บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 478 อาตมาไม่ดูถูกการกรน
ซุนผู่ฟังความหมายไม่ออก แต่หัวเราะตาม “ชื่อไม่ดีหรอกครับ ตอนนี้ธรรมดาเกินไปแล้ว ถ้าตั้งชื่อดีๆ ไม่แน่ตอนนี้อาจจะไปได้ไกลแล้ว”
“ประสกมาที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?” ฟางเจิ้งถามด้วยความแปลกใจ
“หนึ่งปีแล้วครับ” ซุนผู่ตอบ
ฟางเจิ้งว่า “หนึ่งปี สิบสองเดือน…” เอ่ยต่อในใจว่าหนึ่งเดือนสิบกว่าครั้ง หนึ่งปีต้องล้างเท้าให้คนอื่นเป็นร้อยครั้ง มิน่าถึงได้มีทักษะชำนาญแบบนี้! ถ้าเจ้านี่ไม่ทำธุรกิจแบบพีระมิดแล้วกลับไปทำงานล้างเท้าหรือเปิดร้านนวดเท้าบำบัด ไม่แน่อาจจะรวยก็ได้…
หลังล้างเท้าเสร็จ สวีเหยียนยกน้ำมาชามหนึ่ง วางลงไว้ข้างๆ “อากาศร้อน ตอนดึกกระหายน้ำก็ดื่มได้นะครับ”
ฟางเจิ้งขอบคุณรัวๆ ถึงในตัวสวีเหยียนจะไม่มีสิ่งดีอะไร แต่ฟางเจิ้งก็ยังเข้าใจหลักการที่ว่าไม่ยื่นมือไปทำร้ายคนยิ้มแย้มให้
สวีเหยียนพูดอีกประโยคก่อนจะออกไป
ซุนผู่เข้ามาใกล้ฟางเจิ้ง ถามว่า “หลวงพี่ ท่านคิดจะอยู่ที่นี่ยาวจริงๆ เหรอ?”
“ใช่ อาตมาว่าที่นี่ดีมาก ทุกคนเป็นมิตรมาก เหมือนครอบครัวเดียวกันเลย อาตมาว่าจะอยู่ยาว ขอแค่ทุกท่านไม่ไล่อาตมา อาตมาจะอยู่ที่นี่ตลอดไป” ฟางเจิ้งตอบ
ซุนผู่ได้ฟังแบบนั้นก็หัวเราะแห้งๆ เพียงแต่ว่าในรอยยิ้มมีความยิ้มเยาะมากกว่า คิดในใจว่า ‘พูดแบบนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ร้องไห้อยากจะกลับไปแล้ว…’
คนอื่นๆ ก็มีความคิดไม่ต่างกัน เวลาสามทุ่มครึ่งกว่า พวกเขาปิดประตูปิดไฟ เมื่อปิดประตู ลมที่เข้าออกตามช่องลมก็น้อยลง ในห้องก็มีคนเพิ่มมา ครู่เดียวจึงอากาศร้อนอบอ้าว หลายคนพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ ฟางเจิ้งอดไม่ไหวเอ่ยถาม “ทุกท่านยังไม่นอนอีกหรือ?”
ซุนผู่ตอบกลับ “เปล่าครับ กำลังคิดถึงทิศทางชีวิตอยู่ ทบทวนสิ่งที่เรียนมาในวันนี้ เลยยังไม่นอนน่ะครับ” เขากระดากอายที่จะบอกว่าตนร้อนจนนอนไม่หลับ
มีคนขานรับอีก “หลวงพี่ ท่านนอนก่อนเถอะ พวกเราชอบกรน เสียงดังสนั่นเลย ถ้านอนก่อนเดี๋ยวท่านจะนอนไม่หลับ”
“ฮ่าๆ…ใช่ ท่านนอนเถอะ” มีคนขานตอบ
ฟางเจิ้งพลันตอบอย่างมีเหตุมีผล “พูดอะไรอย่างนั้น? อาตมาเป็นนักบวช ในเมื่อมาทางโลกก็ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมสถานที่นั้นๆ แค่กรนเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร วางใจเถอะ อาตมาไม่ได้ใจแคบถึงขนาดนอนไม่หลับหรือโกรธเพราะกรนอะไรพวกนั้น อีกอย่างอาตมาไม่ดูถูกคนนอนกรน…”
“หลวงพี่พูดดี สมกับเป็นพระอาจารย์ที่รู้แจ้ง” ซุนผู่กล่าว
“ใช่ กรนแล้วทำไม? กรนแล้วก็ไม่ได้ขอข้าวบ้านแกกินนี่ ไม่ได้จ่ายเงินบ้านแกด้วย หลวงพี่ เรื่องนี้ผมสนับสนุนท่าน”
“ถูกๆ ทุกคนอยู่ด้วยกันเป็นพรหมลิขิต แค่กรนเอง ไม่เป็นไร”
หลายคนซึ่งเดิมทีกำลังไม่พอใจที่เสียเงินพลันเอ่ยขึ้น
“เอาละ พวกแกนอนกรน แต่ละคนเสียงดังกันทั้งนั้น มาพูดตอนนี้ไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นหรอก หลวงพี่พูดดีกว่า…”
ฟางเจิ้งหัวเราะตอบ ทุกคนคุยกันชั่วครู่ก็พากันเข้านอน ทว่าอากาศร้อน จึงนอนไม่หลับ…
แต่ว่าบางคนกลับนอนหลับไปแล้ว จากนั้น…
‘ครอก! ครอก!’
เสียงกรนสนั่นฟ้าดังขึ้น ซุนผู่ที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะง่วงตกใจลุกขึ้นนั่ง ข้างๆ ก็เหมือนกับศพขยับ คนที่นอนเรียงแถวพากันตกใจลุกขึ้นนั่ง แต่ละคนมองหน้ากัน สุดท้ายมองไปที่ต้นตอเสียงกรน…ฟางเจิ้ง!
“ไอ้เวร มิน่าถึงพูดดีจัง ที่แท้เขาก็กรนดังกว่าเรารวมกันอีก…” คนที่นอนกรนคนหนึ่งด่าว่า
“ซุนผู่ ทำไงดี? เสียงดังแบบนี้จะนอนยังไง?” ผู้หญิงคนหนึ่งบ่น
“เธอถามฉัน ฉันจะไปถามใคร เมื่อกี้พวกเธอยังคุยโม้กันอยู่เลย บอกว่านอนกรนไม่เป็นไรไม่ใช่รึไง? ทีตอนนี้ไม่พูดล่ะ?” ซุนผู่ว่า
“เมื่อกี้นายก็พูดด้วยไม่ใช่รึไง ทำไมตอนนี้มาโทษพวกเรา?” คนหนึ่งพูดขึ้น
ซุนผู่ตอบอย่างมีเหตุผล “ใช่ ดังนั้นฉันเลยไม่ปลุกเขาไง”
“นายไม่ปลุก ฉันก็ไม่ปลุก”
“ถ้าอย่างนั้นทุกคนทนไปด้วยกันเถอะ”
‘ครอก!’ เสียงกรนสนั่นฟ้าดังอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมเสียงนั้นถึงเหมือนดังข้างหู สะเทือนจนแต่ละคนเจ็บกกหู
ซุนผู่อุดหูพลางด่าทอ “แม่งเอ๊ย นี่ไม่ใช่เสียงกรนแล้ว นี่มันฟ้าผ่า!”
คนอื่นด่าทอตาม จงใจพูดเสียงดัง ต้องการจะปลุกฟางเจิ้ง ทว่าพวกเขาก็พบสิ่งที่น่าเศร้าคือ พวกเขาเพิ่มเสียงแล้ว เสียงกรนของฟางเจิ้งก็เพิ่มตาม เสียงกรนนั้นดังสนั่นจนทุกคนพากันกอดหัว กดหมอน ม้วนผ้าห่ม ทำทุกวิถีทางแล้ว
“อดทนไว้ อีกสักพักอาจจะไม่กรนแล้ว” ซุนผู่กล่าว
ผลคือสิบนาทีผ่านไป
‘ครอก! ครอก!’
สามสิบนาทีผ่านไป
‘ครอก! ครอก!’
“เชี่ย ทนไม่ไหวแล้ว ฉันจะออกไปนอนข้างนอก!” ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ลุกขึ้นหอบผ้าปูที่นอนออกไป
“ฉันก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน จะไปข้างนอก” ผู้หญิงคนหนึ่งถือหมอนและผ้าห่มออกไปด้วย
“ฉันก็ไปเหมือนกัน…”
สามสิบนาทีต่อมา ในห้องเหลือเพียงซุนผู่ เขามองห้องที่ว่างเปล่าพลางฟังเสียงฟ้าผ่าข้างๆ สุดท้ายซุนผู่ก็ยอมแพ้ หอบผ้าห่มออกไปเช่นกัน
รอจนทุกคนไปแล้ว ฟางเจิ้งลืมตาขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มชั่วร้าย ก่อนจะเก็บอภินิหารความฝันยามต้นข้าวฟ่างแล้วพลิกตัวนอนต่อ
วันต่อมา ไก่ในหมู่บ้านยังไม่ขัน ฟางเจิ้งก็ตื่นนอนแล้ว เขาชินกับการนอนเร็วตื่นเช้า มองๆ ในห้องที่ว่างเปล่าพลางยิ้มเบิกบานกว่าเดิม เมื่อผลักประตูออกไป เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งนอนอยู่ใต้ชายคาบ้านข้างนอก บ้างห่อตัวในผ้าห่ม บ้างนอนขวาง บ้างเตะขากัน ท่านอนหลากหลาย ขณะเดียวกันตามตัวก็ถูกยุงดูดเลือดจนอิ่ม คนแล้วคนเล่า หลายคนยังเกาอยู่ในความฝัน
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็เห็นใจพวกเขาเล็กน้อย เขาทำแบบนี้เกินไปหน่อยหรือไม่?
ทว่าตอนที่ฟางเจิ้งเหลียวไปเห็นโซ่เหล็กอันใหญ่ตรงประตูใหญ่ รวมถึงคนสองคนที่นั่งนอนเฝ้าประตูอยู่ ความเห็นใจอันน้อยนิดในใจก็พลันหายไป
ฟางเจิ้งพยักหน้าแล้วเดินเข้าครัว หันตัวไปมองมีดหั่นผักด้านบน เจ้านี่มีรูโหว่ ฟางเจิ้งหยิบขึ้นมาลอง แต่ไม่อยากเชื่อว่ามันทื่อจนหั่นผักยังต้องออกแรง! เขามองคนข้างนอกก่อนส่ายหน้าเล็กน้อย คิดในใจว่า ‘คงเพื่อกันไม่ให้คนอื่นฆ่าตัวตายหรือไม่ก็ใช้อาวุธทำร้าย ทำเรื่องเลวครบทุกอย่างจริงๆ…’
ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งมองไปที่วัตถุหลายชิ้น จากนั้นเผยยิ้มชั่วร้ายเสี้ยวหนึ่ง… “แกนี่แหละ”
‘แก๊ง!’
‘แก๊ง!’
‘แก๊ง!’
ซุนผู่ที่กำลังหลับสบายพลันได้ยินเสียงเคาะดังสนั่น เสียงดังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้! ทำเอาเขาตกใจสะดุ้งตื่น เหงื่อเย็นๆ ซึมไปทั้งตัว! ทว่าเขาไม่สนใจแล้ว ดวงตาแดงก่ำมองไปยังต้นตอเสียงด้วยความโกรธ!
…………………..