมากอะไรล่ะ เอาเงินมาให้อาตมาทั้งหมด!” ฟางเจิ้งพูดเสียงดัง
“ให้นายทั้งหมด? นายคิดเยอะไปแล้ว! ถึงสิ้นเดือนนี้ บุญกุศลของนายเกินสองพันห้าร้อยแล้ว ถึงเงื่อนไขขั้นต่ำสุด นายจะได้สิบเปอร์เซ็นต์จากเงินบุญกุศลทั้งหมดไว้ดำรงชีพ” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นพลันตื่นเต้น ครั้งนี้ระบบไม่ได้หลอกเขาจริงๆ มีเงินใช้จริงๆ! ฟางเจิ้งเลยถามต่อทันที “ตอนนี้ฉันมีเงินเท่าไร? เอาออกมาได้เท่าไร? แล้วก็ทำไมนายไม่บอกให้เร็วกว่านี้?”
“บอกเร็วไปมีประโยชน์หรือไง บุญกุศลไม่พอ นายไม่ได้อะไรอยู่แล้ว โหยหา หมกมุ่น และใช้สมองไปเสียเปล่า อีกอย่างการแสวงหาสิ่งนี้มากเกินไปไม่ใช่เรื่องดี” ระบบตอบอย่างมีเหตุมีผล
ตอนนี้ไม่ว่าฟางเจิ้งมองระบบอย่างไรก็ถูกชะตาไปหมด ส่วนอีกฝ่ายจะว่าอะไรเขาไม่สนใจแล้ว ถึงอย่างไรก็มีเหตุผล
ระบบพูดต่อว่า “จนถึงตอนนี้ได้รับเงินค่าจุดธูปทั้งหมดหกหมื่นแปดพันเจ็ดร้อยสามสิบหกหยวน! เงินที่นายใช้สอยได้คือหกพันแปดร้อยเจ็ดสิบสามหยวนหกเหมา”
“มากขนาดนั้นเลย?” ฟางเจิ้งตกใจจริงๆ ทว่าพอนึกดูดีๆ พวกพั่งจื่อกับโหวจื่อก็บริจาคเงินมาไม่น้อย หยางหวาก็ให้มาไม่น้อยเช่นกัน ทั้งยังมีญาติโยมจำนวนมาก ทุกวันมากันหลายสิบคน คนหนึ่งใส่ไม่กี่หยวนก็ไม่น้อยแล้ว ทว่าพอหวนนึกคิดดู เงินที่เขาต้องใช้ยกระดับอภินิหารมีราคาหนึ่งแสนขึ้นไปทั้งนั้น เขาพลันพบว่าตัวเองยังคงยากจนอยู่ดี!
ทว่านี่ไม่สำคัญแล้ว เขาเบิกเงินออกมาทันที ต่อมามีเงินปึกหนึ่งปรากฏในมือ ฟางเจิ้งยิ้มหยีตาจนเป็นร่อง หลังพิงกำแพงแล้วนับเงิน! หนึ่งใบ สองใบ…
“นับเงินนี่ฟินจริงๆ!” ฟางเจิ้งยิ้มเบิกบานใจ นานขนาดนี้แล้ว ถึงเขาจะเคยจับเงินก้อนใหญ่ แต่พวกนั้นใช้จ่ายไม่ได้ ในที่สุดตอนนี้ก็ใช้จ่ายได้แล้ว ฟินสุดๆ ไปเลย…
ทว่าหลังจากฟินไปแล้ว ฟางเจิ้งหยิบมือถือออกมาอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงใต้ต้นโพธิ์
ฟางเจิ้งเห็นหลิวต้าเฉิงส่งข้อความมาหาเขาอีก
“ฟางเจิ้ง คิดได้รึยัง จะมาเมื่อไร?” หลิวต้าเฉิงถามเข้าประเด็น
ฟางเจิ้งกลอกตา “ไม่ไหว อาตมายากจน เงินที่มีไม่พอซื้อตั๋วเครื่องบิน อยากไปก็ไปไม่ได้ เฮ้อ เงินจัดสรรจากรัฐยังไม่ได้เลย ตอนนี้ไปไม่ได้นะ ไว้ปลายปีค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
เปรี้ยง!
สายฟ้าผ่าลงตรงหน้าฟางเจิ้ง เขาแสยะยิ้ม รู้ว่านี่ไม่ใช่การโกหกด้วยความหวังดี หากโกหกจะต้องถูกฟ้าผ่า ทว่าเขาชินแล้ว ไม่เป็นไร
หลิวต้าเฉิงตอบว่า “ยืมคนในหมู่บ้านหน่อยก็ได้นี่”
ฟางเจิ้งอ่านถึงตรงนี้ นัยน์ตาขยับประกายเย็นชา ดูท่าทางหลิวต้าเฉิงคงจะมีปัญหาจริงๆ แต่เขาเอ่ยต่อ “ถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ อาตมาจะไม่ยืมเงินคนอื่น”
ครั้งนี้พูดความจริง ไม่มีฟ้าผ่าลงมา
หลิวต้าเฉิงเงียบงัน ผ่านไปพักใหญ่ถึงส่งข้อความกลับมา “เฮ้อ นายนี่ยุ่งยากจริงๆ เอาเถอะ นายถ่ายบัตรประชาชนส่งมาให้ฉัน ฉันจะให้เลขาจองตั๋วเครื่องบินให้”
ฟางเจิ้งชะงักงัน หรือเขาคิดผิด? แต่ก็ยังถ่ายบัตรประชาชนส่งไปให้
อีกฝั่งตอบเป็นอิโมจิ OK จากนั้นบอกว่าจะประชุมแล้วก็หายไป
ตอนบ่ายหลิวต้าเฉิงตอบกลับมาว่า “ฉันให้เลขาจองตั๋วเครื่องบินให้นายแล้ว แต่ว่าตอนนี้ตั๋วขายหมด อีกอย่างดูเหมือนนายไม่เคยนั่งเครื่องบิน ไปก็ยุ่งยากอีก ตอนนี้เครื่องบินดีเลย์บ่อยๆ นั่งรถไฟสะดวกกว่า เมื่อกี้เพิ่งดูรถไฟความเร็วสูง ไม่มีที่ไปถึงเลย ฉันเลยซื้อตั๋วรถไฟธรรมดาแบบเบาะแข็งให้นาย เฮ้อ นายว่าไหม เดือนเจ็ดนักเรียนปิดเทอมมันเป็นปัญหาจริงๆ จะซื้อตั๋วนอนยังยากขนาดนี้เลย ที่ฉันหาซื้อตั๋วเบาะแข็งได้ก็เพราะมีเส้นสายกับทางกรมการรถไฟ เป็นไง เพื่อนเก่านายเจ๋งพอไหม?”
ฟางเจิ้งไม่รีบร้อนตอบ แต่ค้นหาในอินเทอร์เน็ต ไม่มีตั๋วเครื่องบินจริงๆ ทว่ามีตั๋วชั้นหนึ่ง! ตั๋วรถไฟความเร็วสูงก็ยังมีอยู่ ทำไมบอกว่าไม่มี? ตั๋วนอนรถไฟธรรมดาไม่มีจริงๆ ทว่าก็ยังมีแบบเบาะนุ่ม
ฟางเจิ้งเลิกคิ้ว ตอบกลับว่า “อย่างนั้นเอง ไม่เป็นไร อาตมาลำบากจนชินแล้ว นั่งเบาะแข็งก็เบาะแข็ง”
“อืม โอเค นายไปรับตั๋วที่สถานีรถไฟได้เลย” หลิวต้าเฉิงกล่าว จากนั้นส่งภาพและอักษรมา บอกว่าฟางเจิ้งต้องรับตั๋วอย่างไร ทั้งยังกำชับอีกว่าอย่าขึ้นรถไฟผิด
ฟางเจิ้งแปลกใจขึ้นเรื่อยๆ หลิวต้าเฉิงไม่ต้องมีไมตรีขนาดนี้ก็ได้มั้ง! เป็นมิตรภาพระหว่างเพื่อนจริงๆ เลยชวนเขาไปเที่ยวเหรอ? เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ธรรมดาขนาดนั้น
ตั๋วรถไฟจองไว้วันพรุ่งนี้เก้าโมงเช้า เวลากระชั้นนิดๆ แต่ตอนนี้ฟางเจิ้งมีเงินแล้วจึงไม่กังวลอะไร อีกอย่างเขายังมีลูกศิษย์ด้วย!
วันต่อมา ฟ้าสางเล็กน้อย ฟางเจิ้งเรียกเด็กแดงมา จากนั้นเด็กแดงสะลึมสะลือพาฟางเจิ้งเปิด GPS มุ่งตรงไปยังเมืองเฮยซาน ต้องพูดว่าเด็กแดงบินเร็วมาก รู้สึกแค่เสียงลมฟู่ๆ ดังข้างหู ยี่สิบกว่านาทีก็มาถึงเมืองเฮยซาน ก่อนจะให้เด็กแดงกลับไปเฝ้าวัดต่อ ส่วนเขานั่งอยู่หน้าทางเข้าสถานีรถไฟ แบกห่อผ้าใหญ่ ในนั้นบรรจุบ๊ะจ่างข้าวผลึกไว้ ถึงแม้จะบอกกับคนอื่นว่าไม่มีแล้วก็ตาม แต่สำหรับฟางเจิ้งถ้าอยากกินก็ง่ายดายมาก ทำได้ตลอดเวลาเลย
ครั้งนี้ออกมาข้างนอกยังพกบ๊ะจ่างมาด้วยเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่หิวตาย
ไม่นานรถไฟก็มา ฟางเจิ้งตามคนกลุ่มใหญ่ขึ้นรถไฟ เดินไปได้สักพักก็พบว่ารถไฟขบวนนี้ถูกนักเรียนยึดครองไปเรียบร้อย ทุกที่มีแต่ใบหน้าอ่อนวัย พูดคุยตลกเฮฮา รู้สึกได้ว่าทั้งตู้รถไฟมีกลิ่นอายวัยหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นมามาก ฟางเจิ้งอดปลงอนิจจังในใจไม่ได้ ‘วัยรุ่นนี่ดีจริงๆ…เอ่อ เหมือนว่าเราเองก็ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่นี่!’
……………………..……