บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 473 ตะโกน
หาที่นั่งได้แล้ว เมื่อรถไฟออกตัว ฟางเจิ้งฟังเสียงสนทนาของทุกคนรอบๆ พลางเอาหลังพิงเก้าอี้งีบหลับไปเงียบๆ
ฟางเจิ้งนั่งรถไฟขบวนนี้สองวันสองคืน สามวันต่อมาถึงไปถึงเป่ยเจียง ทว่าฟางเจิ้งไม่มีความรู้สึกว่าไปถึงเมืองใหม่ ที่นี่ยังคงเป็นอาคารปูนซีเมนต์ ยังคงเป็นตึกใหญ่ เขาเหมือนไม่ได้ ออกจากเมืองเฮยซานมาเลย
ฟางเจิ้งหยิบมือถือออกมาโทรหาหลิวต้าเฉิง
“ฟางเจิ้ง นายถึงแล้ว? อยู่ไหนล่ะ” หลิวต้าเฉิงถาม
ฟางเจิ้งบอก “อมิตาพุทธ อาตมาอยู่ตรงประตูทางออก”
“นายเดินหน้ามา เดินผ่านโซนสีเขียวมาแล้วเลี้ยวขวา วันนี้ฉันยุ่งมาก ฉันให้เพื่อนไปรับนายแล้ว เขารู้ว่านายหน้าตาเป็นยังไง นายยืนรอตรงปากทางก็พอ” หลิวต้าเฉิงกล่าว
ฟางเจิ้งขานรับทีหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไป
ฟางเจิ้งเดินผ่านโซนสีเขียวแล้วเลี้ยวโค้งไปตามที่หลิวต้าเฉิงบอก ยืนรออยู่ตรงปากทาง ไม่นานนักก็มีสองคนเดินมาแต่ไกลๆ ผู้ชายสวมสูท กางเกงสแล็ค รองเท้าหนัง ใส่แว็กซ์แต่งผม ส่อ องแสงมันวาว พูดตามหลักแล้วก็ไม่มีอะไร ทว่าฟางเจิ้งเงยหน้ามองบนฟ้า แล้วจึงมองรองเท้าหนังหนาที่เอาไว้สวมหน้าหนาวคู่นั้น เห็นได้ว่าเป็นชุดสูทที่หนาเล็กน้อย บนหน้าผากยังมีเหงื่ อไหลราวกับตากฝนมาอีก ฟางเจิ้งแสยะปากยิ้ม คิดในใจว่า ‘สมัยนี้ไม่กลัวตายกันจริงๆ! มิน่าถึงซ่อนตัวอยู่ในเมืองไม่ออกมา ถ้าออกมาสามนาทีคงนอนโรงพยาบาลแล้ว เขาไม่กลัวเป็นไข้แดดรึ ไงนะ?’
ด้านข้างผู้ชายเป็นผู้หญิง เธอสวมชุดง่ายๆ ซึ่งตรงกันข้ามกัน เสื้อผ้าเก่านิดๆ แม้ผมจะหวีแต่งได้สะอาดสะอ้านเรียบร้อยมาก ทว่าสองคนมุ่งหน้ามาด้วยกัน ฟางเจิ้งมองอย่างไรก็รู้สึกว่ าสองคนนี้มีสีหน้าอดอยาก นัยน์ตาเปล่งแสงสีเขียว! ไม่ต่างอะไรกับหมาป่าเดียวดายที่เห็นเป็นครั้งแรกตอนอยู่บนเขาเอกดรรชนีเท่าไร…
ฟางเจิ้งมองพิจารณาอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็พิจารณาฟางเจิ้งเช่นกัน
“สวีเหยียน เป็นหลวงจีนจริงๆ ด้วย หลิวต้าเฉิงนั่นเชิญหลวงจีนมาจริงๆ นี่…เป็นครั้งแรกของบริษัทเราเลย” ผู้หญิงพูดเสียงเบา
“จะสนใจอะไร มีเงินก็พอ หลวงจีนสมัยนี้ใครบ้างไม่รวย? หลิวต้าเฉิงก็ชั่วร้าย ปกติหลวงจีนจะว่าง่าย มีอิสระ ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินอีก? ซ่งเข่อหลิง อีกเดี๋ยวทำทุกอย่างตามแผน อย่าลืมเด็ดขาด” สวีเหยียนพูด
ซ่งเข่อหลิงกล่าว “วางใจได้ ไม่ได้รับคนกลับบ้านครั้งแรกสักหน่อย แต่อิจฉาน่ะ ช่วงนี้หลิวต้าเฉิงปิดบิลได้หลายใบแล้ว หลวงจีนนี่ขาวสะอาด สวมเสื้อผ้าก็ใช้ได้ จะต้องมีเงินแน่ๆ อ อีกอย่างดูจากหน้าตาแล้วไม่ใช่คนโหดด้วย ได้กำไรแน่นอน”
“เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันร้อนจะตายอยู่แล้ว” สวีเหยียนว่า
ระหว่างสนทนาอยู่นี้ ทั้งสองคนก็เดินมาอยู่หน้าฟางเจิ้งแล้ว สวีเหยียนเผยรอยยิ้มที่คิดว่าซื่อตรงที่สุด “หลวงพี่ฟางเจิ้ง?”
“อมิตาพุทธ ประสกว่าอะไรนะ?” ฟางเจิ้งแสดงความเคารพกลับ ทว่าไอ้สารเลวนี่เริ่มทำตัวเลวอีกแล้ว
สวีเหยียนอึ้งงัน หรือว่าตนจะเสียงเบาเกินไป สุภาพเกินไป? สวีเหยียนจึงเอ่ยว่า “ท่านคือหลวงพี่ฟางเจิ้ง?”
“อะไรนะ?” ฟางเจิ้งถามต่อ ไม่รู้ทำไม เขามองเหงื่อไหลย้อยบนหน้าผากอีกฝ่ายแล้วมีความสุขเป็นพิเศษ ถ้าไหลเป็นน้ำตกหวงกั่วซู่ได้ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร สถานการณ์ตอนนี้ ฟางเจิ้งม มั่นใจการคาดเดาของตัวเองแล้ว อีกอย่างหูเหนือชั้นของเขาได้ยินบทสนทนาที่สองคนนี้พูดคุยกันลับๆ ย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว
“ท่านคือหลวงพี่ฟางเจิ้ง?” สวีเหยียนกลัดกลุ้มแล้ว หลวงจีนที่ดูดีมากคนนี้ ทำไมถึงหูหนวกล่ะ? หลิวต้าเฉิงไม่ได้บอกว่าเขามีปัญหาหูหนวกนี่!
ฟางเจิ้งทำท่าทางว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง “อ้อ อาตมาฟางเจิ้งเอง ประสกท่านนี้คือ?”
“ผมสวีเหยียน ประธานหลิวให้ผมมารับท่าน หลวงพี่ อากาศร้อนมากเลย เราขึ้นไปคุยบนรถดีกว่า” สวีเหยียนกวักมือไปไกลๆ รถส่วนตัวคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดข้างสามคน
สวีเหยียนพูดว่า “นี่ซ่งเข่อหลิง เลขาของประธานหลิว หลวงพี่ รีบขึ้นรถเถอะ อากาศร้อน…” สวีเหยียนแทบจะตะโกนตลอด กลัวว่าฟางเจิ้งจะไม่ได้ยิน
ทว่า…
ฟางเจิ้งพูดกับเขาด้วยหน้าบ้องแบ๊วว่า “ประสกพูดเสียงดังหน่อย อาตมาเป็นไข้แดดเล็กน้อย หูอื้อ! ประสกว่าอะไรนะ?”
“ผม…” สวีเหยียนอยากด่าแม่ นี่มันจะเกินไปแล้ว! เขาชี้ไปที่รถพลางบอก “ขึ้นรถ!”
ฟางเจิ้งตอบ “ไม่หิว!”
“ไอ้ห่า…” สวีเหยียนด่าแม่จริงๆ ก่อนจะพูดเกือบแนบชิดข้างหูฟางเจิ้ง “ไม่ใช่หิวไม่หิว แต่ขึ้นรถ!”
“อาตมาไม่หิวจริงๆ!” ฟางเจิ้งตะโกนตามไปด้วย เสียงดังกังวานอย่างยิ่ง ตะโกนแนบชิดตาม สวีเหยียนเอามืออุดหูไปพลางแคะหูไปพลาง…
ซ่งเข่อหลิงเห็นแบบนั้นก็ทำหน้ามึนงง รับคนใหม่มาตั้งเยอะ เพิ่งเคยเจอคนแบบนี้เป็นครั้งแรก! เธอรำคาญนิดๆ แล้ว หรือว่าอีกฝ่ายจะมองอะไรออก? ทว่าดูจากท่าทีฟางเจิ้งแล้วไม่เหม มือนร้อนใจ หวาดกลัว หรือลนลานเลย ดูเชื่อถือพวกเขามาก…
นึกถึงตรงนี้ ซ่งเข่อหลิงขยับเข้าไปใกล้ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ขึ้นรถเถอะ! หัวหลิวรออยู่ที่บริษัท!”
“ขึ้นรถ?! บริษัทไกลมากไหม?!” ฟางเจิ้งตะโกนถามกลับเช่นกัน
ซ่งเข่อหลิงปิดหูไปพลางเช่นกัน สะเทือนจนใบหูดังอื้ออึง ราวกับว่าเยื่อแก้วหูจะทะลุ อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ไอ้บ้าหัวโล้นนี่ทำไมเสียงดังนัก? ไม่เหมือนเปลือกนอกเขาที่ดูสุภาพ สักนิด!
สวีเหยียนร้อนจนไม่ไหวแล้ว จึงปลดกระดุมเสื้อออกสองเม็ด เสื้อเชิ้ตสีขาวชื้นแล้ว ลมหายใจดูเหนื่อยหอบ ด่าทออากาศในใจยกใหญ่ อีกด้านหนึ่งก็จะโต้กลับอีกครั้ง ทำท่าจะตะโกนใส่ฟางเ เจิ้ง ปรากฏว่าฟางเจิ้งถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขาร้อนใจแล้ว ร้อนจะตายชัก มีแต่อยากพาฟางเจิ้งไปให้เร็วๆ เท่านั้น จึงจับบ่าฟางเจิ้งไว้แล้วเข้าไปใกล้ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ขึ้นรถ จะไปกันแล้ว ว!”
ตะโกนเสร็จ สวีเหยียนรีบปล่อยมือเตรียมจะถอยไปข้างหลัง ทิ้งระยะห่างเพื่อไม่ให้ถูกตะโกนใส่อีก
แต่ฟางเจิ้งเลียนแบบเขา จับบ่าเขาไว้อย่างมีไมตรีจิตยิ่ง ทำให้เขาถอยไปไม่ได้ จากนั้นตามด้วยเสียงตะโกนปานฟ้าผ่า “อาตมาไม่หิวจริงๆ! ไม่ต้องเกรงใจ!”
“แม่งเอ๊ย!” สวีเหยียนอุดหูพร้อมกับนั่งยองลง อากาศร้อนอบอ้าว ไม่ได้พกน้ำมา ทรมานตรงนี้อยู่นานมาก แถมหูยังสะเทือนดังวิ้งๆ รู้สึกแค่ว่าอยากอาเจียน เหงื่อไหล ร่างกายอ่อนแรง
ซ่งเข่อหลิงเห็นสวีเหยียนนั่งยองลงอีก ด้วยความฉลาดจึงหยิบมือถือออกมาพิมพ์อักษรให้ฟางเจิ้งดูแทน “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ขึ้นรถ พวกเราจะเดินทางแล้ว ประธานหลิวรออยู่ที่บริษัท บริษัท อยู่ไกลมาก” ขณะเดียวกันยังคิดในใจว่า ‘ดูซิว่าแกจะทำยังไง!’
ซ่งเข่อหลิงกำลังหยั่งเชิงฟางเจิ้ง ดูว่าฟางเจิ้งมองอะไรออกจริงๆ หรือไม่ ถ้ามองออกจริงก็เป็นปัญหาแล้ว ทว่าก็จะเตรียมตัวล่วงหน้าง่ายด้วย
แต่สิ่งที่สิ่งซ่งเข่อหลิงตกใจคือฟางเจิ้งยิ้มบางๆ รับมือถือเธอไปพิมพ์มาว่า “ขอบคุณนะ อาตมามาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นั่งรถมาสองวันสองคืน สีกาไม่รู้หรอกว่าเหนื่อยแค่ไหน…” ซ่งเข่อหลิงเพิ่งเริ่มคิดว่าฟางเจิ้งกำลังให้ความร่วมมือจริงๆ ผลคือไม่นานก็พบความผิดปกติ หลวงจีนนี่พิมพ์ช้ามากไม่เท่าไร แต่ยังเยิ่นเย้อมากด้วย! แค่บอกเรื่องขึ้นรถไฟก็เล่าไป ปห้านาทีแล้ว! นี่ถ้ารอต่อไป เธอจะได้เป็นลมแดดเอา!