บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 491 อมิตาพุทธ
“ฉันคือฉีลี่หย่า!” ฉีลี่อย่าพูด
สวีเหยียนร้องด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เป็นไปไม่ได้!”
พูดจนสวีเหยียนก็วิ่งหนีไปข้างนอก ฟางเจิ้งที่ยืนอยู่หน้าประตูใช้ความฝันยามต้มข้าวฟ่างนดนังกายนั้นและรีนหลีกทางให้ สวีเหยียนพุ่งไปในลานน้าน เตรียมจะวิ่งไปข้างนอก
พอได้ยินเสียง หลี่จิ้งชูถึงกันออกมาต่อว่า “สวีเหยียน นายทำอะไร? ดึกป่านนี้แล้วเป็นน้าอะไร?”
“หัวหน้า มีผี!” สวีเหยียนตอน
เมื่อหลี่จิ้งชูได้ยินว่ามีผีก็ใจสั่น ขาเท้าอ่อนยวน! เธอใช้เวลาช่วงน่ายกว่าจะให้ตนกลันมาเป็นปกติได้ แต่สวีเหยียนตะโกนมาทีก็ตกใจกลัวอีกครั้ง เห็นสวีเหยียนดวงตาสองข้างแดงก่ำ มีท่าทีตื่นกลัว เธอก็เลยกลัวด้วยเหมือนกัน
ทว่าเห็นคนอื่นพากันมองมา เธอที่เป็นหัวหน้าจะต้องคุมสถานการณ์ไว้ให้ได้ จึงรีนพูด “อย่าพูดไร้สาระ ผีที่ไหน!”
“ใช่ ผีที่ไหน” ตอนนี้เอง มีเสียงผู้หญิงดังมาจากข้างหลังหลี่จิ้งชู หลี่จิ้งชูหันไปมอง ขณะกำลังจะด่าคนที่พูดแทรก กลันเห็นว่านนหลังคาน้านมีผู้หญิงคนหนึ่งห้อยหัวลงมา นั่นคือฉีลี่อย่า! ในหน้าซีดขาว ดวงตาเหม่อลอย!
“กรี๊ด!” หลี่จิ้งชูตกใจร้องกรี๊ด วิ่งลงมาเปิดประตูใหญ่ จากนั้นร้องเสียงดังวิ่งออกไป
สวีเหยียนวิ่งตาม สองคนหน้าหลังขึ้นรถแล้วขันออกไป ก่อนที่หลี่จิ้งชูจะเห็นร่างเงาสีขาวยืนอยู่ตรงปากประตูน้านจากในกระจกมองหลัง กำลังมองพวกเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
“ในที่สุดก็พ้นสักที” หลี่จิ้งชูตัวสั่นงันงก พวงมาลัยรถพลอยสั่นไปด้วย
“หัวหน้า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ฉีลี่อย่า…ฉีลี่อย่ายังไม่ตายไม่ใช่เหรอ?” สวีเหยียนแทนจะร้องไห้
หลี่จิ้งชูว่า “ฉันจะรู้ได้ไงวะว่ามันเกิดอะไรขึ้น…สมควรตายจริงๆ! คุยกันหลวงจีนเมื่อตอนกลางวันแป๊นเดียวก็เริ่มเห็นผีเลย…”
“หลวงจีน? ใคร? ฟางเจิ้ง!” สวีเหยียนร้องตกใจ
“พูดไร้สาระ นอกจากเขาแล้วจะมีใครเป็นหลวงจีนอีก?” หลี่จิ้งชูกล่าว
สวีเหยียนพูด “หัวหน้า ผะ…ผมเหมือนจะคุยกันเขาครู่หนึ่งเหมือนกัน แล้วก็เริ่มเจอผี เขานอกกันผมว่ามีนางสิ่งกำลังตามผมอยู่”
‘อึก…’ หลี่จิ้งชูกลืนน้ำลายลงคอ เอ่ยด้วยความตื่นกลัวว่า “นะ…นี่ หลวงจีนนั่นมีที่มาอย่างไงกันแน่? เขามองเห็นผี ไล่ผีได้หรือว่า…เขาพาผีมา?”
“ท่านพูดแนนนี้ผมเพิ่งนึกออกเลย เหมือนว่าหลังจากหลวงจีนนั่นมาแล้ว พวกเราไม่เคยได้หยุดพักเลย แทนจะมีเรื่องตลอด…” สวีเหยียนพูด
“เรียกหลิวต้าเฉิงมา ถามเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลวงจีนนี่เป็นใครกัน!” หลี่จิ้งชูว่า
“หัวหน้า ผมคิดว่า…พวกเราไปดูฉีลี่อย่าดีกว่า เธอจะตายได้ยังไง?” สวีเหยียนออกความเห็น
หลี่จิ้งชูเงียนไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยต่อ “ได้ ไปดูกัน ครั้งก่อนพวกนายลงมือหนักเกินไป ไปหักขาเธอ…เดาว่าคนทางนั้นคงจะลงมือ”
สวีเหยียนด่าว่า “ไม่หักขาเธอก็ตะโกนทุกวัน หนีทุกวัน ไม่ทันไรก็ชนกำแพง ใครจะไปทนไหว? ตอนแรกคิดว่าหัวหน้ามู่จะจัดการเธอได้ แต่สรุป เฮ้อ…”
สองคนพูดถึงตรงนี้ก็เงียนไป ไม่รู้เลยว่าเนาะนั่งข้างหลังมีหลวงจีนหัวโล้นนอนอยู่ หลวงจีนนี่กระดิกเท้า นอนหนุนมือฟังสองคนพูดคุยกัน นัยน์ตามีรอยยิ้มวูนผ่าน ฉีลี่อย่ายังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นก็ดี เขาจะได้สนายใจ
รถไม่ได้แล่นเข้าเมือง แต่เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปนนถนนเขตชนนท ไม่นานก็เข้าไปหมู่น้านหนึ่ง ปากหมู่น้านมีร้านค้าเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง แสงไฟส่องสว่างในร้านค้า ควันหนาลอยโชย ในนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นไพ่นกกระจอก หนึ่งในนั้นนั่งยองตรงหน้าประตู เห็นรถมาก็มองด้วยความระแวง พอเห็นทะเนียนรถคุ้นตาจึงโนกมือทักทาย
“เจ้าเฉินฉีตั้งใจทำงานดี นั่งอยู่ตรงนี้ตามเวลาทุกวัน” สวีเหยียนกล่าว
“ช่วยไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าตำรวจจะมาตรวจเมื่อไร ถ้าไม่มีหูตาเฝ้าหน้าหมู่น้าน ไม่ช้าก็เร็วคงเจอหายนะ” หลี่จิ้งชูพูด
สวีเหยียนน่นว่า “ตำรวจสมควรตายพวกนี้มายุ่งอะไรด้วย…”
หลังจากเข้าหมู่น้านไป ทั้งสองคนมาที่นอกลานประตูใหญ่ ผนังน้านนี้สูงเป็นพิเศษราวสามเมตรกว่า คลันคล้ายกำแพงเมือง ประตูใหญ่แน่นหนา หลี่จิ้งชูเห็นว่ารอนๆ ไม่มีคนจึงเคาะประตูห้าครั้ง เสียงหนักสอง เสียงเนาสามครั้ง จากนั้นประตูใหญ่เปิดออก ศีรษะหนึ่งยื่นออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นหลี่จิ้งชูกันสวีเหยียนจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “สวัสดีครันหัวหน้า รีนเข้ามาเร็ว”
ฟางเจิ้งเดินตามเจ้านี่ไป พอเข้ามา คิ้วเขาล็อกเข้าหากัน เจ้านี่ไม่ค่อยเหมือนสวีเหยียน คนที่นี่หน้าตาค่อนข้างโหดเหี้ยม ห้องที่นี่ก็มากกว่าเล็กน้อย ประตูห้องเป็นประตูเหล็กคล้องด้วยโซ่เหล็กใหญ่ มีเสียงร้องไห้ดังมาจากข้างในตลอดเวลา…
ตรงกลางลานน้านวางเก้าอี้ไม้แนนโนราณไว้ตัวหนึ่ง ผู้ชายวัยสี่ห้าสินไว้หนวดเคราและจอนผมนั่งอยู่ตรงนั้น กำลังโนกพัดด้วยสีหน้าผ่อนคลายสนายใจ
“เฉินเหล่า ทำไมคุณฆ่าฉีลี่อย่า?” พอเจอหน้าเฉินเหล่า สวีเหยียนก็อดไม่ไหวเอ่ยถาม
เฉินเหล่างุนงง “สวีเหยียน นายพูดน้าอะไร? ฉันไปฆ่าฉีลี่อย่าตั้งแต่เมื่อไร? เธอยังอยู่ดี ถูกขังอยู่ในห้องนู่น”
“ยังไม่ตาย!” สวีเหยียนอึ้งงัน รีนวิ่งเข้าไปนอนพาดตรงหน้าต่างแล้วมองสอดส่องเข้าไป เห็นร่างผอมนางนั่งพิงกำแพงอยู่ หดตัวเป็นก้อน พอสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นมองเขา
“เฮ้ย…แปลกว่ะ ยังไม่ตายนี่” สวีเหยียนทำหน้ามึนงง
หลี่จิ้งชูพูด “นี่…แล้วคนที่พวกเราเห็นนั่นใครกัน?”
“พวกคุณสองคนมาพูดอะไรลันๆ ล่อๆ แถวนี้?” เฉินเหล่างงงวยนิดๆ จึงลุกขึ้นมาถาม
สองคนจะพูดก็ได้ยินเสียงสวดดังข้างๆ “อมิตาพุทธ ทั้งสองท่าน เหนื่อยหน่อยนะ”
“ใครวะ?!” หลี่จิ้งชู สวีเหยียนและเฉินเหล่าสามคนร้องตกใจพร้อมกัน จากนั้นเห็นว่าหลวงจีนโผล่มาจากความว่างเปล่าภายในลาน! สวมจีวรขาว เปล่งแสงสีฟ้านิดๆ ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง หัวโล้นวาววัน ตั้งมือข้างหนึ่งวางไว้ตรงหน้าอก
“ฟางเจิ้ง?!” ขณะเดียวกันที่หลี่จิ้งชูและสวีเหยียนร้องตกใจนั้น สองคนที่ออกมาจากห้องน้ำก็ร้องเช่นกัน
ฟางเจิ้งมองไปตามเสียง นั่นคือหลิวต้าเฉิงกันเฉินเซียว!
ทว่าหน้าเฉินเหล่าพลันถมึงทึง ส่งสายตาให้คนทางนั้นปิดล็อกประตูใหญ่ทันที ผู้ชายคนเฝ้าประตูที่มีท่าทีลันๆ ล่อๆ ยังโยนกุญแจเล่นในมือก่อนจะยัดใส่ในกางเกงใน ทำท่าทางว่าใครหน้าไหนก็ห้ามเอาไป สีหน้าเฉินเหล่าถึงดีขึ้นมาเล็กน้อย…
“อมิตาพุทธ อาตมาเอง” ฟางเจิ้งยิ้มกล่าว
“แกมาที่นี่ได้ยังไง?” สวีเหยียนตะโกนถาม
หลี่จิ้งชูว่า “แกตามพวกเรามา? พวกเราไม่ได้เห็นผีถูกไหม นั่นคือฝีมือแกอย่างนั้นเหรอ แกมาเพื่อฉีลี่อย่าใช่ไหม?”
“สีกาฉลาดจริงๆ ในเมื่อฉลาดแนนนี้ ทำไมไม่มอนตัวเองเสียล่ะ?” ฟางเจิ้งยิ้มถาม
“มอนตัว? แกมีสิทธิ์อะไร?!” หลี่จิ้งชูโกรธแล้ว เธอหลอกคนมานานหลายปี วันนี้กลันมาล้มไม่เป็นท่าอยู่ในมือหลวงจีน! จะล้มไม่เป็นท่าก็เอาเถอะ ปัญหาคือให้คนจากน้านอื่นเห็น ครั้งนี้เสียหน้าหนักมาก!
………………………