บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 479 เคาะระฆัง
ในลานบ้าน บนตั่งตัวหนึ่ง เห็นเพียงหลวงจีนหัวโล้นรูปหนึ่งหิ้วอ่างเหล็กผุๆ ในมือถือทัพพีตักข้าวกำลังเคาะดังแก๊งๆ! แถมเคาะไปที สวดอมิตาพุทธไปที
เวลานั้นซุนผู่อยากจะเข้าไปกัดไอ้สารเลวคนนี้ให้ตายจริงๆ อมิตาพุทธพ่อเอ็งสิ! เช้าขนาดนี้ยังจะไม่ให้คนอื่นนอนกันรึไง?
ซุนผู่ไม่ได้ตะโกนออกไป แต่มีคนเริ่มด่าทอว่า “แม่งเอ๊ย! กลางดึกกรน ตอนเช้ายังเคาะอ่างอีก นี่แกเป็นปีศาจลูกบ้านไหนวะ?! จะไม่ให้คนอื่นนอนกันรึไง หัดมีคุณสมบัติของคนบ้าง?”
“ไอ้ลาหัวล้านบ้า อย่าเคาะ! ฉันทนแกมานานมากแล้ว!”
“ไอ้ห่า หูฉันจะระเบิดอยู่แล้ว!”
“เชี่ย! ฉันจะฆ่าคน!”
………
คนเหล่านี้ตะโกนขู่ขวัญ ทว่าฟางเจิ้งกลับไม่สนใจ ยังคงเคาะอ่างเหล็กดังแก๊งๆ สวดมนต์อย่างจริงจังและศรัทธามาก
เสียงเคาะอ่างเหล็กผุๆ แบบนี้ปลุกพวกสวีเหยียนและซ่งเข่อหลิงที่กำลังหลับฝันเช่นกัน พอสองคนวิ่งออกมาดูก็พลันรู้สึกหมดคำจะพูด สวีเหยียนด่าไปโดยจิตใต้สำนึก “ไอ้หลวงจีนสารเ เลวนี่ จะทำอะไรกันแน่? อยากตายรึไง?”
ตอนนี้เอง คนหนึ่งมาที่ข้างหลังสวีเหยียน “เขาคงไม่ได้จงใจก่อเรื่องที่นี่เพราะอยากให้เรารำคาญแล้วปล่อยไปหรอกใช่ไหม?”
สวีเหยียนหันไปมอง ทักทายเสียงเบาทันที “หัวหน้า คุณก็ตื่นเหมือนกันเหรอ?”
“เสียงดังขนาดนี้จะไม่ตื่นได้ไง? ไปถามเขาซิว่ากำลังทำอะไร ถ้าจงใจก่อปัญหาจริงๆ ก็จำต้องใช้มาตรการแบบเหนือ[1]ซะแล้ว” หัวหน้าหญิงกล่าวอย่างเย็นชา “ฉันเคยเห็นคนแบบนี้มาเยอะ ถ้าไ ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ก็ต้องใช้ไม้แข็ง ต้องมีสักทางที่จัดการได้!”
สวีเหยียนกล่าว “หัวหน้าวางใจ ผมจัดการเขาได้แน่!”
สวีเหยียนพูดจบก็เดินออกไป มาที่ข้างหลังฟางเจิ้งแล้วตบๆ อีกฝ่าย
ปรากฏว่าฟางเจิ้งหมุนตัวกลับมา ยกมือขึ้นก่อนตีลง!
แก๊ง!
“ไอ้ห่าเอ๊ย…” สวีเหยียนนั่งยองลงพร้อมกับอุดหู
ฟางเจิ้งเห็นสวีเหยียนจึงเก็บอ่างเหล็ก ตั้งมือขึ้นข้างหนึ่ง “อมิตาพุทธ ประสก มีเรื่องอะไรหรือ?”
“โอย…” สวีเหยียนคลึงใบหู พยายามอดทนไม่ให้ตัวเองด่าคน กดเพลิงโทสะไว้ และถามว่า “หลวงพี่ ท่านกำลังทำอะไร?”
“เคาะระฆัง! อาตมาอยู่ที่วัด ทุกวันตอนเช้าจะเคาะหนึ่งร้อยแปดครั้ง ช่วยไม่ได้ วัดอาตมายากจนเกินไป มีระฆังแค่ใบเดียว ถ้ามีกลองน่าจะเคาะด้วยกัน แต่ว่าเราไม่มีทั้งระฆังและกลอง อ อาตมาคันมือเลยได้แต่เคาะอ่างเหล็กกับสวดมนต์ทำวัตรเช้าแทน” ฟางเจิ้งอธิบายด้วยมาดขรึม
“หยุดเคาะก่อนครับ ท่านลงมา ผมมีเรื่องจะพูดกับท่าน” สวีเหยียนเห็นฟางเจิ้งทำหน้าจริงจัง ไม่มีท่าทีว่าโกหกหรือจงใจก่อปัญญา แถมเขาเองก็รู้ว่าวัดมีกฎนี้เลยเชื่อเช่นกัน
ฟางเจิ้งวางอ่างเหล็กกับทัพพีตักข้าวลงแล้วเดินมาอยู่ข้างสวีเหยียน สวีเหยียนพูด “หลวงพี่ ท่านว่าท่านก็มาตั้งนานแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าบริษัทเราทำอะไร อีกเดี๋ยวจะมีอาจารย์ม มาบรรยายให้ฟัง ท่านเข้าไปฟังทำความเข้าใจหน่อย แล้วพวกเราค่อยคุยเรื่องหลังจากนั้นกัน ว่ายังไงครับ?”
ฟางเจิ้งพยักหน้าทันที “ได้ อาตมาก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนตั้งมากมายอยู่ในรังที่นี่ ไม่ไปเข้างานที่โรงงานแล้วทำอะไรกัน”
“แน่นอนว่าเป็นธุรกิจใหญ่ครับ! เอาละ ผมจะไม่พูดกับท่านเยอะ ถึงตอนนั้นท่านจะรู้เอง วันนี้ทำตามกันไปก่อนนะครับ เรากินข้าวด้วยกัน หลังจากนี้ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน กินด้วยกัน น เที่ยวด้วยกัน ทำงานด้วยกัน สร้างกำไรด้วยกัน!” สวีเหยียนกล่าว
ฟางเจิ้งพยักหน้าเหมือนลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือก ราวกับยอมรับทุกอย่างเป็นอย่างดี
สวีเหยียนเห็นแบบนั้นพลันพูดเสริมไปว่า “หลวงพี่ ท่านก็เห็นแล้ว พวกเราที่นี่พักอยู่ด้วยกัน ท่านเคาะระฆังที่วัดไม่เป็นไร แต่ที่นี่พวกเราไม่มีระฆัง เคาะอ่างเหล็กผุๆ นั่นเสีย ยงมันไม่รื่นหู แถมน่าตกใจ ที่สำคัญคือท่านเคาะทีกระทบถึงคนเราเองยังดี แต่ถ้าเพื่อนบ้านนอนไม่หลับ แจ้งตำรวจบอกว่าพวกเรารบกวนคนอื่นนั่นก็ไม่ดีแน่ ดังนั้นท่านต้องเปลี่ยนกิจวั ตรตรงนี้”
ฟางเจิ้งยอมรับด้วยความยินดี “ประสกสวีพูดมีเหตุผล อาตมาจำไว้แล้ว”
เห็นฟางเจิ้งพูดจาว่าง่ายแบบนี้ สวีเหยียนเลยไม่ต้องใช้คำพูดที่เตรียมมาข้างหลัง รวมถึงคำขู่ต่างๆ นานารวมถึงกลอุบายใช้ความรุนแรงแล้ว แต่ตบบ่าฟางเจิ้งอย่างพอใจ “เรื่องสุดท้าย ท่าน นว่าเราสนิทกันขนาดนี้ อย่าเรียกหลวงพี่หรือประสกเลย ท่านเรียกผมสวีเหยียนหรือผู้ดูแลสวีก็ได้ ผมจะเรียกท่านว่าฟางเจิ้งหรือหนุ่มหล่อเป็นไง?”
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “ได้สิ เรียกว่าหนุ่มหล่อแล้วกัน”
“เหอะๆ…” สวีเหยียนพบว่าหลวงจีนตรงหน้านี่แม่งหน้าด้านจริงๆ! อย่างน้อยก็หนากว่าเขา! ทว่าฟางเจิ้งให้ความร่วมมือแบบนี้ เชื่อฟังแบบนี้ เขาเองก็สบายใจ เพียงแค่ไม่สบายหูนิดๆ
ตอนนี้เอง เสียงแก๊งดังแว่วมา สวีเหยียนหน้าทะมึน! คราวนี้ใครอีก?
สวีเหยียนหันไปมอง เห็นแต่ซุนผู่กำลังเคาะอ่างเลียนแบบฟางเจิ้ง เคาะทีหนึ่งแล้วก็โคลงศีรษะบอก “แปลก ทำไมเสียงไม่ดังขนาดนั้นเลยล่ะ? ไม่สะเทือนหูด้วย…”
สวีเหยียนรีบเดินเข้ามาแย่งไป ด่าทอว่า “มาก่อเรื่องอะไร? จะกินข้าวไหม?”
จากนั้นสวีเหยียนถืออ่างเหล็กเข้าไปในครัว ไม่นานนักมีเสียงแก๊งดังขึ้น ตามด้วยเสียงบ่นแว่วมาว่า “จริงด้วย มันไม่ได้ดังขนาดนั้นนี่…หรือว่าวิธีเคาะไม่ถูกต้อง?”
ฟางเจิ้งยิ้มๆ เขาเคาะเกิดเสียงไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะทำได้ ไม่มีอภินิหาร ไม่เข้าฝัน นายจะเคาะเกิดเสียงดังได้อย่างไร?
ฟางเจิ้งก่อความวุ่นวายแบบนี้ ทุกคนเลยตื่นนอนกันแล้ว ในที่สุดพวกซุนผู่ก็หาคนมาระบายประสบการณ์น้ำตาไหลเป็นสายเลือดแวววาวเพราะฟางเจิ้งเมื่อคืนได้ พูดพึมพำเป็นกอง แลกกลับมาได้เป ป็นแววตาเห็นใจ จากนั้นก็เกิดความขัดแย้งขึ้นมา
“ไม่ได้ ซุนผู่ ผู้ดูแลสวีให้เขาอยู่กับพวกนาย ทำไมถึงมายัดให้พวกเราแทน? อีกอย่าง พวกเราเต็มแล้ว ไม่มีที่เว้ย”
“เหล่าซุน ฉันว่านายหาสำลีอะไรพวกนี้มาใช้เถอะ อดทนไว้”
“อดทน? อดทนอีกก็จะเป็นบ้าแล้ว!” ซุนผู่แทบร้องไห้ คนที่ไม่เคยประสบจะไม่รู้ถึงความเจ็บปวดในนั้นเลย
“ต้องสำเร็จสิ เป็นบ้าไปก่อน! สู้ๆ!” ทุกคนให้กำลังใจ
ซุนผู่พลันพูดไม่ออก ด่าในใจยกใหญ่ว่า ‘แม่เย็X!’
อีกด้าน สวีเหยียนพาฟางเจิ้งไปเตรียมทานอาหารแล้ว ทุกคนพากันยกโต๊ะเข้ามาวางเป็นแถวยาวในลานบ้าน รอบๆ วางเก้าอี้ไว้ แต่ไม่มีคนนั่งลง แน่นอนมีข้อยกเว้นคนหนึ่ง นั่นคือฟางเจิ้ง!
ฟางเจิ้งไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น แต่หย่อนก้นนั่งลงทางซ้ายของโต๊ะ พลันเรียกสายตาประหลาดและคมกริบนับไม่ถ้วนมา แต่เขามองข้ามไปเลย ทำเป็นมองไม่เห็น
ตอนนี้เอง ประตูห้องที่ไม่ค่อยเปิดมาโดยตลอดเปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา
ทุกคนเห็นผู้หญิงคนนี้แล้วต่างตะโกนพร้อมกัน “สวัสดีหัวหน้า”
“สวัสดีทุกคน” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าอย่างพอใจ แต่ว่าตอนที่มองฟางเจิ้งสีหน้าย่ำแย่ทันที ก่อนจะมองสวีเหยียนด้วยแววตาเฉียบคม
…………………………..
[1]ธุรกิจแบบพีระมิดในจีนแบ่งได้เป็นสองแบบคือ แบบเหนือและแบบใต้ แยกตามลักษณะการจัดการกับกลุ่มเป้าหมาย แบบเหนือมักจำกัดอิสรภาพ บังคับให้จ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้า ส่วนใหญ่เ เป็นคนหนุ่มสาว ลักษณะเด่นคือถูกชวนมาจากต่างถิ่นเป็นต้น ส่วนแบบใต้กลุ่มเป้าหมายมีอายุมากกว่า มีกำลังซื้อสูงกว่า จะไม่จำกัดอิสระ อยู่ดีกินดี ไปมาตามใจได้ และจะหลอกให้เป้าหมายเต็มใ ใจเข้าร่วมเอง