บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 487 ฉีลี่หย่า
ฟางเจิ้งเกาหัว “ขอโทษที สายตาอาตมาไม่ค่อยดี เมื่อกี้น้ำเดือดแล้วเหมือนว่าในนั้นจะมีข้าวกลิ้งอยู่จริงๆ ก็คิดว่ายังไม่ได้ล้างหม้อเสียอีก…”
“นาย…” ซ่งเข่อหลิงโกรธจนตาเหลือก แม้พวกเขาจะเก็บเงินค่าอาหารทุกคน แต่เงินค่าอาหารไม่เยอะ หนึ่งคนสิบหยวนต่อวัน! หนึ่งวันสิบหยวนจะกินอะไรได้? มีหมั่นโถว โจ๊ก และผักดองเค็ม เธอเองก็อยากกินของดีๆ เหมือนกัน แต่มันไม่มีเงิน! คนที่นี่จะมีสักกี่คนที่จ่ายได้มากกว่านั้น? ทว่าเธอจะพูดออกไปไม่ได้ เพราะเธอรับเงินฟางเจิ้งมาสองพัน เป็นเงินค่าอาหารหลายเท่าของคนอื่น
“ทำไม? มีปัญหาอะไรเหรอ” ฟางเจิ้งเกาหัวพลางถาม
“ไม่มีอะไร จากนี้เรื่องในครัวให้ซ่งเข่อหลิงจัดการ ถ้านายว่างก็ไปคุยกับทุกคน เรียนรู้ให้มากๆ” สวีเหยียนไม่รู้จะพูดอะไรเลยลากฟางเจิ้งออกไป
รอจนสวีเหยียนกลับมาอีกครั้ง ก็เห็นซ่งเข่อหลิงช้อนข้าวออกมาข้างนอก
“ข้าวนี่ยังไม่สุกครึ่งหนึ่ง…” ซ่งเข่อหลิงพูดบ่น
“ถ้าอย่างนั้นก็ตักออกมา แบ่งๆ กันทำ” สวีเหยียนว่า
ซ่งเข่อหลิงพยักหน้าให้
เรื่องนี้ถือว่าผ่านไป สวีเหยียนไปหาฟางเจิ้ง พยายามเค้นรอยยิ้ม ถ้าบอกว่าตอนนี้เขาไม่อยากเจอใครมากที่สุด ฟางเจิ้งเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน! เขาพบว่าหลังจากเจอฟางเจิ้ง ชีวิตเขาก็ไม่เคยสงบสุขเลย! ทว่ายังไม่ได้เงินมา เขาไม่ยอม! ลำบากมาขนาดนี้ โดนลงโทษไปมากขนาดนี้ ไม่ได้เงินจะไปได้อย่างไร?
“ฟางเจิ้ง นายเห็น นายเรียนแล้ว นายก็ว่าธุรกิจนี้ดี นายว่านายจะทำแบบหนึ่งหมื่นแปดพันแปดร้อยหรือสามหมื่นแปดพันแปดร้อยดี?” สวีเหยียนถาม
ฟางเจิ้งไม่ตอบ แต่หยิบเงินมาปึกหนึ่งยัดใส่มือสวีเหยียน “หนึ่งหมื่นแปดพันแปดร้อยอะไร? อาตมาเอาเก้าหมื่นแปดพันแปดร้อย! แล้วก็ถือโอกาสจ่ายส่วนของหม่าจื้อให้ด้วย พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องช่วยกัน ถึงยังไงก็เป็นธุรกิจที่ได้กำไรแน่นอน จากนี้เขาได้กำไรมาก็เป็นของอาตมา”
“นี่…ฟางเจิ้ง กฎของพวกเราคือห้ามมีการยืมเงินระหว่างคนในบ้าน นี่คือกฎเหล็ก เป็นเส้นแดง ใครก็ห้ามแตะ” สวีเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ฟางเจิ้งกล่าว “ไม่เป็นไร อาตมาไม่เร่งให้เขาคืนหรอก เอาแบบนี้ สิบปีจากนี้ค่อยคืน ระหว่างนั้นอาตมาจะไม่เอาเงินเด็ดขาด!”
สวีเหยียนอึ้งงัน ยังมีคนโง่แบบนี้? สิบปีจากนี้? สิบปีจากนี้มีหรือไม่มีทะเลดาวก็อีกเรื่องแล้ว! กฎเหล็กที่ว่าก็เพราะกลัวเกิดความขัดแย้งระหว่างสมาชิก ส่งผลถึงความสามัคคี ในเมื่อฟางเจิ้งจะเอาเงินในสิบปีจากนี้ เช่นนั้นก็ตามสบาย ค่อยว่ากันอีกที ส่วนเงินที่มาอยู่ในมือก็ไม่เอาไม่ได้ไม่ใช่หรือ? สวีเหยียนเลยเอ่ยไปว่า “ตกลง ฉันจะรับเงินนี่ไว้”
จากนั้นสวีเหยียนเก็บเงินไป เมื่อได้เงินก็ยิ้มโดยพลัน เขาไม่ได้เห็นเงินปึกหนาขนาดนี้มานานมากแล้ว มีความสุข! ได้เงินมาแล้วก็ขี้เกียจจะพูดจาไร้สาระกับฟางเจิ้ง ตบบ่าฟางเจิ้งพลางว่า “เอาละ นายดูแลตัวเองเถอะ ฉันจะไปจ่ายเงินให้นาย”
ฟางเจิ้งพยักหน้ารัวๆ มองส่งสวีเหยียนออกไปแล้วฮัมเพลงในปากเบาๆ…ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง…
ทุกคนในบ้านเห็นภาพที่ฟางเจิ้งสร้างให้สวีเหยียน เห็นว่าฟางเจิ้งหยิบเงินมาจากในห่อผ้าเยอะมาก แต่ละคนตาแดง! นี่ถ้าเป็นตนจะดีแค่ไหนกันเชียว…
หม่าจื้อเห็นว่าฟางเจิ้งช่วยตนจ่ายหนี้จริงๆ ก็แอบตกใจอยู่ภายใน เดิมทีคิดว่าฟางเจิ้งพูดไปอย่างนั้น ถึงอย่างไรการต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้น ต่อให้กระเป๋าหนักกว่านี้ก็คงไม่จ่ายเงินให้คนแปลกหน้าหรอก? แต่หลวงจีนนี่ทำจริงๆ
ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งเดินเข้ามา “หม่าจื้อ ออกไปคุยกันหน่อยสิ?”
หม่าจื้อพยักหน้าทันทีก่อนตามออกไป
ฟางเจิ้งออกไป ภายในบ้านก็ฮือฮา พากันสนทนาถึงประวัติฟางเจิ้ง ไม่อยากเชื่อว่าจะมีเงินมากขนาดนี้!
“สุดยอด หลวงจีนสมัยนี้รวยขนาดนี้เลย?”
“หยิบเงินมาทีหมื่นกว่า”
“ห่อผ้านั่นซ่อนเงินไว้มากขนาดนั้นเลยเหรอ…ใจใหญ่จริงๆ”
“ใช่ ห่อผ้านั่นไม่มีแม้แต่ซิป”
“เรียบง่าย”
“โง่!” ซุนผู่เสริมมาคำหนึ่ง ทุกคนพากันพยักหน้า นับตั้งแต่ที่ฟางเจิ้งมาจนถึงตอนนี้ ทุกการกระทำเหมือนกับเด็กยังไม่โต บริสุทธิ์จนเรียกว่าโง่เขลา ทุกคนพากันส่ายหน้า รู้ว่าเจ้านี่คงจะอยู่จริงๆ แล้ว ขณะเดียวกันก็อิจฉาหลิวต้าเฉิง หาเงินก้อนใหญ่มาได้ง่ายๆ สำเร็จครั้งนี้ได้เงินไปหมื่นสองหมื่น
ไม่ว่าคนในนี้จะคิดอย่างไร ฟางเจิ้งพาหม่าจื้อมานั่งตรงมุมที่ไม่มีคนแล้ว
หม่าจื้อกล่าว “หลวงพี่ ท่านอยากถามอะไรก็ถามมาเลย”
ฟางเจิ้งบอก “ประสกเคยเห็นเด็กสาวที่ชื่อฉีลี่หย่าไหม?”
พูดจบ หม่าจื้อหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน ลุกขึ้นยืนพูดว่า “หลวงพี่ ผมมีธุระ ขอตัวก่อน”
ฟางเจิ้งว่า “ประสกตอบแทนผู้มีพระคุณของตนแบบนี้หรือ? วางใจ พูดมาเถอะ อาตมาจะไม่บอกกับใครเด็ดขาด”
หม่าจื้อหันมามองฟางเจิ้ง สุดท้ายกัดฟันกลับมาอีกครั้ง นั่งลงพูดเสียงเบา “ผมเคยเห็นเด็กสาวที่ท่านว่า หลิวต้าเฉิงเป็นคนเชิญมาเหมือนกัน แต่เธอดูขี้ขลาดมากเลย พอเห็นว่าท่าไม่ดีก็คิดจะหนี สวีเหยียนให้ซ่งเข่อหลิงเฝ้าเธอทุกคืน วันที่สองไปเข้าเรียน อาจารย์ยังไม่สอน เธอก็หันเอาหัวชนกำแพง ชนจนเลือดอาบเต็มหน้า ด้วยความจนปัญญา สวีเหยียนเลยใช้เชือกมัดเธอไว้ สรุปเธอไม่ยอมกินอะไรเลย คลุ้มคลั่ง สวีเหยียนเหมือนจะจนปัญญาเลยช่วยกันกับหลิวต้าเฉิงลากเธอออกไป ส่วนต่อมาเป็นยังไงพวกเราก็ไม่รู้ ได้ยินสวีเหยียนว่าส่งเธอกลับบ้านไปแล้ว แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร?” ฟางเจิ้งสีหน้าทะมึน ถึงไม่รู้ว่าฉีลี่หย่าอยู่ไหน แต่เขามั่นใจว่าเธอยังไม่ได้กลับบ้าน!
“ผมมาที่นี่ครึ่งปีแล้ว ในครึ่งปีบ้านนี้ย้ายไปสามครั้ง! มีสองครั้งหนีรัฐบาลที่มาจับพวกธุรกิจแบบขั้นพีระมิด อีกฝ่ายใกล้จะมาถึงปากหมู่บ้านแล้ว พวกเราเพิ่งได้รับข่าวจึงหนีกันกลางดึก ไม่ได้เอาอะไรไปเลย นั่งยองหลบกันในทุ่งกว้างทั้งคืน วันที่สองหัวหน้าใหญ่ถึงพาขึ้นรถบัสส่งพวกเราไปหลบในอีกอำเภอเมือง หนีความเสี่ยงในการลงทุนมาได้แล้วถึงจะกลับมาเป่ยเจียงอีกครั้ง ครั้งสุดท้ายมีคนหนีไป หลังจากเด็กนั่นมาแล้วก็ให้ความร่วมมืออย่างดี พอได้รับความเชื่อใจก็หนีไปตอนออกไปรับเงิน แถมยังโทรศัพท์กลับมาให้พวกเราส่งสัมภาระไปที่ที่เขาบอก และต้องคืนเงินส่วนหนึ่งที่เขาจ่ายไปด้วย แต่พอไม่ส่งไปเขาก็แจ้งตำรวจ สวีเหยียนจนปัญญาเลยต้องส่งกลับไป ทว่าเขาก็ยังแจ้งตำรวจ สรุปคือหัวหน้าเกิดสังหรณ์ใจเลยพาพวกเราไปหลบ…
ถ้าหากเด็กสาวคนนั้นกลับบ้านไปจริงๆ เธอไม่แจ้งตำรวจ คนที่บ้านก็ต้องแจ้งแน่นอน ต่อให้ไม่แจ้ง หัวหน้าก็พาพวกเราไปหลบก่อนอยู่แล้วเพื่อกันไว้ก่อน ทว่าครั้งนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย ผมเลยเดาว่าพวกเขาไม่ได้ส่งเด็กสาวคนนั้นกลับบ้าน ส่วนจะส่งไปที่ไหนผมไม่รู้ แต่ผมได้ยินพวกเขาคุยกันว่าเหมือนพวกเขาจะมีที่ที่เอาไว้จัดการเรื่องแบบนี้โดยเฉพาะ ที่ไหนผมก็ไม่แน่ใจ หลวงพี่ ผมบอกเรื่องนี้กับท่านแล้วท่านห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด ผมไม่อยากถูกส่งไป เว้นแต่จะหนี!” หม่าจื้อกล่าว
…………………….