บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 480 หัวหน้าอย่าโกรธ
สวีเหยียนรีบวิ่งเข้าไปดึงฟางเจิ้งไว้ “ฟางเจิ้ง นายจะนั่งตรงนี้ไม่ได้ นี่ที่ของหัวหน้า”
ฟางเจิ้งเหลือบมองบน “หัวหน้าอะไร? ทุกคนทำงานให้หลิวต้าเฉิงไม่ใช่เหรอ อาตมาเป็นเพื่อนหลิวต้าเฉิง หลิวต้าเฉิงไม่อยู่ อาตมานั่งที่เขาก็ไม่เห็นเป็นไร?”
สวีเหยียนพลันพูดไม่ออก ฟางเจิ้งพูดแบบนี้ เหมือนว่าจะไม่ผิด!
“ฉันเป็นหุ้นส่วนของหลิวต้าเฉิง เราเป็นผู้ร่วมลงทุนกัน เขามีที่ของเขา ฉันก็มีที่ของฉัน เธอกำลังนั่งที่ของฉัน” ทันใดนั้นเอง หัวหน้าหญิงเดินมาข้างฟางเจิ้ง เชิดหน้าขึ้นเล็ กน้อย มีความโอหังอยู่มาก มาดหัวหน้าเต็มสิบ
ฟางเจิ้งเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว “อมิตาพุทธ ที่แท้ก็แบบนี้เอง ในเมื่อสีกากับต้าเฉิงเป็นเพื่อนกัน ก็เท่ากับว่าเป็นเพื่อนของอาตมาด้วย มา ไม่ต้องเกรงใจ นั่งนี่เถอะ” ฟางเจิ้งตบที่นั่ง งข้างๆ ตรงที่ฟางเจิ้งนั่งคือเก้าอี้เพียงตัวเดียว ข้างๆ เป็นเก้าอี้พลาสติกสีชมพู เขาตบตัวนี้!
สีหน้าหัวหน้าหญิงพลันดำทะมึน มองสวีเหยียนอีกครั้งเหมือนกำลังพูดว่า ‘ทำไมคนใหม่ที่แกพามาถึงไม่รู้จักมารยาทขนาดนี้?’
สวีเหยียนแทบจะร้องไห้แล้ว บรรพบุรุษคนนี้มาจากไหน ทำไมถึงไม่เคยทำให้เขาสบายใจเลย และที่เหลือเกินกว่านั้นคือปกติคนใหม่ที่มาจะกลัวหน้ากลัวหลัง ทุกคนไม่นั่ง ใครจะกล้านั่งม มั่วซั่ว! ฟางเจิ้งทำแบบนี้ เขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก สถานการณ์ต่างๆ เป็นเหตุการณ์กะทันหัน เขาเองก็ไม่มีมาตรการเร่งด่วน เมื่อไม่มีวิธีอื่นแล้วจึงดึงฟางเจิ้งพลางว่า “ทุกที่มีกฎ ที่ตรงนี้คือที่นั่งของเจ้าของบ้าน เป็นที่นั่งหัวหน้า นายไปนั่งข้างๆ จะดีกว่า”
ฟางเจิ้งเห็นหัวหน้าหญิงหน้าใกล้จะเขียวคล้ำแล้ว จึงพยักหน้าเล็กน้อย “ช่างเถอะๆ แค่ที่นั่งเดียวเอง ให้สีกานั่งแล้วกัน”
พูดจบ สวีเหยียนถอนหายใจโล่งอกทันที มองฟางเจิ้งด้วยความซาบซึ้งใจพร้อมกับคิดในใจว่า ‘ในที่สุดไอ้นี่ก็รู้จักมารยาทสักที’
หัวหน้าหญิงมีสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย…
ทว่าต่อมา…
ฟางเจิ้งลุกขึ้น ทว่าเจ้านี่ยกเก้าอี้ขึ้นมาด้วย จากนั้นสลับตำแหน่งกับเก้าอี้พลาสติกตัวนั้น ถึงฟางเจิ้งจะสลับที่ แต่เขายังนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม
เห็นดังนั้น หัวหน้าหญิงสีหน้าดำมืด ราวกับเมฆฝนจะหยดเป็นน้ำออกมาได้!
สวีเหยียนอยากจะด่าแม่เสียเดี๋ยวนั้น ตบฟางเจิ้งพลางว่า “นายทำอะไร?”
ฟางเจิ้งบอก “ให้ที่กับหัวหน้า ทำไมรึ?”
“นะ…นายลุกไปแล้วยังต้องยกเก้าอี้ไปด้วยอีก?” สวีเหยียนโกรธแล้ว
ฟางเจิ้งตอบอย่างมีเหตุผล “ใช่ มีปัญหาอะไรเหรอ?”
เห็นฟางเจิ้งทำหน้าตาแบ๊วประมาณว่าไม่รู้อะไรเลย สวีเหยียนโกรธจนถึงกับพูดไม่ออกแล้วจริงๆ
หัวหน้าหญิงโกรธจนตัวสั่นเช่นกัน ตรึกตรองว่าควรจะให้หลิวต้าเฉิงมาพูดดีไหม แต่นึกขึ้นได้ว่าฟางเจิ้งยังไม่ได้จ่ายเงินให้ จึงสูดลมหายใจเข้าลึก เค้นรอยยิ้มมาเสี้ยวหนึ่ง “ช่าง งเถอะ แค่ที่นั่งเอง เรื่องไม่ได้ใหญ่โตอะไร ทุกคนนั่งเถอะ”
สิ้นเสียง ทุกคนขานรับพร้อมกัน “ขอบคุณหัวหน้า เชิญหัวหน้านั่งก่อน!”
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง และมองไปรอบๆ ยังคิดว่ามีผู้นำประเทศมาตรวจตราด้วยซ้ำ แม้ทุกคนจะตะโกนได้พร้อมเพรียงกันมาก ทว่าหัวหน้าหญิงกลับไม่ดีใจ เ เพราะเมื่อก่อนเธอยังไม่นั่งก็ไม่มีใครกล้านั่ง ตอนนี้เธอยืนอยู่ แต่ไอ้หัวโล้นวาววับสะท้อนแสงตะวันแสบตา มันสว่างจ้าจนเธอเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
หัวหน้าหญิงสูดลมหายใจเข้าลึก ระงับเพลิงโทสะในใจ ตรึกตรองว่ารอเก็บเงินแล้วค่อยจัดการไอ้ลาหัวล้านนี่! เมื่อเธอนั่งลง ทุกคนพากันนั่งตาม สวีเหยียนนั่งตรงข้ามหัวหน้าหญิง ซ ซึ่งก็คือฝั่งตรงข้ามของโต๊ะยาว ส่วนฟางเจิ้งนั่งข้างหัวหน้าหญิง…ต่อมาฟางเจิ้งถึงรู้ว่าที่ตรงนี้มีให้คนใหม่นั่ง เพื่อให้คนใหม่รู้สึกว่าหัวหน้าให้ความสำคัญกับเขา และเพิ่มความรู สึกว่าตนเป็นคนของกลุ่ม
แต่ตอนนี้หรือ เห็นได้ชัดว่าฟางเจิ้งหาความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันพบด้วยตัวเองแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นมาบอก…
หัวหน้าหญิงพยายามรักษาท่าทีผู้นำของตน ขณะเดียวกันก็เตรียมปลอบโยนฟางเจิ้ง จึงยิ้มเป็นมิตรกับเขา “ฉันหลี่จิ้งชู เธอเรียกฉันว่าพี่เจี่ยได้ ทุกคนชอบเรียกฉันว่าหัวหน้า เธอจะเ เรียกฉันแบบนั้นก็ได้เหมือนกัน”
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “ที่แท้ก็สีกาหลี่”
“อะแฮ่มๆ…ฟางเจิ้ง ก่อนหน้านี้เราตกลงกันแล้วนี่ ที่นี่ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน อย่าเรียกสีกา” สวีเหยียนรีบเตือน
ฟางเจิ้งกล่าว “อ้อ หัวหน้า”
หลี่จิ้งชูพยักหน้าอย่างพอใจ ไม่ว่าอย่างไร ไอ้ลาไร้ขนแต่ชอบทำเป็นตั้งขนชูชันก็ถือว่าเข้าทีเข้าทางแล้ว เรียกว่าหัวหน้าได้เธอก็สุขใจมาก คิดในใจว่า ‘ใครสนกันว่าแกเป็นหล ลวงจีนวัดไหน ใครจะสนว่าแกเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็ยังเรียกฉันว่าหัวหน้าอยู่ดีนี่?’
สุขสบายใจแล้ว หลี่จิ้งชูจึงพูดกับซ่งเข่อหลิง “เสี่ยวซ่ง เริ่มทานอาหารกันเถอะ”
ซ่งเข่อหลิงคือหัวโจกตัวเล็กๆ ของที่นี่ เธอเป็นคนดูแลอาหารการกิน พอหัวหน้าเอ่ยเธอจึงวิ่งไปที่ห้องครัว ยกหมั่นโถวชามใหญ่มา หมั่นโถวชามใหญ่นี้เธอตื่นไปซื้อมาตั้งแต่เช้า ยังร้ อนๆ นุ่มๆ อยู่ ดูแล้วรสชาติไม่เลว
หมั่นโถวชามใหญ่ถูกวางลงกลางโต๊ะ นอกจากนี้ยังมีผักดองเค็มสองจานใหญ่วางไว้ข้างหมั่นโถว แน่นอนตรงหน้าหลี่จิ้งชูมีจานเล็กวางหมั่นโถวสามลูกกับผักดองเค็มจานหนึ่ง ถือว่ามีอภิสิ ทธิ์พิเศษ…
ฟางเจิ้งหิวแล้วเหมือนกัน เห็นยกหมั่นโถวมาจึงอยากจะลงมือกินทันที แต่เขาพบว่ากลุ่มคนรอบๆ ต่างตาเป็นสีเขียวมันขลับ จับจ้องหมั่นโถวพลางน้ำลายยืด ทว่ากลับไม่มีใครยื่นมือ ฟางเจิ งเองก็กระดากอายจะลงมือเหมือนกัน…
ตอนนี้เอง หลี่จิ้งชูกล่าวขึ้น “ขอบคุณทุกคน เริ่มกินเถอะ”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดไม่จา หยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งจากจานเล็กของหลี่จิ้งชูมา ช่วยไม่ได้ หมั่นโถวชามใหญ่อยู่ไกล หยิบไม่ถึงเลยหยิบเอาตรงหน้า สะดวกดี! ส่วนแววตาโกรธเกรี้ยวจ จากหลี่จิ้งชูนั้น ฟางเจิ้งมองข้ามไปเลย…
แทบจะขณะเดียวกัน ทุกคนตะโกนเสียงดังพร้อมเพรียงกัน “ขอบคุณหัวหน้า! เชิญหัวหน้าทานก่อน!”
ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ ฟางเจิ้งยัดหมั่นโถวเข้าปากไปแล้ว พอได้ยินดังนั้นก็พลันมองหลี่จิ้งชูด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย ทำท่าทางว่าฉันบริสุทธิ์ไม่เข้าใจกฎ จะมาโทษกันไม่ได้
หลี่จิ้งชูก็จนปัญญาเช่นกัน หลวงจีนนี่เหนือความคาดหมายอย่างมาก เหมือนกับลูกนกที่ไม่เคยผ่านโลก! จะให้โกรธตบตีเขา? อีกฝ่ายก็เหมือนไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้จริงๆ คุณว่าเขา เขา าก็ขอโทษ แถมยังปรับปรุงทันที! เด็กดีแบบนี้เธอจะลงมือได้อย่างไร? ถ้าใช้ความรุนแรงขึ้นมาจริงๆ จากนี้ก็ไม่ต้องดึงเข้ามาเป็นพวกแล้ว ทว่าจะไม่ตบปากเขาสักสองทีก็อึดอัดใจ กลัดกลุ มไปหมด
แต่สุดท้ายหลี่จิ้งชูก็ยังเห็นแก่ที่ยังไม่ได้เงินมา จึงอดทนไว้!
ทว่าเธอเพิ่งคิดได้ดังนั้น เวลาต่อมาก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบจะฆ่าคนเสียแล้ว! เพราะว่าครู่เดียวที่เธอขบคิด หมั่นโถวสามลูกตรงหน้าหายไปแล้ว! เมื่อหันไปมอง ไอ้สารเลวหัวโล้นข้างๆ ก็ไ ไม่อยู่แล้ว! มองหาคนไปรอบๆ ผลปรากฏว่าไอ้เวรหัวโล้นนั่นยืนอยู่ข้างโต๊ะ กำลังหยิบหมั่นโถวจากในชามใหญ่ตรงกลางอย่างรวดเร็ว หยิบไปพลางพูดไปพลางว่า “หัวหน้ายังไม่ได้กินเลย ต้อง งเอาไปให้หัวหน้าสองชิ้น”