บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 492 ลงมือแล้ว
“อมิตาพุทธ” ตอนนี้เองเสียง สวดดังขึ้นอีกครั้ง เฉินเหล่าพลันประนมสองมือมองฟางเจิ้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แกคือฟางเจิ้ง? ฉันเคยออกบวชที่ภูเขาหลงเป้ย เจ้าอาวาสวัดสันหลังมังกร คือศิษย์พี่ฉันเอง”
“อ้อ” ฟางเจิ้งตอบกลับเรียบๆ คำหนึ่ง ในมุมมองเขา คุณออกจากวัดแล้ว ไว้ผมแล้ว แถมยังทำเรื่องสิ้นมโนธรรมแบบนี้ ยินยอมทำเรื่องชั่วด้วยตนเอง พุทธศาสนาไม่มีทางเก็บคุณไว้แน่! ไม่ เกี่ยวอะไรกับพุทธศาสนาอีก ในเมื่อไม่เกี่ยว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดดี
“ทำไม พบพุทธสาวกด้วยกันแล้วไม่ทักทายเหรอ?” เฉินเหล่ากล่าว
ฟางเจิ้งเลิกเปลือกตาขึ้น “อยากให้อาตมาช่วยอาจารย์ประสกชำระสะสางประตูวัดให้เอาไหม?”
“ปากดี! แกคิดเหรอว่าแกคนเดียวจะออกจากที่นี่ไปได้?” เฉินเหล่าโกรธแล้วเหมือนกัน
ฟางเจิ้งหัวเราะเยาะ “อาตมาย่อมไม่คิดแบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นแกก็ทำตัวดีๆ หน่อย” สวีเหยียนว่าด้วยความโกรธ
หลิวต้าเฉิงเอ่ยเช่นกัน “ฟางเจิ้ง นายอย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ถึงตอนนั้นเสียแขนเสียขาไปยังถือว่าดี แต่ถ้าตายจะไม่เหลืออะไรเลย ถือว่าพวกเราเป็นเพื่อนเก่า…”
“อ้อ เพื่อนเก่าเข้ามานี่สิ” ฟางเจิ้งพูด
หลิวต้าเฉิงเดินเข้ามาจริงๆ โดยรอบเป็นคนของตน เขาจะกลัวอะไร? ฟางเจิ้งกล้าแตะเขา เขาก็กล้าให้ฟางเจิ้งไม่ได้ออกไปจากประตูนี้! ทว่าเฉินเซียวยังกลัวนิดๆ จึงดึงหลิวต้าเฉิงไว้
เฉินเหล่ามองค้อนเขาไปที “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ ไสหัวไปตรงนู้น!”
จากนั้นเฉินเซียวไสหัวไปตรงนู้นจริงๆ เห็นได้ว่าเฉินเหล่ามีอำนาจมากที่นี่
หลิวต้าเฉิงมาแล้ว เชิดหน้าขึ้น รูจมูกชี้ไปยังฟางเจิ้ง “ฟางเจิ้ง มีอะไร? นายอยากคุยอะไรกับฉัน พูดจริงๆ นะ นายมาแล้ว นี่เป็นเรื่องดี ทุกคนทำธุรกิจด้วยกัน จากนี้มีความสุขด้วยกั นไง แต่ถ้านายก่อเรื่อง เหอะๆ…เฉินเหล่าไม่ได้ถูกหลอกง่ายๆ ด้วยสิ”
ฟางเจิ้งยิ้มบอก “ประสกพูดผิดแล้ว”
“พูดผิดอะไร?” หลิวต้าเฉิงถาม
ฟางเจิ้งตอบ “อาตมาไม่ได้มาคุยกับประสก แต่…”
“แต่อะไร?” หลิวต้าเฉิงถามอีก
เพียะ!
ฟางเจิ้งยกมือตบเข้าไปที่บ้องหูอีกฝ่าย! หลิวต้าเฉิงรู้สึกแสบร้อนใบหน้า ฟ้าหมุนคว้าง ร่างหมุนวนอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าหมุนไปกี่รอบ ถึงอย่างไรตอนที่เขานั่งลงกับพื้นก็มึนงงไปหมด !
ไม่เพียงแค่หลิวต้าเฉิงที่มึนงง พวกเฉินเหล่าก็อึ้งเช่นกัน ถูกคนล้อมมากขนาดนี้ หลวงจีนนี่ยังกล้าลงมือ? ใจกล้าจริงๆ! ใช้ไม่ได้เกินไปแล้ว!
หลิวต้าเฉิงตะโกนด้วยความโกรธ “เฉิน…”
เพียะ!
ตบบ้องหูเข้ามาอีกที ใบหน้าซ้ายขวาเขาถือว่าเท่ากันแล้ว บวมเป็นหัวหมูที่ได้มาตรฐาน
“แม่ง บังอาจทำเก่งที่ฉันเหรอ? ไป! หักแขนขามัน แล้วเอาไปแขวน!” เฉินเหล่าโกรธแล้ว ไม่อยากคุยกับฟางเจิ้ง ถ้าใช้คำพูดแก้ปัญหาได้จะดีที่สุด แต่ตอนนี้ได้แต่ใช้กำลังสั่งสอนอีกฝ่า ายว่าจะเป็นเด็กดีอย่างไร!
ผู้ชายสิบกว่าคนรอบๆ ด่าทอพร้อมกับกรูกันเข้ามา รัวหมัดไปทางฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งมองไปรอบๆ แสยะปากยิ้ม ก่อนยกฝ่ามือขึ้นมาตบใส่หมัดที่ชกเข้ามา!
กร๊อบ!
อ๊าก!
กระดูกแขนผู้ชายคนหนึ่งหัก เขากุมหมัดพลางถอยไป แถมยังร้องไห้โอดครวญ
ลูกถีบตามเข้ามาจากข้างหลัง ฟางเจิ้งหมุนตัวกลับ สลับก้าวทีหนึ่งก็แทบจะแนบหน้ากับอีกฝ่าย! ทำอีกฝ่ายตกใจจนถอยไปด้วยสภาพอนาถา แต่ก็เจอกับลูกถีบดังโครม ตัวเขาลอยออกไปช ชนกำแพงท่ามกลางเสียงดังสนั่น ห้อยอยู่สามวินาทีถึงตกลงมา…
“ต่อยคนเหมือนแขวนภาพ เวรเอ๊ย! คนมีฝีมือ เอาอาวุธมา!” เฉินเหล่าตกใจเช่นกัน เขาเคยฝึกการต่อสู้บนเขา เคยฝึกวิทยายุทธ์ และก็เคยได้ยินเรื่องเล่าต่างๆ นาๆ ทว่าไม่เคยเห็นใครต ต่อยตีคนได้ดั่งแขวนภาพวาดจริงๆ! เขาคิดมาตลอดว่านี่คือตำนาน เรื่องเล่า ไม่ใช่ความจริง วันนี้ได้มาเจอจริงๆ แล้ว จึงตกใจจนรีบพูด
ทุกคนที่เดิมทีจะพุ่งเข้าไปเห็นคนหนึ่งมือหัก อีกคนลอยไปเป็นว่าวสายขาดก็ตกใจจนไม่กล้าเข้าไปอีก พากันหยิบอาวุธพวกโต๊ะเก้าอี้แล้วก็มีดหั่นผักที่มีรอยโหว่เต็มไปหมด ถลึงต ตาโตด้วยความโกรธพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง ทว่าก็ยังไม่กล้าเข้าไป ช่วยไม่ได้ คนหนึ่งยังนอนบนพื้น อีกคนนอนหมอบใต้กำแพง แรงปะทะน่าสะพรึงแบบนั้นน่าตกใจ! ส่วนอาวุธเก่าๆ พั งๆ ในมือพวกเขาไม่ให้ความรู้สึกปลอดภัยเลยจริงๆ
ทันใดนั้นเอง ฟางเจิ้งขยับแล้ว ยกหลิวต้าเฉิงที่เพิ่งได้สติกลับมา หิ้วเขาเดินมาที่ประตูห้องที่ฉีลี่อย่าอยู่ราวกับหิ้วลูกเจี๊ยบ ก่อนยกเท้าถีบดังปัง!
ประตูเหล็กถูกแรงระเบิดเปิดออกประหนึ่งกระดาษกาว!
“ห่าเอ๊ย มองอะไรวะ? เข้าไปสิ!” เฉินเหล่าโกรธแล้วจึงตะโกนว่า
ทุกคนเพิ่งตั้งสติกลับมาได้ ก็ถืออาวุธปรี่เข้าไป
ฟางเจิ้งหันมายิ้มเยาะ มือข้างหนึ่งจับบานประตูออกแรงดึง ได้ยินเพียงเสียงแกรกสองที จากนั้นประตูเหล็กกับบานประตูแตกหักในจุดที่เชื่อมกัน ฟางเจิ้งถือไว้ในมือ! เขาแสยะปากยิ้ม “อาตมาอยากรู้ว่าใครจะกล้าเข้ามา! อาตมาไม่ถือสาที่จะเล่นเกมตีตัวตุ่น!”
เมื่อได้ยินว่าตีตัวตุ่น ทุกคนลูบศีรษะโดยจิตใต้สำนึก ถ้าถูกบานประตูเหล็กนั่นตีจริงๆ ละก็…ทุกคนมองไปที่เปลือกแตงโมบนพื้นโดยไม่รู้ตัว…
เห็นว่าไม่มีใครกล้าเข้ามา ฟางเจิ้งจึงโยนหลิวต้าเฉิงลงบนพื้น “คุกเข่าเอาหัวโขกพื้น!”
“หา…หา?” หลิวต้าเฉิงงุนงง มองฉีลี่หย่าตรงหน้าที่มีสีหน้าตื่นกลัว แม้เห็นว่ามีคนมาช่วยเธอก็ยังตื่นกลัว ไม่กล้าขยับ ยังตัวสั่นงันงกอยู่ หลิวต้าเฉิงว่า “นายจะให้ฉันโขกหัวใ ให้เธอ?”
‘ปัง!’ ฟางเจิ้งควงบานประตูแล้วฟาดเข้าไป หลิวต้าเฉิงร้องเสียงดัง ถูกฟาดลงแนบกับพื้น ใบหน้ากระแทกพื้น เลือดกำเดาไหลพราก ฟันหักไปหนึ่งซี่…ปวดหลังเช่นกัน ถูกบานประตูนั่นฟาดทีห หนึ่งเหมือนถูกรถชน ตัวเขาจะแหลกเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว
“จะทำตามหรือวันนี้จะให้อาตมาฟาดบานประตูใส่ประสกจนเป็นเศษเนื้อ” ฟางเจิ้งพูด
ทันใดนั้นเอง เสียงตะโกนของหลี่จิ้งชูดังมาจากข้างหลัง “ฟางเจิ้ง แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าพวกมัน!”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นถึงกับขมวดคิ้วแน่น หันไปมอง ก็เห็นพวกหลี่จิ้งชู สวีเหยียน เฉินเหล่า และเฉินเซียวจับคนไว้หลายคน สวีเหยียนใช้มีดจริงๆ คนอื่นใช้อาวุธต่างๆ ทว่าอีกฝ่าย เป็นคนธรรมดา ถ้าโดนลงมือหนักจริงๆ หากไม่ตายก็สาหัส
สวีเหยียนเอ่ยตาม “ฟางเจิ้ง ฉันรู้ว่าแกมีความสามารถลึกลับอะไรนั่น แต่แกต้องเข้าใจว่าไม่ว่าแกจะทำอะไร ถ้าฉันคิดว่ามันไม่ใช่จริงๆ ฉันจะเชือดคอมัน! ไม่ว่าฉันเห็นอะไร ขอแค่ คิดว่ามันไม่ใช่ ฉันจะส่งมันไป! จะตายก็ตายด้วยกัน!”
“ฟางเจิ้ง พอแล้ว! ที่นี่ไม่ใช่ภาคตะวันออกเหนือ ไม่ใช่วัดนาย! นี่คือที่ของพวกเรา” เฉินเซียวพูดตาม
เฉินเหล่าบอก “นักบวชก็ให้เหมือนนักบวช ไม่ข้องเกี่ยวทางโลก บำเพ็ญเพียรข้างนอก อย่างแกนี่ อาจารย์แกรู้ไหม?”
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ตอนนี้จัดการยากจริงๆ เมื่อครู่เห็นสิ่งที่พวกฉีลี่หย่าเจอแล้ว เพลิงในใจเขาพุ่งทะยานขึ้นฟ้าจนถึงกับเปิดเผยตัวตน แต่ลืมไปว่าที่นี่นอ อกจากฉีลี่หย่าแล้วยังมีคนอื่นๆ ที่ถูกส่งมาขังอีก
ฟางเจิ้งไม่พูดอะไร แต่เปิดอิทธิวิถีเงียบๆ พร้อมกล่าวในใจว่า ‘ระบบ ฉันต้องการให้นายช่วย อย่าแกล้งกันล่ะ!’
ต่อมาปรากฏอักษรตัวใหญ่สีทองหลายตัวในความคิดของฟางเจิ้ง ก่อนจะมีประกายความตกใจวูบไหวในดวงตาเขา ตามด้วยเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “จะให้โอกาสทุกคนสักครั้ง ไปมอบตัวซะ ไม่อย่างนั้นต้อง งรับผลที่ตามมาภายหลังเอง”