บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 494 มาขอให้ไต้ซือช่วยหลอก
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง สวัสดีค่ะ” ฉีลี่หย่าที่สีหน้าดีขึ้นมากยืนอยู่หน้าฟางเจิ้ง รอยยิ้มเขินอายเล็กน้อย แต่เหมือนสภาพจิตใจจะดีขึ้นแล้ว
ฟางเจิ้งประนมสองมือพูดด้วยรอยยิ้ม “อมิตาพุทธ”
“เรื่องในวันนั้น ฉันยังจำได้…” ฉีลี่หย่าพูด
ฟางเจิ้งยังคงยิ้ม
ฉีลี่หย่าพูดต่อ “แต่ฉันไม่ได้บอกกับใคร”
ฟางเจิ้งยิ้มต่อ เอียงตัวพลางพูด “ถ้าสีกาอยากพูดอะไรก็พูดกับพระโพธิสัตว์ได้ สีกาเป็นคนจิตใจดี พระโพธิสัตว์จะปกป้องสีกาเอง”
“ค่ะ” ฉีลี่หย่าพยักหน้า จากนั้นเข้าอุโบสถ คุกเข่าขอพรอะไรเงียบๆ
ฉีลี่หย่าให้เงินจุดธูปไว้ร้อยหยวน สองคนทำเพียงแค่มองกันและกัน ไม่ได้พูดอะไรอีก ฟางเจิ้งพูดไม่เก่ง ฉีลี่หย่าก็เช่นกัน แต่บางเรื่องไม่ต้องบอกทุกคนก็เข้าใจ นับจากวันนี้ไปอ อาหารของฟางเจิ้งเปลี่ยนไปแล้ว เพราะทุกสัปดาห์ฉีลี่หย่าจะส่งอาหารที่ทำมาให้หนึ่งครั้ง
ฟางเจิ้งรับไว้ด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ใช่คนที่เกรงใจอะไรอยู่แล้ว
หลังจากผ่านเรื่องฉีลี่หย่า ฟางเจิ้งพบว่ากลุ่มชั้นเรียนถือว่าได้ตายจากไปอย่างสมบูรณ์ ไม่มีใครพูดอะไรอีก ฟางเจิ้งได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ กับเรื่องนี้ โดนเข้าไปครั้งหนึ่งก็ขยาดไป ปอีกนาน อันตรายจากธุรกิจแบบพีระมิดไม่ใช่ว่าถูกทำลายแล้วจะขจัดทิ้งไปได้ ผลกระทบของมันน่ากลัวยิ่งกว่า! มันทำให้ระหว่างคนกับคนเกิดความไม่ไว้ใจต่อกัน รักษะระยะห่างระหว่างคน ทำให้สังคมนี้หนาวเหน็บกว่าเดิม
ฟางเจิ้งนึกถึงเรื่องที่เปลี่ยนคนให้กลายเป็นต้นไม้ คนพวกนี้สมควรชดใช้กรรมแล้ว!
หลายวันมานี้ฟางเจิ้งอ่านข่าวที่เป่ยเจียง ด้วยความที่หลิวต้าเฉิงเปิดโปงข้อมูลต่างๆ รวมถึงหาข้อมูลทุกอย่างจากในมือถือและสำนักงานของหัวหน้าสองคนพบ เงามืดของธุรกิจแบบพีระมิ ดก็ถูกแฉออกมา หลังจากสื่อประโคมข่าวจึงส่งผลสะเทือนไปทั้งสังคม สัปดาห์กวาดจับธุรกิจแบบนี้กันทั่วประเทศ ทำการรุกหนักครั้งใหญ่ ทุกที่ที่ผ่าน ธุรกิจแบบพีระมิดจะถูกจัดการเรียบ เห็นตรงนี้แล้วฟางเจิ้งสบายใจขึ้นไม่น้อย แต่สิ่งที่เขากังวลคือทำไมระบบถึงไม่แจ้งเตือนล่ะ?
ในที่สุดวันนี้ ฟางเจิ้งก็อดใจไม่ไหวเอ่ยถาม “ระบบ นายลืมอะไรไปรึเปล่า?”
“อย่ามากวนฉัน กำลังคำนวณอยู่” ระบบตอบกลับด้วยความรำคาญ
ฟางเจิ้งงงงัน “คำนวณอะไร?”
“เรื่องที่นายทำครั้งนี้ส่งผลเป็นวงกว้างมาก ถึงบุญกุศลจะเอาไว้ที่นายหมดไม่ได้ก็เถอะ แต่ทุกคนที่นายช่วยได้มอบค่าบุญกุศลให้กับนายมาคนละนิด ค่าบุญกุศลเลยเพิ่มขึ้นตลอดเว วลา…ฉันกำลังคำนวณอยู่ แน่นอน ถ้านายคิดว่าไม่ต้องคำนวณ ฉันจะคุยกับนายก็ได้” ระบบว่า
“นายคำนวณไปเถอะ อ้อ ขอถามหน่อยสิ ตอนนี้ฉันมีบุญกุศลเท่าไรแล้ว?” ฟางเจิ้งถาม
“สี่พันกว่า! ครั้งนี้นายได้มาเยอะเลย!” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งพลันดีใจใหญ่ ถ้าเขาจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้เขามีค่าบุญกุศลสองพันกว่า! ภารกิจครั้งนี้ให้บุญกุศลเยอะขนาดนี้เชียว! นี่มันช่าง…มีความสุข!
เขาเดินไปหลังลานวัดอย่างเบิกบานใจ “จิ้งซิน!”
“อะไร?” เด็กแดงถามด้วยความรำคาญเล็กน้อย
“ไปเก็บเห็ดกัน! มื้อเย็นเพิ่มข้าว!” ฟางเจิ้งบอก
“ดี!” พอได้ยินว่าข้าว เด็กแดงพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา พูดด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเรียกลิง กระรอก และหมาป่าเดียวดาย สี่หายนะต่างวิ่งออกไปด้วยความระริกระรี้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หยางหวาเฝ้ารออย่างเหนื่อยยากทุกคืนวัน ในที่สุดตู้เหมยก็คลอด! เมื่อเสียงเด็กดังมาจากในห้องคลอด หยางหวากระโดดขึ้นสูง รอจนพยาบาลอุ้มเด็กออกมาแล้ว เ เขายิ้มจนกลายเป็นคนโง่ สุดท้ายถูกพยาบาลเตือนว่า “ห้ามส่งเสียงดังนะคะ!”
เมื่อกลับมาแล้ว หยางหวาวิ่งขึ้นเขาไปทันที ดึงฟางเจิ้งไว้ไม่ยอมปล่อยมือ
“ประสกหยาง มีอะไรก็พูดกันดีๆ พวกเราไม่จับมือกันได้ไหม?” ฟางเจิ้งมองหยางหวาเศร้าๆ มักจะรู้สึกแปลกๆ เสมอ
หยางหวากลับยิ้มตอบโดยไม่คิดอย่างนั้นเลย “ฟางเจิ้ง ผมเป็นพ่อคนแล้ว”
“อาตมารู้ ประสกพูดเป็นสิบรอบแล้ว” ฟางเจิ้งพูดเศร้าๆ แม้แต่แฟนเขายังไม่มีเลย แต่กลับถูกคนที่เป็นพ่อมาพูดเรื่องงดงามต่างๆ นานาต่อหน้า! เขาละอยากต่อยคน!
“ไม่ใช่ ผมไม่ได้อยากพูดตรงนี้ ผมอยากบอกว่า…ผมมีลูกชายแล้ว” หยางหวาพูด
ฟางเจิ้งมองฟ้าอย่างหมดคำจะพูด แล้วมันต่างกันตรงไหน?
“เฮ้ย พูดผิดอีกแล้ว คืออย่างนี้ ผมมีลูกชายแล้ว ผมอยากฉลองหน่อย ท่านดูฤกษ์ให้ได้ไหม?” หยางหวาก็รู้ว่าตนตื่นเต้นเกินไป ลากฟางเจิ้งสิบกว่านาทีก็พูดซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่รู้ว่า ทำไมพูดประโยคนี้ไปแล้วมีความสุข! ฟินมาก! ทว่าทำไมฟางเจิ้งดูไม่ค่อยดีใจล่ะ?
ถึงอย่างนั้นหยางหวาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แค่เขามีความสุขก็พอแล้ว
ไกลออกไป หมาป่าเดียวดายนอนหมอบอยู่ตรงปากประตู ยื่นหัวสุนัขออกมามองฟางเจิ้งกับหยางหวาพลางถอนหายใจ “ไอ้ปัญญาอ่อนนี่ไม่รู้ถึงความเศร้าของหมาโสดเอาซะเลย”
เด็กแดงนั่งยองลงข้างหมาป่าเดียวดาย เอ่ยด้วยความเห็นใจว่า “ก็แค่หมาโสดที่อยากจะสึกแต่ยังไม่สำเร็จเท่านั้น พุทธศาสนากล่าวไว้ถูกต้อง ตัดทางโลกไม่ขาดนั่นคือความทุกข์! อยากกิ นก็ไม่ได้กิน คนอื่นยังมาโอ้อวดต่อหน้าเจ้า…เป็นทุกข์แท้ๆ!”
……..
“ประสกหยาง อาตมาไม่ใช่หมอดู คือว่า…อาตมาดูมาเป็น และก็ไม่รู้จะดูยังไงด้วย” ฟางเจิ้งดูไม่เป็นจริงๆ
หยางหวาพูด “ผมไม่สนใจ หมอดูคนอื่นเป็นพวกต้มตุ๋น ถึงยังไงก็ต้มตุ๋นอยู่แล้ว ให้ท่านหลอกผมไม่ดีกว่าเหรอ?”
ฟางเจิ้งตอบ “…3 วัน”
สุดท้ายภายใต้การกัดไม่ปล่อยของหยางหวา ฟางเจิ้งจึงหยิบมือถือออกมาดู ก่อนเลือกมาวันหนึ่ง สามวันหลังจากนี้!
“สามวันจากนี้? มีความสำคัญกับคำอธิบายอะไรไหม?” หยางหวาถามด้วยความแปลกใจ
ฟางเจิ้งเงยหน้ามองฟ้า “ไม่มีความสำคัญอะไร พยากรณ์อากาศบอกว่าสามวันจากนี้ฟ้าจะใส”
หยางหวาหมดคำจะพูดไปเลย นี่มัน…มั่วซั่วจริงๆ!
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นจึงเอ่ยเสริมไปว่า “อาตมาไม่เข้าใจฮวงจุ้ย แต่หลวงตาหนึ่งนิ้วเคยบอกว่าการปรับฮวงจุ้ยที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือจิตใจคน เลือกวันฟ้าใส พระอาทิตย์ส่องสว่างย่อมทำให้ คนสบายกว่าฟ้าครึ้มฝนตก อีกอย่างทำอะไรก็สะดวก ดังนั้นฟ้าใสเลยดีกว่าฟ้าครึ้ม…”
แม้คำอธิบายนี้จะไม่เหมือนคำอธิบาย แต่หยางหวาก็ยังลงเขาไปอย่างมีความสุข
ฟางเจิ้ง ลิง หมาป่าเดียวดาย กระรอก และเด็กแดงยืนมองแผ่นหลังหยางหวาที่กำลังมีความสุขจากบนเขาพลางส่ายหน้าพร้อมกัน
ฟางเจิ้งสวดนามพุทธองค์ “อมิตาพุทธ”
“เป็นครั้งแรกที่เห็นมีคนขึ้นเขามาขอให้หลอก” หมาป่าเดียวดายพูด
“เป็นครั้งแรกที่เห็นคนที่รู้ว่าถูกหลอกก็ยังดีใจแบบนี้” เด็กแดงกล่าว
ลิงประนมสองมือ “อมิตาพุทธ”
กระรอกพูดบ้าง “ดีใจขนาดนี้ไม่ให้ของกินกันหน่อยเหรอ?”
………
วันต่อมา ฟางเจิ้งตื่นนอนแต่เช้า นับจากที่เขาลงเขาไป เจ้าลิงก็รับหน้าที่เคาะระฆัง เดิมทีฟางเจิ้งลงเขาไม่มีใครเคาะระฆังให้ เด็กแดงรู้สึกว่าเคาะระฆังแล้วได้อ่านคัมภีร์ จึงเกิ ดความไม่สบอารมณ์ในใจ เป็นตายอย่างไรก็ไม่เคาะ ส่วนหมาป่าเดียวดาย ทุกครั้งที่เคาะระฆังจะต้องกระโดดเอาหัวพุ่งชนเอา ชนไม่ถึงสองทีมันก็รู้สึกจะตายแล้ว
หากใช้คำพูดกระรอกก็คือ ‘เห็นเจ้าหมาป่าเคาะระฆังเหมือนกับจะพุ่งชนระฆังฆ่าตัวตายเลย กลิ่นคาวเลือดแรงมาก’