บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 488 นายเห็นเงินไหม?
ฟางเจิ้งเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่งในใจ ฉีลี่หย่าไม่กลับบ้าน เช่นนั้นเธอไปไหน? หากอยากรู้ต้นสายปลายเหตุก็ต้องลงมือกับสวีเหยียน หัวหน้า หรือไม่ก็หลิวต้าเฉิง แต่หลิวต้าเฉิงไม ม่ยอมโผล่หน้ามาเลย เช่นนั้นก็ได้แต่ลงมือกับหัวหน้าและสวีเหยียนแล้ว
ตอนนี้เอง ซ่งเข่อหลิงผ่านทางมา ฟางเจิ้งถามทันที “หม่าจื้อ ธุรกิจพวกเรามีกฎอะไรอีกรึเปล่า? นอกจากห้ามยืมเงิน”
หม่าจื้อก็ปราดเปรียวขึ้นมาเช่นกัน ตอบไปทันที “เยอะ ห้ามจีบกัน ห้ามยืมเงิน ห้ามด่ากัน ห้ามทะเลาะกัน กินข้าวต้องจ่ายเงิน รู้สึกอย่างไรห้ามระบายที่บ้าน แต่ออกไประบายข้างนอ อกได้ ระบายเสร็จแล้วจะต้องกลับมาด้วยจิตใจกระตือรือร้น อยู่บ้านเรามีคำพูดว่าพูดสามไม่พูดสาม พูดสามคือพูดถึงอุดมการณ์ พูดถึงอนาคต และพูดถึงชีวิตคน ไม่พูดสามอย่างคือไม่พูดถึง สินค้าบริษัท ระบอบปกครองของบริษัทและความสัมพันธ์ของผู้บังคับบัญชาและใต้บังคับบัญชาเป็นต้น สรุปคือมีเยอะมาก นายค่อยๆ เรียนรู้แล้วกัน”
ฟางเจิ้งทำท่าทางแปลกใจ “ได้ยินอาจารย์ว่าบริษัทเรามีเงินเยอะ หัวหน้าก็มีเงิน ทำไมกินข้าวยังต้องจ่ายเงินเองอีกล่ะ?”
“ธุรกิจพวกเราต่างกับธุรกิจอื่นๆ คนอื่นรับจ้างทำงาน เราสร้างธุรกิจ เงินที่จ่ายคือการทำธุรกิจร่วมกับผู้บริหารใหญ่ พวกเราเป็นเถ้าแก่ ทุกคนอยู่ระดับเดียวกัน กินข้าวยังให้อีก ฝ่ายมาดูแลมันก็ไม่ได้ไหม?” หม่าจื้อตอบกลับทันที เห็นได้ว่าแม้เขาจะไม่ค่อยตั้งใจเรียน แต่ฟังผ่านหูทั้งคืนวันก็ยังท่องจำขึ้นใจ
ซ่งเข่อหลิงมองหม่าจื้อทีหนึ่ง ก่อนจะมองฟางเจิ้ง แล้วเดินไปโดยไม่ได้คิดอะไร
หม่าจื้อพูดเสียงเบาทันที “หลวงพี่ วันนี้พอแค่นี้ ผมขอตัวก่อน”
“อืม ไปเถอะ” ฟางเจิ้งพยักหน้า หม่าจื่อจึงเดินไป
ตอนนี้เองหัวหน้าหลี่จิ้งชูหิ้วถุงสีดำออกมา ข้างๆ ยังมีผู้ชายคนหนึ่ง สองคนเดินออกจากบ้านไป
สวีเหยียนมาส่งหลี่จิ้งชูแล้วก็มองฟางเจิ้ง “ฟางเจิ้ง ถ้านายว่างก็ไปเรียน อย่าใจลอย”
ฟางเจิ้งถาม “เรียน? เรียนอะไร?”
“เรียนการแบ่งปันอย่างไง…ช่างเถอะ ฉันจะสอนนายเอง” สวีเหยียนอารมณ์ดีแล้ว ได้เงินมาหมื่นหยวนก็มีความสุข ย่อมมองฟางเจิ้งถูกชะตาขึ้นไม่น้อย จึงพาฟางเจิ้งมานั่งที่โต๊ะ จากนั้นยัดส สมุดให้เล่มหนึ่ง “นี่คือสมุดบันทึกหลังจากนี้ของนาย จะต้องจดบันทึกทุกวัน พวกเราจะตรวจ ถ้าไม่บันทึกก็ไม่ต้องกินข้าวหนึ่งวัน” สวีเหยียนกล่าว
ฟางเจิ้งพลันกลอกตา การล้างสมองเริ่มแล้วจริงๆ…
สวีเหยียนพูดต่อ “อันดับแรกฉันจะให้แปดคำกับนาย ถ่อมตัว เรียนรู้ ฟัง พูด เผชิญหน้า สามคำแรกคงจะเข้าใจแล้ว คำว่าเผชิญหน้าอาจจะเข้าใจยากหน่อย นายต้องเข้าใจว่าการทำธุรกิจอย่า างพวกเราจะถูกเข้าใจผิดได้ง่ายมาก ดังนั้นจะต้องเรียนรู้การเผชิญหน้ากับแรงกดดัน แรงกดดันจะมาจากสามทิศทาง หนึ่งคือแรงกดดันจากครอบครัว คนที่บ้านไม่เข้าใจก็จะให้นายกลับหรือไม่ให ห้เงิน ไม่สนับสนุนนาย สองแรงกดดันด้านลบ นายจะต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันด้านลบจากคำวิจารณ์ต่างๆ ในสังคม นายต้องเข้าใจว่าธุรกิจที่สำเร็จไม่มีทางทำให้คนเข้ามาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เงินสร้างกำไรให้กับคนส่วนน้อยเสมอ แต่ไม่ใช่สำหรับคนส่วนใหญ่ อะไรคือโอกาส? ตอนที่คนอื่นมองไม่เห็น นายมองเห็น นี่คือโอกาส คว้าเอาไว้แล้วนายจะร่ำรวย สามคือแรงกดดันด้านการเง งิน พวกเราใช้เงินที่มีจำกัดในการทำธุรกิจไร้ขีดจำกัด ใช้คำว่าเล็กเดิมพันกับคำว่าใหญ่ ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำคือแบ่งเงินส่วนหนึ่งใช้เป็นสองส่วน นำเงินที่มีจำกัดใช้กับค คมมีด แรงกดดันสามอย่างนี้ นายต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้า ตอนที่นายเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ นายได้เรียนรู้พื้นฐานแล้ว
นอกจากนี้ครอบครัวพวกเรายังมีกฎของตัวเอง นายจำไว้ ข้อแรก ต้องทำความสะอาดสภาพแวดล้อมบ้าน สองรักษาความมีไมตรี ให้เพื่อนใหม่สึกว่าพวกเราคือกลุ่มเดียวกัน ข้อสามรักษานิสัยที่ดี ไว้ ให้คนใหม่เห็นว่าคนที่อยู่ที่นี่มีคุณสมบัติที่สูง ข้อสี่ ให้ความร่วมมือ ตอนอยู่กับเพื่อนใหม่จะต้องถ่อมตัว โดยเฉพาะตอนเล่นไพ่ แพ้ให้มากชนะน้อยๆ” พูดถึงตรงนี้ สวีเหยียน เน้นเสียง เห็นได้ว่าไม่พอใจที่ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งลงมือเต็มแรง
ฟางเจิ้งทำเป็นไม่ได้ยิน
สวีเหยียนพูดต่อ “ข้อห้า แรงเกาะติด คนที่มาที่นี่ได้เป็นคนมีวาสนาร่วมกัน พวกเราต้องสนิทสนมเหมือนครอบครัว มีเพียงสามัคคีรักใคร่กันเท่านั้นถึงจะทำให้ธุรกิจยิ่งใหญ่และแกร่งขึ้ น นายไม่อยากให้คนใหม่ที่นายหามาทำลายความกระตือรือร้นหรอกนะ? การสร้างกำไรก็ต้องสามัคคีกัน ข้อหก ความรู้สึกลึกลับ เพื่อนมาแล้วอย่าพูดอะไรไร้สาระ เขาถามอะไรก็ให้เขาดูเอ อง ให้ฟังเอง อาจารย์พูดเก่งกว่านาย เชื่ออาจารย์ แล้วอัตราความสำเร็จจะสูงขึ้น
ข้อเจ็ด ส่งต่อความฝัน ก่อนนอนนายจะโพสต์ในโซเชียลก็ได้ เล่าถึงข้อเสียของธุรกิจดั้งเดิม ความจริงในสังคม หรือคำพูดที่ว่าทำไมคนจนถึงพลิกผันตัวเองไม่ได้อะไรพวกนี้ จากนั้นก็เล ล่าถึงคนในวงการธุรกิจนายตอนนี้ว่าประสบความสำเร็จอย่างไร สวนกลับพวกคนที่เคยดูถูกพวกเขาอย่างไร อัดหน้าคนที่เคยดูแคลนพวกเขาอย่างไร รวมถึงจากนี้นายจะทำธุรกิจที่ยิ่งใหญ่อะไร ข้อแปด เรียนรู้การชมเชย ไม่ว่าใครถามว่าคนข้างๆ นายเป็นยังไงก็ต้องชม! สร้างแบบอย่างที่ดีต่อๆ ไป ทุกคนชมกันเองถึงสำเร็จได้หนึ่งคน ข้อเก้า บรรยากาศ ต้องเรียนรู้การสร้างบรรย ยากาศให้กระตือรือร้นขึ้นไป ไม่ว่าอยู่ที่ไหนพวกเราจะรักษาความสนุกสนาน กระตือรือร้นในการเรียนรู้ และมีความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอนในธุรกิจของพวกเรา นี่คือกฎของพวกเรา จำได้แล้วใช่ไหม ม?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า ปลงอนิจจังอยู่ภายในเรื่อยๆ ธุรกิจแบบขั้นบันไดร้ายกาจ ล้างสมองแทบทั้งหมดเลย
“เอาละ วันนี้เล่าแค่นี้ นายมีคำถามไหม?” สวีเหยียนถาม
ฟางเจิ้งถามทันที “ตอนอาตมาอยู่วัด อาจารย์บอกว่าการทำธุรกิจ มีซื้อมีขายถึงจะเป็นธุรกิจ พวกเราจะไปดูทะเลทรายที่เราซื้อเมื่อไร?”
สวีเหยียนหมดคำจะพูด ไอ้หัวล้านนี่มันเชื่อจริงๆ ว่ามีทะเลทราย! สวีเหยียนกระแอมไอทีหนึ่ง “มีโอกาสจะพานายไป มีคำถามอะไรอีกไหม?”
“ตอนอาตมาอยู่วัด อาจารย์เคยบอกว่าห้ามพูดโกหกเด็ดขาด เราอยู่ที่นี่จะต้องโกหกเหรอ?” ฟางเจิ้งถาม
ไม่รู้ทำไม เวลาสวีเหยียนได้ยินประโยคว่าตอนอาตมาอยู่วัดแล้วถึงไม่สบายใจ เขาขมวดคิ้วขึ้น “พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ฉันมีธุระ ขอตัวก่อนละ”
สวีเหยียนออกไปแล้ว แต่ซ่อเข่อหลิงปรากฏตัว นั่งลงข้างฟางเจิ้ง พูดถึงสิ่งที่มีและไม่มี ฟางเจิ้งไปไหนเธอจะตามไป ต่อให้ซ่งเข่อหลิงไม่ตามก็จะมีคนตาม สรุปคือถ้าฟางเจิ้งอยากทำอะไรคน นเดียวก็เป็นไปไม่ได้เลย! เข้าห้องน้ำยังมีคนนั่งยองเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ…
ตอนกินอาหารกลางวัน ฟางเจิ้งไม่ได้ก่อเรื่องอีก ถ้าเขากินหมด พวกผู้ใหญ่หิวน่ะไม่เท่าไร แต่เด็กหิวอันนี้ไม่ดี
แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ฟางเจิ้งก็มองน้ำใสในชาม รวมถึงข้าวไม่กี่เม็ดที่น่าสงสาร พลางคิดว่านี่คือรสชาติของชีวิตหรือไม่! พอนึกถึงเด็กน้อยผิวเหลืองเทียนและผอมโซมากคนนั้นแล้ว วก็ทุกข์ใจยิ่งกว่าเดิม
กินอาหารแล้วฟางเจิ้งกลับห้อง เพิ่งนอนลงก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความโกรธดังมาจากข้างนอก “สวีเหยียน รีบออกมา!”
สวีเหยียนเข้าไปรายงานตัวทันที ก่อนได้ยินหัวหน้าหลี่จิ้งชูว่า “นายเห็นเงินไหม?”