บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 474 อาตมาเล่นไพ่ไม่ค่อยเป็น
ผ่านไปอีกสามนาที ในที่สุดฟางเจิ้งก็ส่งมือถือกลับมาให้ ซ่งเข่อหลิงกำลังจะพูดบางอย่าง ก็ได้ยินฟางเจิ้งเอ่ยว่า “สีกา…”
“หลวงพี่ หยุด!” ซ่งเข่อหลิงกลัวหลวงจีนที่พูดเยิ่นเย้อนี่จริงๆ แล้ว จึงรีบห้าม
ทว่าฟางเจิ้งทำท่าจะพูดแต่หยุดไป ก่อนเปิดปากอีก ซ่งเข่อหลิงรีบปราม “อย่าพูด!”
จากนั้นซ่งเข่อหลิงพิมพ์ข้อความมาว่า “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ประธานหลิวกำลังรออยู่ เราขึ้นไปคุยบนรถเถอะ”
ฟางเจิ้งอยากจะเอามือถือมา ทว่าซ่งเข่อหลิงเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้ ไอ้เวรหัวโล้นนี่ช้าเกินไปแล้ว! เธอพิมพ์ไปว่า “หลวงพี่ ท่านพูดมา” ขณะเดียวกันก็ทิ้งระยะห่างออกไป
ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อนๆ “อาตมาหูไม่อื้อแล้ว ได้ยินแล้ว อาตมาอยากจะบอกว่าเพื่อนสีกาเหมือนไม่ค่อยสบาย นอนราบกับพื้นแล้ว”
ซ่งเข่อหลิงอึ้งงัน หันไปมอง เห็นสวีเหยียนนอนนิ่งกับพื้น ตาสองข้างเหลือกเป็นสีขาวเรียบร้อย
ซ่งเข่อหลิงรีบวิ่งเข้าไป ฟางเจิ้งก็เข้าไปช่วยเช่นกัน พวกเขาพาสวีเหยียนขึ้นรถ ให้นอนราบลง แล้วเปิดแอร์เป่า พรมน้ำใส่…ผ่านไปนานสวีเหยียนถึงลืมตาขึ้น ถามด้วยหน้ามึนงงว่า “ถึงบ้านแล้วเหรอ?”
“พูดอะไรน่ะ? ยังไม่ออกรถเลย” คนขับรถตอบ
สวีเหยียนได้ยินดังนั้น ดวงตาสองข้างดำมืด ยังไม่ถึงบ้านอีก? เขาไม่อยากสวมเสื้อผ้านี่แล้ว เกือบตาย! พอดีตอนนั้นเห็นฟางเจิ้งเข้ามาใกล้ ทำท่าทางว่าจะพูดด้วย ทำเอาสวีเหยียนตกใจจนหมดสติไปอีกรอบ
ฟางเจิ้งมองซ่งเข่อหลิงด้วยสีหน้าอย่างผู้บริสุทธิ์ ซ่งเข่อหลิงเองก็ทำหน้าจนปัญญา ได้แต่พูดว่า “โชเฟอร์ ออกรถเลย!”
รถยนต์ออกตัว เมื่อมาถึงกลางทาง สวีเหยียนลุกขึ้นนั่ง ทว่าเป็นตายอย่างไรก็ไม่พูดกับฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งมองซ่งเข่อหลิงด้วยสีหน้าไร้ความผิด ซ่งเข่อหลิงเองก็จนปัญญานิดหน่อยแล้ว ได้แต่บอกว่า “ตอนหลวงพี่ลงรถหูอื้อนิดหน่อย ฟังไม่ค่อยได้ยิน ตอนนี้หายแล้ว หลวงพี่ ดูจากที่ท่านพิมพ์มือถือ เหมือนว่าจะไม่ค่อยใช้มือถือนะคะ”
ฟางเจิ้งยิ้มอบอุ่นให้ “ใช่ อาตมาใช้มือถือน้อยมาก สมารท์โฟนสมัยนี้ฉลาดมากเลยใช้ไม่ค่อยเป็น”
“อย่างนั้นเอง หลวงพี่ ท่านใช้มือถือรุ่นอะไรคะ ให้ฉันดูได้ไหม” ซ่งเข่อหลิงกล่าว
สิ้นเสียง บรรยากาศในรถพลันตึงเครียด สวีเหยียนกับซ่งเข่อหลิงดูตึงเครียดเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ทว่าก็แค่ครู่เดียวก่อนจะเป็นธรรมชาติขึ้นมา ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็มองไม่ออกเลย ทว่าฟางเจิ้งกลับเห็นชัดเจน จึงก้มหน้าลงยิ้ม
ฟางเจิ้งตอบ “ได้แน่นอน สีกาเอาไปดูสิ”
พูดจบ ฟางเจิ้งหยิบมือถือส่งให้ซ่งเข่อหลิง ซ่งเข่อหลิงรับมือถือมาแล้วก็ยิ้มโดยพลัน ฟางเจิ้งก็ยิ้มด้วย เพียงแต่ว่ารอยยิ้มของสองคนคลับคล้ายว่าจะไม่ค่อยเหมือนกัน
ซ่งเข่อหลิงรับมือถือฟางเจิ้งมาเล่น แถมไม่บอกว่าจะคืนให้ฟางเจิ้งด้วย
หลังจากสวีเหยียนมั่นใจว่าฟางเจิ้งไม่ตะโกนแล้ว คราวนี้ถึงพูดกับฟางเจิ้ง โดยพื้นฐานจะถามสภาพความเป็นอยู่ในช่วงนี้ของฟางเจิ้ง พักวัดไหน ในบ้านมีใครบ้างเป็นต้น จุดนี้ฟางเจิ้งไม่ได้โกหกอะไร แต่ตอบไปอย่างใจกว้าง
สวีเหยียนเห็นว่าข้อมูลที่ฟางเจิ้งตอบตรงกับข้อมูลที่หลิวต้าเฉิงให้มา จึงรู้ว่าฟางเจิ้งไม่ได้โกหก ขณะเดียวกันก็ดูถูกฟางเจิ้งเล็กน้อย
สวีเหยียนยิ้มถาม “หลวงพี่ ตอนนี้วัดพวกท่านมีนักบวชอยู่กันกี่คน?”
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “วัดเอกดรรชนีเป็นวัดเล็ก นอกจากอาตมาแล้วยังมีลิง กระรอก และหมาป่าตัวใหญ่อะไรแบบนี้”
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าจะเรียกเด็กแดงอย่างไรดี บอกว่าเขาเป็นคน เจ้าตัวก็เป็นปีศาจ บอกว่าเขาเป็นพุทธ เจ้าตัวก็เป็นปีศาจ บอกว่าเขาเป็นปีศาจ แต่ก็มีหน้าตาเป็นเด็กน้อยอีก บางคนอาจบอกว่าถ้าคุณบอกว่าเขาไม่ใช่คน นั่นคือการดูถูกเด็กแดง แต่ในสายตาเด็กแดง หากบอกว่าเป็นคน นั่นต่างหากคือการดูถูกเขา! คนในสายตาของเขาไม่ต่างอะไรกับเป็ดไก่ในสายตามนุษย์ ดังนั้นฟางเจิ้งเลยใช้คำว่าอะไรแบบนี้แทน เพราะขี้เกียจอธิบาย
สวีเหยียนกับซ่งเข่อหลิงได้ยินแบบนั้น สองคนก็มองตา ก่อนยิ้มและลอบถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน ที่วัดไม่มีคน นี่เป็นเรื่องดี! ส่วนสัตว์พวกนั้น พวกเขามองข้ามไปแล้ว
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือว่าอะไร หลังจากสวีเหยียนถามฟางเจิ้งไปมากมายเหมือนสอบสวน ในที่สุดรถก็มาถึงที่หมาย
ฟางเจิ้งถึงพบว่าพวกเขามาถึงเขตชานเมือง ข้างๆ เป็นหมู่บ้านเล็ก ในหมู่บ้านเป็นตึกเล็กสามสี่ชั้น เป็นบ้านที่มีบริเวณกว้างและประตูใหญ่ กำแพงบ้านสูงสองสามเมตร คล้ายกับป้อมปราการ
“หลวงพี่ ที่นี่เป็นที่พักชั่วคราว ที่พักเดิมพวกเราเก่าแล้ว ต้องรื้อถอน ประธานหลิวบอกว่าจะสร้างโซนหรูหราขึ้นแทน ตอนนี้ให้ทุกคนพักอยู่ที่นี่ไปก่อน รอตึกสร้างเสร็จแล้ว ทุกคนจะได้ซื้อห้องของตัวเองในราคาต่ำมาก นี่เป็นสวัสดิการของพนักงานอย่างเราๆ…” ซ่งเข่อหลิงเห็นฟางเจิ้งมีทำท่าสงสัยเลยตอบทันที
สวีเหยียนพูดเช่นกัน “ใช่ บริษัทพวกเราดี ประธานหลิวก็ลำบากเหมือนกัน ไม่กลับบ้านแต่อยู่กับพวกเราเพื่อดูแลความรู้สึกพวกเรา กินด้วยกัน ไม่มีการวางมาดอะไรเลย พอนานเข้าทุกคนก็อยู่กันเหมือนครอบครัว ไม่มีกฎระเบียบอะไร”
ฟางเจิ้งพยักหน้า เขามองว่าข้ออ้างเหล่านี้เป็นคำพูดไร้สาระ แต่ก็ยังให้ความร่วมมือด้วย ยิ้มตอบว่า “ที่แท้ก็แบบนี้เอง”
“ไปเถอะ ลงรถเอาของไปวาง ทำความรู้จักบ้านหน่อย พรุ่งนี้ค่อยไปดูที่บริษัทกัน” สวีเหยียนพูดจบก็ลากฟางเจิ้งเดินเข้าไปในบ้าน ช่วยไม่ได้ อากาศร้อนเกินไป เขาไม่อยากเป็นลมแดดอีก แค่อยากทำภารกิจให้เสร็จเร็วๆ เสร็จงานแล้วจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เย็นสบายหน่อย
เมื่อเข้าลานบ้านมา ฟางเจิ้งเห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งตากลมอยู่ใต้ชายคา มีชายหญิงนั่งเล่นไพ่เป็นกลุ่มสามถึงห้าคน ข้างๆ ยังมีคนใช้กระดาษทำเป็นพัดคอยพัดให้
พอเห็นฟางเจิ้งเข้ามาก็พากันทักทาย
ฟางเจิ้งยิ้มตอบกลับทีละคน คนเหล่านี้มีสีหน้าอดอยาก ดูไร้เรี่ยวแรง นี่อธิบายทุกอย่างได้แล้ว เดาว่าที่นี่คงมีปัญหาเรื่องอาหารการกิน…
สวีเหยียนพูดว่า “พวกเราที่นี่เป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านไม่ต้องเกรงใจ หลวงพี่ ท่านนั่งรถมานาน พักสักหน่อยไหม?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาไม่เหนื่อย หลิวต้าเฉิงล่ะ?”
“ประธานหลิวออกไปแล้ว ยังไม่กลับมาเลย ถ้าไม่อย่างนั้นก็เล่นไพ่สักสองตาเอาไหมครับ?” สวีเหยียนแนะนำ
เมื่อฟางเจิ้งได้ยินว่าเล่นไพ่ ดวงตาก็เปล่งประกาย! เล่นไพ่ครั้งก่อนยังตราตรึงใจอยู่เลย ไม่นึกเลยว่าจะมีคนอยากเล่นไพ่กับเขาอีก นี่เป็นเรื่องดี! ฟางเจิ้งจึงตอบ “อาตมาเล่นไม่ค่อยเป็น ไม่กินเงินกันหรอกใช่ไหม?”
“กลัวอะไรครับ? พวกเราเล่นกันน้อยๆ เอาสนุกๆ เท่านั้น ไม่ใช่การพนันหรอก เล่นวันหนึ่งเสียไม่ถึงร้อยหยวนหรอกครับ” สวีเหยียนบอก
“เฮ้ย หลวงพี่ท่านนี้จะเล่นไพ่เหรอครับ? มาๆๆ…นั่งที่พวกเรานี่” ผู้ชายคนหนึ่งเรียก ตบๆ ลังกระดาษข้างๆ ความหมายคือนี่คือที่นั่ง
ฟางเจิ้งมองไป เหมือนว่าทุกคนจะนั่งบนลังกระดาษหรือไม่ก็หนังสือพิมพ์ เทียบกับหนังสือพิมพ์บางๆ นั่นแล้ว ลังกระดาษถือว่าเป็นสวัสดิการระดับโซฟาหนังจริงๆ ฟางเจิ้งไม่เกรงใจแล้ว เขานั่งขัดสมาธิลงและบอกว่า “อาตมาเล่นไพ่ไม่ค่อยเป็นนะ”
………………………..……..