บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 477 หลวงจีนนี่กินเก่ง!
สวีเหยียนได้ยินดังนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมา พลันเอ่ยด้วยความโกรธว่า “เป็นแบบนั้นได้ยังไง? หลวงพี่ฟางเจิ้งเป็นแขกคนสำคัญของประธานหลิว จะให้กินไม่อิ่มได้ไง ออกไปซื้อบะหมี่มา!”
“บะหมี่ธรรมดาเราก็อายจะให้หลวงพี่กิน บะหมี่ดีต้องไปซื้อที่ตลาด ไปกลับก็สองชั่วโมงแล้ว” ซ่งเข่อหลิงคิดขึ้นได้เช่นกัน เอ่ยตอบไปทันที
สวีเหยียนแอบยกนิ้วโป้งให้ ให้ความร่วมมือดีเลย! สวีเหยียนมองฟางเจิ้งพลางว่า “หลวงพี่ ท่านว่า…”
ฟางเจิ้งยิ้มเจิดจ้า สวีเหยียนที่มองอยู่โล่งอกในใจนิดๆ ดูท่าหลวงจีนนี่คงรู้จักพอแล้ว แต่ปรากฏว่าได้ยินฟางเจิ้งพูดอีก “อมิตาพุทธ ไม่เป็นไร อาตมารอได้ สีการีบไปเถอะ”
สวีเหยียนกับซ่งเข่อหลิงพูดไม่ออกในฉับพลัน เคยเจอคนหน้าหนา แต่ไม่เคยเจอที่หน้าหนาแบบนี้มาก่อน! ทว่าท้ายที่สุดสวีเหยียนก็ยังพยักหน้า “ไปซื้อเถอะ”
ซ่งเข่อหลิงกัดฟันเดินออกไป แต่จนบ่ายแล้วก็ยังไม่กลับมา…
ซ่งเข่อหลิงไปแล้ว ฟางเจิ้งวางชามบะหมี่ลง ขณะจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างนั้น สวีเหยียนรีบพูด “หลวงพี่ ท่านดูสิ วันอากาศร้อนแบบนี้ นอนกลางวันหน่อยดีไหม เดี๋ยวผมจัดเตียงให้…”
พูดจบสวีเหยียนก็เดินไปข้างนอก เขากลัวแล้ว ถ้าฟางเจิ้งร้องจะกินอีกก็ไม่มีอะไรให้กินแล้วจริงๆ เงินในมือเหลือไม่มาก อีกอย่างฟางเจิ้งไม่ใช่ลูกข่ายของเขาโดยตรง ดึงเข้ามาจะได้ เงินไม่เยอะ เลยไม่ต้องตามติดมาก…
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “ก็ดี ถึงยังไงจากนี้ก็จะอยู่อีกยาว”
ไม่รู้ทำไม เมื่อก่อนสวีเหยียนพูดแบบนี้กับคนใหม่ไม่น้อย แถมทุกครั้งที่พูดจะลำพองใจนิดๆ คนใหม่เองก็เคยพูดแบบนี้ ทว่าไม่นานจะเสียใจภายหลัง…แต่พอคำพูดนี้ออกจากปากหลวงจีนนี่ เขากลับรู้สึกเย็นวาบข้างหลัง
ที่พักที่จัดให้ฟางเจิ้งไม่ได้พิเศษ เป็นห้องหนึ่ง มีเตียงหนึ่ง บนพื้นปูพื้นไว้ทั้งหมด ภายในห้องยี่สิบตารางเมตรพักอยู่กันเจ็ดแปดคน มีทั้งชายและหญิง เมื่อเห็นดังนั้น ในที่ส สุดฟางเจิ้งก็ไม่สบายใจนิดๆ ดีเลวอย่างไรเขาก็เป็นหลวงจีน คนเยอะไม่เท่าไร วุ่นวายนิดหน่อยไม่อะไร แต่ให้อยู่รวมกับผู้หญิงไม่ค่อยดีละมั้ง? ถึงจะตื่นเต้นอยู่นิดๆ…แต่หลังจากเขาเห ห็นหน้าตาของผู้หญิงเหล่านั้นแล้ว ก็สวดอมิตาพุทธเงียบๆ ตัดสินใจว่าจะยืนหยัดในขีดจำกัดเส้นตายของตน
สวีเหยียนเองก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร แต่ไม่มีที่เหลือให้ฟางเจิ้งพักแล้วจริงๆ เลยพูดว่า “หลวงพี่ ตอนนี้เรามีเท่านี้ อีกไม่นานรอสร้างอาคารเสร็จแล้วก็จะดีเอง”
ฟางเจิ้งไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่พยักหน้ายอมรับ ถึงอย่างไรแค่ไม่มองสิ่งที่ไม่ควรมองก็พอ
เมื่อเห็นฟางเจิ้งเข้ามา กลุ่มคนมองฟางเจิ้งราวกับแค้นกันมานาน พอไอ้บ้านี่เข้ามาก็ชนะเงินพวกเขาจนหมด จะไม่ให้โกรธได้หรือ?
ฟางเจิ้งทำเป็นมองไม่เห็น เขาไม่ได้นำเครื่องนอนมาด้วย ทว่าสวีเหยียนตัดเครื่องนอนให้เขาชุดหนึ่ง ไม่ค่อยสะอาดเท่าไร แต่ก็พอถูไถใช้ได้ พอมองคนรอบๆ กับห้องแล้ว ฟางเจิ้งปลงอนิจ จจังในใจ ตอนแรกวัดเอกดรรชนียากจนมาก เสื้อผ้ายังต้องปะชุน แต่เสื้อผ้ากับเครื่องนอนจะสะอาดมาก หากใช้คำพูดของหลวงจีนหนึ่งนิ้วเอ่ยคือ เสื้อผ้าเพียงแค่ให้ความอบอุ่น สวยหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่จะต้องรักษาความสะอาด นี่คือการเคารพต่อตนเองและผู้อื่น…
ดังนั้นถึงเสื้อผ้าฟางเจิ้งจะเก่า แต่ก็ไม่เคยสกปรกเลย ทว่าสิ่งเหล่านี้ตรงหน้า…เขาได้แต่แอบส่ายหัว
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง บนผนังด้านตรงข้ามแขวนอักษรไว้แถวหนึ่ง ด้านบนเขียนว่า ‘พยายามฟันฝ่าหนึ่งร้อยวัน ฉลองปีใหม่อย่างสุขสันต์!’
ข้างล่างยังมีอีกว่า ‘ถ่อมตัว เรียนรู้ เชื่อฟัง ทำตาม เผชิญหน้า’
หัวเตียงแปะอักษรใหญ่หลายตัวไว้ ‘กระตือรือร้นเดินหน้า ไม่พูดด้านลบ’
ฟางเจิ้งส่ายหน้าน้อยๆ คำพูดเหล่านี้ก็ไม่เลว น่าเสียดายวางไว้ผิดที่ พอวางไว้ที่นี่ ทำแบบนี้จริงๆ แล้ว ผลสุดท้ายคือเอาตัวเองตกลงไปจนถอนตัวไม่ขึ้น จากนั้นลากเพื่อนลงมาแล้วก็ห หลุดไม่พ้นเช่นกัน เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิตคนคือไม่เอาเงินให้คนอื่น แต่มอบจิตวิญญาณให้คนอื่น เสียความเป็นตัวเองไปเหมือนกับตาย ความหมายเดียวที่มีชีวิตอยู่คือเป็นเครื่ องมือของคนอื่น ไร้คุณค่าในตัวเอง!
แต่ฟางเจิ้งไม่ได้พูดอะไร เพียงนั่งนิ่งๆ หยิบลูกประคำออกมาสวดมนต์ เขาในตอนนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย อยากจะช่วยคนเหล่านี้ก็ไม่รู้จะลงมือจากตรงไหน นอกจากนี้เขาอยากดูด้ วยว่าคนเหล่านี้จะหลอกคนอื่นอย่างไร
ซ่งเข่อหลิงออกไปจนบ่ายแล้วก็ไม่กลับมาจริงๆ ตกช่วงเย็นถึงหอบหายใจแรงกลับมา เอ่ยกับฟางเจิ้งด้วยความเกินจริงและจริงจังว่า “หลวงพี่ ท่านไม่รู้หรอกว่าฉันหาไปทั่วเมืองเลยกว่า จะซื้อบะหมี่ชั้นดีมาได้ และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านว่าทำไมบะหมี่มันซื้อยากแบบนี้ เมืองนี้ยังเล็ก จากนี้พอได้เงินมาต้องไปเมืองใหญ่ อยากกินอะไรก็จะได้กิน”
ฟางเจิ้งฟังไปยิ้มไป พูดแบบนี้ไปหลอกผีผียังไม่เชื่อเลย! แต่ฟางเจิ้งไม่ได้ว่าอะไร ช่วงเย็นเขายังคงได้กินอาหารชั้นดี ส่วนคนอื่นกินอะไรเขาไม่รู้ ทว่าอาหารชั้นดีนั่นคือหมั่นโถ ถวสามลูก คนพวกนั้นจะได้กินของดีอะไร แค่ใช้เท้าคิดก็รู้แล้ว
ยามเย็น สวีเหยียนมาหาฟางเจิ้ง บอกว่าสภาพแวดล้อมที่นี่แย่หน่อยเลยว่าจะเปิดโรงแรมให้เขาพัก แต่ต้องการบัตรประชาชนไปเปิดโรงแรม ฟางเจิ้งทำเป็นไม่เข้าใจอะไรเลย ก่อนจะให้บัตรประชาช ชนกับสวีเหยียนไปอย่างใจกว้าง
ไม่ผิดคาด สามทุ่มกว่าสวีเหยียนกลับมาอีกครั้ง “เฮ้อ หลวงพี่ เรื่องมันซับซ้อนหน่อยนะ วันนี้ไปจองห้องที่โรงแรม แต่ตำรวจมากวาดล้างผู้หญิงหากิน เอาบัตรประชาชนไปหมดเลย ดูแล้วต้อง อีกหลายวันถึงจะได้คืน”
ฟางเจิ้งยิ้มบอก “ไม่เป็นไร อาตมารอได้ ถึงยังไงก็ไม่รีบไป”
“อ้อ ไม่รีบไปก็อยู่อีกสักพักสิครับ เที่ยวหลายวันหน่อย ไม่ต้องรีบ” สวีเหยียนยิ้มราวกับจิ้งจอกน้อย เพียงแต่เขายังมองไม่ออกว่ากระต่ายน้อยตัวนี้มีเขี้ยวยาว
สวีเหยียนออกไปแล้ว สักพักก็ยกอ่างน้ำมาวางตรงหน้าฟางเจิ้ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลวงพี่ มา ผมล้างเท้าให้ วันนี้เหนื่อยแย่เลยสิครับ? เทคนิคการนวดของผมค่อนข้างดีเลย!”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นถึงกับผงะอยู่กับที่ รีบส่ายหน้าบอก “ประสก ช่างเถอะ อาตมาทำเองดีกว่า”
“แบบนั้นได้ยังไงครับ? เข้าประตูบ้านนี้มาแล้วเราคือครอบครัวเดียวกัน! ไม่ต้องเกรงใจ มา ผมล้างเท้าให้ ไม่ต้องเกรงใจครับ” สวีเหยียนกล่าว
ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตดำเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้ามา “ผู้ดูแล ผมเองดีกว่า”
สวีเหยียนเองก็ไม่เต็มใจนัก แต่ก็ให้ชายเสื้อเชิ้ตดำทำไป ชายคนนั้นรีบวางเท้าฟางเจิ้งลงในอ่างอย่างดี…
ฟางเจิ้งมองสวีเหยียนก่อนจะมองผู้ชายคนนี้ ยากจะปัดน้ำใจงาม จึงวางเท้าลงไปเสีย อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ถึงชายสวมเสื้อเชิ้ตดำจะหน้าตาธรรมดา แต่ฝีมือการล้างเท้าถือว่าไม่เ เลวเลย
ฟางเจิ้งอดไม่ไหวถามว่า “ประสกท่านนี้ ล้างเท้าให้คนบ่อยหรือ?”
“บ่อย? ไม่บ่อยหรอกครับ เป็นบางครั้ง เดือนหนึ่งล้างสิบกว่าครั้ง ต้องดูสถานการณ์ ท่านอย่าเรียกผมประสกเลย เรียกชื่อผมเถอะ ผมซุนผู่ ผู่จากคำว่าผู่ซู่ที่แปลว่าง่ายๆ น่ะคร รับ” ซุนผู่กล่าว
ฟางเจิ้งพยักหน้า มองสภาพแวดล้อมทรุดโทรมรอบๆ พลางพูด “บุพการีประสกรู้ล่วงหน้าจริงๆ ตั้งชื่อได้ตรงตามความจริงเลย!”