บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 486 ไต้ซือผู้มีใจกระตือรือร้น
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น หลังคาบ้านปริแตกออกดังแกรก สายฟ้าผ่าลงตรงหน้าฟางเจิ้ง!
กลุ่มคนข้างล่างกระโดดร้องโวยวาย กลิ้งพลางคลานหลบไป
สวีเหยียนกลิ้งไปกับพื้น หน้าตาเป็นเขม่าดำ หนีไปหลบอีกด้าน
แต่ฟางเจิ้งเร็วกว่าก้าวหนึ่ง เขามาขวางอยู่หน้าฉางเสี่ยวหง สายฟ้าผ่าลงมาย่อมไม่ทำร้ายคน จุดนี้ฟางเจิ้งมั่นใจ แต่ระเบิดหลังคาบ้านนี่ ของที่ตกลงมาอาจจะหล่นใส่คนได้ โดยเฉพาะฉางเสี่ยวหงมีลูกอยู่ในอ้อมกอด ถ้าเกิดตกใจจะทำอย่างไร?
ฟางเจิ้งดึงเด็กน้อยเข้าฝัน ป้องกันเสียงฟ้าผ่า
ส่วนคนอื่นชอบคลานก็คลานไป ดูดีมากทีเดียว…
เมื่อเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นจึงดึงดูดความสนใจของทุกคน แม้แต่หัวหน้าที่ปกติจะไม่ออกมายังวิ่งออกมาสอบถามสถานการณ์
สวีเหยียนพูดสะอื้นไห้ “ไม่รู้ครับ จู่ๆ ก็มีฟ้าผ่าลงมา ทำเอาตกใจแทบแย่…” พูดจบ สวีเหยียนเงยหน้ามองฟ้า ฟ้าใสไปหมื่นลี้ ดวงตะวันสูงและส่องแสง แม้แต่เมฆยังไม่มี! สายฟ้านี่มาจากไหน? เขาพลันเกิดอาการเย็นชาไปทั้งตัว ภายในใจหนาวเยือก นึกถึงว่าพอฟางเจิ้งตะโกนก็ฟ้าผ่าทันที หรือว่าพระพุทธองค์จะทนดูเขาแย่งพุทธสาวกไปไม่ได้เลยมาเตือน?
“ฟ้าผ่าในวันฟ้าใสไม่เห็นมีอะไรแปลก รีบซ่อมหลังคา วันนี้พอเท่านี้” หน้าตาหัวหน้าดูไม่ดีสักนิด เหมือนอย่างที่ว่าไว้ว่าบริสุทธิ์ใจก็ไม่ต้องกลัวภูตผีมาเคาะประตู ทำเรื่องไม่ดีถือเป็นการเรียกภูตผีมา เธอกลัวอยู่ในใจนิดๆ จึงรีบกลับห้องไป
ฟ้าผ่ามาทีหนึ่งทำให้การสรุปหลังบรรยายจบลงไปด้วย ซ่อเข่อหลิงออกไปหาช่างมาซ่อมหลังคา สวีเหยียนตรวจดูอาการบาดเจ็บของทุกคน เห็นไม่มีใครบาดเจ็บจึงถอนหายใจโล่งอก พึมพำว่า “ยังดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงรักษาไม่ได้ ส่งโรงพยาบาลก็ยุ่งยากเกินไป อาจจะต้องทิ้ง”
คำพูดนี้แว่วเข้าหูฟางเจิ้ง นันย์ตามีประกายเย็นชาวาบผ่าน ถ้าบอกว่าสมาชิกธรรมดาที่นี่ยังมีมโนธรรมอยู่เล็กน้อย เช่นนั้นมโนธรรมของสวีเหยียนก็คงถูกสุนัขกินไปหมดแล้ว
ฟางเจิ้งอาศัยจังหวะที่สวีเหยียนไม่สนใจตนไปเป่าหูอยู่ข้างหม่าจื้อ
หม่าจื้อมองด้วยความระแวงระวัง พบว่าฟางเจิ้งเป็นคนใหม่ สีหน้าจึงดีขึ้นเล็กน้อย ความระแวงลดลงมาก
ฟางเจิ้งถาม “ประสกหม่า เรื่องนี้ประสกคิดว่ายังไง?”
“ทำกรรมชั่วมาเยอะ สวรรค์ลงโทษแล้ว” หม่าจื้องึมงำ
ฟางเจิ้งอึ้งงัน ก่อนเอ่ยยิ้มๆ “อาตมาไม่ได้ถามเรื่องฟ้าผ่า แต่ถามว่าคิดว่าทะเลดาวเป็นยังไง”
หม่าจื้อพลันเงียบ ไม่พูดอะไร
ฟางเจิ้งพูดต่อ “ประสกยังไม่ได้จ่ายเงินหรือ?”
หม่าจื้อยิ้มแห้งๆ “ผมจะเอาเงินจากไหนมาให้พวกเขา? ถ้าผมมีเงินผมไม่ออกมาหรอก”
“ที่แท้ก็แบบนี้ ประสกติดเงินพวกเขา”
“อืม ติดค่าอาหาร” หม่าจื้อตอบ
ฟางเจิ้ง “อาตมาจ่ายค่าอาหารไปแล้ว ให้ไปหนึ่งเดือน ประสกติดเงินพวกเขาเท่าไร?”
“หลายพันครับ” หม่าจื้อถอนหายใจ
ฟางเจิ้งพูด “อย่างนั้นเอง อาตมาจะช่วยประสกคืนเงินพวกนี้ให้เอาไหม?”
“ครับ…หา?” หม่าจื้อขานรับโดยไม่ได้คิดอะไร ทว่าต่อมาตั้งสติได้ มองฟางเจิ้งด้วยความตกใจ “ท่านจะช่วยคืนเงินให้ผม? แต่ว่า…ผมไม่มีเงินคืนท่านนะ ท่านให้ผมยืมเงิน นี่มันเท่ากับเอาซาลาเปาไส้เนื้อปาใส่[1]…เอ่อ ปาใส่อะไรนั่นน่ะ”
ฟางเจิ้งหัวเราะเสียงดัง “เงินนิดหน่อยแค่นั้นเอง อาตมาออกให้ได้ แต่อาตมาอยากจะถามประสกสักสองสามคำถาม ประสกต้องตอบความจริงอาตมา”
หม่าจื้อเงียบก่อนว่า “ท่านช่วยผมคืนเงินก่อนค่อยว่ากัน ขอแค่คืนเงิน ท่านถามอะไรผมจะบอกทุกอย่าง”
ฟางเจิ้งบอก “ไม่มีปัญหา…” พูดจบก็เตรียมกลับห้อง
หม่าจื้อมองแผ่นหลังฟางเจิ้งก่อนเรียกไว้ “หลวงพี่ ถ้าท่านไปได้ก็รีบไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่แดนสุขาวดี นี่คือนรก!”
ฟางเจิ้งหันกลับมายิ้มให้หม่าจื้อ “อมิตาพุทธ ถ้าอาตมาไม่ลงนรกแล้วใครจะลง? ในเมื่อนี่คือนรก อาตมาก็มาถูกที่แล้ว”
พูดจบฟางเจิ้งเดินเข้าห้องไป
หม่าจื้ออึ้งค้างอยู่กับที่ ก่อนดวงตาพลันเปล่งประกาย เขาเหมือนเห็นความหวังริบหรี่! ทว่าหลวงจีนรูปหนึ่งจะทำอะไรได้? เขาขับเคลื่อนทะเลดาวได้หรือ? เกรงว่าแม้แต่ตัวเขาเองยังออกไปไม่ได้?
แม้จะคิดแบบนี้ ทว่าหม่าจื้อยังคงมีไฟแห่งความหวังลุกโชนอยู่เสี้ยวหนึ่ง เขาเงยหน้ามองฟ้า กระหายโลกภายนอก เขาอยากกลับบ้าน!
เมื่อถึงยามกลางวัน มีอุทาหรณ์เมื่อตอนเช้ามาแล้ว สวีเหยียนเลยกังวลนิดๆ
สวีเหยียนเรียกซ่อเข่อหลิงไปข้างๆ ถามว่า “กลางวันอย่าเอาหมั่นโถวมา หลวงจีนนั่นกินเก่งเกินไป!”
“รู้แล้ว ครั้งนี้ฉันต้มโจ๊กหม้อใหญ่! ดูซิว่าเขาจะกินยังไง! ถ้าไม่พอก็เติมน้ำเข้าไปก็จบ เขาอยากดื่มน้ำก็ดื่มให้พอ!” ซ่งเข่อหลิงหลักแหลมเหมือนกัน เธอพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก
สวีเหยียนหัวเราะเช่นกัน โจ๊กที่พวกเขาพูดถึงคือข้าวหมื่นเม็ด น้ำหม้อเหล็กใหญ่ มีคนเท่าไรก็ต้มเท่านี้ อยากกินเท่าไรก็ตามสบาย ถึงอย่างไรก็แค่เติมน้ำ สวีเหยียนมั่นใจมากว่าครั้งนี้ฟางเจิ้งไม่มีทางก่อเรื่องอะไรได้แน่!
สวีเหยียนกลับห้องมาหาฟางเจิ้งอย่างมีความสุข จะมาคุยเรื่องจ่ายเงิน แต่พอเข้าประตูมากลับไม่พบฟางเจิ้ง ไปดูห้องอื่นๆ ก็ไม่พบ! สวีเหยียนร้อนใจแล้ว จึงคว้าใครคนหนึ่งมาถาม “ฟางเจิ้งล่ะ?”
อีกฝ่ายมึนงงนิดๆ เหมือนกัน คุณตามฟางเจิ้งตลอดยังไม่รู้ว่าฟางเจิ้งไปไหน แล้วฉันจะรู้เหรอ?
อีกฝ่ายยังไม่ทันตอบก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของซ่งเข่อหลิงดังมาจากในห้องครัว “นายทำอะไร?”
ไม่รู้ทำไม ขอเพียงเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น ภาพแรกที่จะปรากฏในหัวเขาคือหลวงจีนหัวโล้นนั่น! สวีเหยียนสาวเท้ายาวปรี่ไปยังห้องครัว เห็นฟางเจิ้งยืนอยู่ข้างหม้อโลหะที่ต้มโจ๊ก ในมือถือถุงเปล่าที่เอาไว้ใส่ข้าวยี่สิบจิน กำลังมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความผิด
แต่ซ่งเข่อหลิงข้างๆ อยากจะร้องไห้ ชี้ไปในหม้อ ดวงตาแดง
สวีเหยียนเข้าไปดูในหม้อใกล้ๆ ก็โกรธโดยพลัน! เห็นในหม้อมีข้าวหนึ่งถุงเต็มๆ!
“นายจะทำอะไร?!” สวีเหยียนโกรธแล้ว
ฟางเจิ้งแบมือ “ไม่ได้ทำอะไร อาตมาว่างไม่มีอะไรทำเลยคิดว่าจะกินฟรีอยู่ฟรีไม่ได้เลยมาทำงานหน่อย อาตมาเห็นห้องครัวไม่มีคน แต่จุดไฟไว้ ในหม้อใส่น้ำแล้วด้วย แต่ยังไม่ใส่ข้าว ก็เลยช่วยใส่ข้าวไปหน่อยเท่านั้น อาตมาเคยทำอาหารบนเขาเหมือนกัน เรามีกันเยอะขนาดนี้ ถุงนี้น่าจะกินพอ…เป็นไง? วางใจเถอะ ถึงข้าวนี่จะไม่เยอะ แต่ก็พอถูไถให้ทุกคนกินอิ่มได้”
“นาย…” สวีเหยียนฟังฟางเจิ้งพูดจบก่อนจะมองฟางเจิ้งที่ทำหน้าบริสุทธิ์ไร้ความผิดและบ้องแบ๊ว ไม่รู้ว่าควรจะด่าอย่างไรดี! ด่าเขา อีกฝ่ายก็มีจิตใจดีจะช่วย เหมือนว่าที่ฟางเจิ้งพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน
แต่ปัญหาคือที่นี่คือรังธุรกิจแบบขั้นพีระมิด ที่นี่เหมือนกับข้างนอกเหรอไง ถ้ากินแบบนี้ทุกมื้อ เกิดนานเข้าไม่มีใครเข้ามาอีก พวกเขาไม่ต้องกินลมพายัพหรือ?
ซ่งเข่อหลิงพูด “ใครว่ายังไม่ใส่ข้าว? ฉันใส่ไปแล้วเห็นๆ นายมาก่อเรื่องอะไร?”
……………………..
[1]เอาซาลาเปาไส้เนื้อปาใส่หมา สุนัขชอบกินซาลาเปาไส้เนื้อ แต่คนขี้โมโหชอบเอาซาลาเปาไส้เนื้อปาใส่มัน สุนัขเห็นก็ยิ้มแล้วกินเข้าไป อุปมาว่าของที่ปล่อยไปแล้วเรียกคืนกลับมาไม่ได้