บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 485 ไต้ซือโกหก
“คุ้มค่า!” ทุกคนที่เดิมทีเสียความเชื่อมั่นไปตอบกลับตามจิตใต้สำนึก
“เสียงเบาไป ไม่ได้ยิน เสียงดังหน่อย” สวีเหยียนตะโกน
“คุ้มค่า!” ทุกคนตะโกนพร้อมกัน เมื่อเสียงดังขึ้น ความมั่นใจก็ตามมาเช่นกัน
“ดีมาก วันนี้ประชุมจบเท่านี้ กลับไปคิดดีๆ ว่าตอนแรกที่มาอาจารย์พูดอะไรกับพวกคุณ อ่านสมุดบันทึก แลกเปลี่ยนกันให้มากๆ…ตอนนี้ แบ่งกลุ่ม หัวหน้ากลุ่มย่อยพาคนพวกคุณไปศึกษา” สวี เหยียนพูดจบ ทุกคนที่นี่ก็เริ่มแยกย้าย
ออกจากห้องเรียนมา ฟางเจิ้งเห็นเพื่อนนักเรียนนั่งแบ่งกันสามถึงห้ากลุ่ม กำลังหารือกันเรื่องความสำเร็จในวันนี้ ฟางเจิ้งยังไม่คิดเลยว่าต่อไปจะทำอะไร สวีเหยียนก็เรียกเขามาด้านนี พวกเขานั่งล้อมกันเป็นกลุ่มหลายคนเช่นกัน สวีเหยียนนั่งทางเหนือ หน้าหันไปทางใต้ มีท่าทีเป็นพี่ใหญ่ อีกทั้งเจ้าพวกที่คอตกเหงาหงอย ไม่รู้ว่าสวีเหยียนบอกอะไรถึงเริ่มมีความม มุ่งมั่นจะต่อสู้อีกครั้ง
สวีเหยียนตบที่นั่งข้างๆ “ฟางเจิ้งมานี่ นั่งตรงนี้”
ฟางเจิ้งพลันนั่งลง ก่อนได้ยินสวีเหยียนว่า “วันนี้ฟังอาจารย์หลู่ซินพูดแล้วทุกคนรู้สึกยังไงบ้าง ได้อะไรไหม? ทุกคนเล่าให้ฟังหน่อย ถือโอกาสแบ่งปันประสบการณ์การเติบโตของตนเองด้ วย เอาอย่างนี้ เริ่มจากทางขวามือฉันไปทางซ้าย มาทีละคน”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็กลอกตามองบน เยี่ยม ฟังมาสองชั่วโมงแล้วยังไม่พอ ฟังจบยังต้องสรุป! ทำรายงานเดี๋ยวนั้นด้วย…นี่มันคือการล้างสมองทุกคนโดยไม่ปล่อยวางเลยจริงๆ ตอนนี้ไม่ว่ าคุณจะยอมเข้าร่วมกับพวกเขาหรือไม่ แต่อยู่ในวงการนี้จะต้องพูดสิ่งดีๆ ไปตามกระแส เช่นนั้นแล้วจะต้องพยายามนึกถึงผลประโยชน์ของธุรกิจที่ว่า คิดให้มาก นานเข้า หลายครั้งเข้า ก็ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาภายใต้การค่อยๆ ซึมซับโดยไม่รู้ตัว
ฟางเจิ้งรู้ว่าอุบายนี้ร้ายกาจ แต่ไม่มีประโยชน์กับเขา เขาสวดมนต์ทุกวันมากครั้งกว่าทบทวนเรื่องพวกนี้อีก…แต่เขาก็ยังอยากจะสึก! พุทธคัมภีร์ยังไม่มีประโยชน์ นับประสาอะไรกับสิ่ งนี้?
คนที่นั่งทางขวามือสวีเหยียนคือคนแรก เขาคือซุนผู่ ซุนผู่สูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวว่า “สวัสดีทุกคน ผมซุนผู่ ซุนจากคำว่าซุนเช่อ ผู่จากคำว่าผู่ซู่ บ้านผมอยู่เสฉวน ที่บ้ านมีแม่ ภรรยาและก็ลูกสามคน ผมเกิดในหมู่บ้านชาวนา ไม่มีวัฒนธรรมอะไร ออกมารับจ้างทำงานหลายปียังไม่ได้กำไรอะไร ทุกปีจะนั่งรถไฟไปมาทั่ว ตากลมตากแดด แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่าอนาคต ตตนอยู่ที่ไหน ผมใกล้จะสิ้นหวังแล้ว…จนกระทั่งมาเจอกับทะเลดาว ที่ทะเลดาวนี่…ผมเชื่อว่าด้วยความหมั่นเพียรของผม ผมจะต้องเป็นมหาเศรษฐีเงินล้านไม่ก็สิบล้านอย่างแน่นอน ถึงตอนน นั้นผมจะให้คนในครอบครัวผมสุขสบาย” ก่อนที่ซุนผู่จะพูด นัยน์ตามีแต่ความมัวหมอง พอตอนพูดถึงทะเลดาว แววตาพลันเปล่งประกาย ราวกับว่าอยู่ที่นี่แล้วเขาสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว จะได้ก กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านหรือสิบล้านจริงๆ
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าถ้าล้มเหลวล่ะ? นั่งมั่วสุมอยู่ที่นี่ ไม่ได้เงินแม่แต่หยวนเดียว แทนที่ครอบครัวจะได้เงินแต่ต้องเสียเงิน นานเข้าจะทำอย่างไร
คนที่สองเป็นผู้หญิงอุ้มลูกน้อยคนนั้น เธอกล่อมลูกนอนไปพลางพูดไปพลาง “ฉันชื่อฉางเสี่ยวหง บ้านเกิดอยู่ภาคเหนือ เรียนจบมัธยมปลายมาก็ไม่ได้ทำอะไร แต่มาที่นี่เลย ฉันคิดว่าที นี่ดีมาก ทุกคนดีกับฉันมาก…ตอนอยู่ที่บ้าน คนในครอบครัวมักจะว่าฉันเรียนไม่ดี นี่ก็ไม่ดี นั่นก็ไม่ดี สรุปไม่มีอะไรดีเลย ถูกต่อว่าทุกวัน ที่โรงเรียนก็เหมือนกัน ด้วยความโ โกรธฉันเลยไม่เรียนมันแล้ว หลังก้าวเข้าสังคมก็พบว่าสังคมก็ไม่ง่ายเหมือนกัน อยู่โรงงานถูกหัวหน้าว่า อยู่หอพักไม่มีกลุ่มเพราะไม่มีเงิน มักจะถูกหัวเราะเยาะเป็นประจำ จนกระทั่งมา าทะเลดาว ฉันถึงพบความหวังและความเชื่อมั่นในตนเอง อยู่ที่นี่ ทุกคนคือครอบครัวฉัน ทุกวันมีแต่คนชมว่าฉันเรียนรู้เร็ว ทำงานดี ฉันชอบความรู้สึกนี้ ที่นี่ทำให้ฉันกลับมามีความมั่นใ ใจอีกครั้ง”
ฟางเจิ้งมองลูกในอ้อมกอดเธอ ไม่รู้ว่าเป็นคนแบบไหน แต่เขารู้อยู่อย่างหนึ่ง เด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งเข้ามาที่นี่จะต้องถูกหว่านล้อมต่างๆ นาๆนา แน่นอน เป้าหมายเหรอ…ลูกในอ้อมกอดเธ ธออธิบายทุกอย่างแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังเข้าใจบางอย่าง ฉางเสี่ยวหงไม่ได้มาเพื่อหาเงิน เธอผู้บริสุทธิ์อยู่เพียงแค่เพราะที่นี่ไม่มีใครด่าเธอ ไม่มีใครว่าเธอ แต่ให้เธอผู้น้อยเนื้อต่ ำใจหาความมั่นใจพบ ดังนั้นเธอจึงเลือกอยู่ที่นี่ ฟางเจิ้งนึกถึงการดูแลตอนที่เขาเพิ่งมา ทั้งพัดให้ ทั้งล้างเท้า ทั้งรินน้ำ พูดแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน ทำอะไรก็ได้รับคำชม หั วหน้าเรียกให้มานั่งข้างๆ…กลอุบายเหล่านี้ดูเหมือนธรรมดา กระทั่งดูโง่นิดๆ แต่ตอนที่พวกเขาเจอกับคนที่ถูกต้อง กลับให้ผลลัพธ์ที่เด็ดขาด ฉางเสี่ยวหงน่าจะเป็นตัวอย่างแบบนี้
คนที่สามเป็นหญิงวัยกลางคน เธอคือคนเดียวที่ไม่มีสมุดบันทึก ในมือถือโทรศัพท์เก่าๆ เครื่องหนึ่ง ทว่าตอนที่มาถึงเธอกลับไม่ประหม่าแม้แต่น้อย แต่กลับเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างมีชีวิตชีวา าว่า “ฉันเฉินต้าหรง ไม่เคยเรียนหนังสือ เขียนหนังสือไม่เป็น และก็พูดหลักการยิ่งใหญ่อะไรไม่ได้ เมื่อก่อนฉันเย็บเสื้อผ้าให้โรงงาน ต่อมาเจอหัวหน้าสวี หัวหน้าสวีพาฉันมาที่นี่ หลั งจากที่ได้เรียนรู้ ตอนนี้ถึงฉันจะยังไม่รู้หนังสือ แต่เรียนผ่านเสียงบันทึกในมือถือทุกวัน ฉันได้เรียนสิ่งที่มีประโยชน์หลายอย่าง แถมยังใช้ทักษะการพูดและการเชื้อเชิญทางโทรศัพท์ ที่อาจารย์สอนฉันชวนคนมาได้สองคน ทั้งยังเซ็นสัญญาเป็นสมาชิกครอบครัวเราแล้ว ถึงตอนนี้ฉันทำกำไรได้หลายพันหยวน ฉันใช้ความจริงแสดงให้คนที่ดูถูกเหล่านั้นเห็นว่าฉันทำได้! ขอบ บคุณ!”
คนที่สี่เป็นชายวัยกลางคน เขาก้มหน้าไม่พูดไม่จา
สวีเหยียนขมวดคิ้ว กระแอมไอทีหนึ่ง “หม่าจื้อ ตานายแล้ว แบ่งปันหน่อย”
หม่าจื้อเงยหน้ามองสวีเหยียน “ผมพูดอะไรได้? ผมอยากกลับบ้าน…”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ใจสั่น สรุปว่าเจอคนที่ไม่ถูกมอมเมาแล้ว ดีใจจัง!
สวีเหยียนแค่นเสียงขึ้นจมูกทีหนึ่ง “หม่าจื้อ นายอยากกลับบ้านก็ไม่มีใครรั้งนายไว้ แต่นายคิดให้ดีๆ นายอยู่ที่นี่ เงินที่กินอยู่คือเงินพวกเรา นายกลับบ้านได้ แต่ต้องคืนเ เงินมาก่อนไหม?”
“ผมไม่มีเงิน…” หม่าจื้อก้มหน้าลง ฟางเจิ้งสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังและความเศร้าในใจเขา
สวีเหยียนยังคงเอ่ยด้วยความแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง “ไม่มีเงินก็ช่วยไม่ได้ ความจริงเรื่องนี้ง่ายมาก นายพาคนสองสามคนเข้ามาก็จะมีเงินแล้ว คืนเงินก็กลับบ้านได้ไม่ใช่เหรอ?”
หม่าจื้อเงียบ
เห็นหม่าจื้อเป็นแบบนี้สวีเหยียนก็ไม่พอใจ ปรบมือก่อนว่า “ทุกคนฟังให้ดี ทำธุรกิจอย่างพวกเรา สิ่งที่ต้องมีอันดับแรกคือจิตใจต้องสงบนิ่ง จิตใจแบบไหน? จิตใจที่ทะเยอทะยานขึ้น สูง พูดคำพูดแง่ลบให้น้อยๆ ทำเรื่องที่มีประโยชน์ให้มาก! หม่าจื้อ นายกลับไปคิดดูอีกที”
หม่าจื้อขานรับด้วยคำว่าอืม ถือว่าเป็นการตอบกลับ คนคนนี้ดูหดหู่สิ้นหวังมาก ซึ่งฟางเจิ้งจดจำทุกอย่างไว้ในใจแล้ว…
สวีเหยียนมองฟางเจิ้ง “ฟางเจิ้ง นายมาแบ่งปันหน่อย นายว่าธุรกิจของพวกเราเป็นยังไง?”
“ดี! ดีมาก! ดีที่สุด! หาเงินได้ แถมได้ช่วยคน บุญกุศลไม่มีขีดจำกัด” ฟางเจิ้งตอบทันที
ผลที่ได้คือ…
เปรี้ยง!