บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 497 ไต้ซือหุบปาก!
เฉินต้าหมิงโกรธเช่นกัน ไม่สนใจแล้ว “คุณรับไม่ได้ก็ไปเถอะ!” จากนั้นสาวเท้ายาวเดินมาทางบ้านหยางหวา
สองคนเสียงดังกันขนาดนี้ พลันดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน คนในหมู่บ้านวิ่งออกมาดูสถานการณ์ เห็นเฉินต้าหมิงกับหวังอวิ๋นเฟิ่งสองสามีภรรยาทะเลาะกันก็พากันไกล่เกลี่ย ผู้ชายโน้มน้าวให้ เฉินต้าหมิงกลับไปขอโทษ ผู้หญิงโน้มน้าวให้หวังอวิ๋นเฟิ่งใจเย็นๆ
“หวังอวิ๋นเฟิ่ง เธอสองคนทะเลาะอะไรกัน ตอนนี้ชีวิตก็ดี พวกเราอิจฉาไม่ทันแล้วนะ”
“ใช่ พวกเธอน่ะเป็นหงส์ทองที่บินออกจากหมู่บ้าน ใครไม่รู้บ้างว่าสามีเธอเก่งแค่ไหน เดือนเดียวได้เงินตั้งหลายหมื่น”
หวังอวิ๋นเฟิ่งได้ยินดังนั้นก็โกรธ “ใครบอก?!”
“เหล่าซานบ้านสกุลเฉิน อาเธอไง”
“จริงๆ เลย! เราหามาได้พันหนึ่ง เขาโม้บอกว่าห้าหกพัน ถ้าเราหามาได้หมื่นหยวน เขาจะบอกว่าเราได้หลายหมื่น ถ้าอยากได้หน้าก็ไม่เป็นต้องใช้วิธีนี้เลย? มิน่าแต่ละคนถึงมายืมเง งิน พอไม่ให้แต่ละคนก็เหมือนกับพวกเราไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษพวกเขา ที่แท้ก็แบบนี้เอง!” หวังอวิ๋นเฟิ่งกล่าว
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออก ไม่นึกเลยว่าอยากจะดับไฟ แต่กลายเป็นสุมไฟให้แรงกว่าเดิม
“หวังอวิ๋นเฟิ่ง พอแล้วน่า อย่าพูดเลย…” ในที่สุดเฉินต้าหมิงก็ตรงเข้ามาดึงหวังอวิ๋นเฟิ่ง
“ไม่ให้พูด? ทำไมจะพูดไม่ได้? กลัวฉันพูดมาแล้วขายหน้ารึไง? เฉินต้าหมิง จะบอกให้นะ วันนี้ฉันจะพูด! ไม่พูดฉันทนไม่ไหวหรอก! เราแต่งงานกันมายี่สิบปี คุณบอกฉันสิว่าญาติพี่น้องพ พวกนี้ทำอะไรให้พวกเราบ้าง? ยืมเงิน! ยืมเงิน! ยืมเงิน! ให้มาช่วยงาน! ให้มาช่วยงาน! ให้มาช่วยงาน! อันนี้พันหนึ่ง อันนั้นสามร้อย อันนี้สองสามร้อย มากขึ้นทุกปีๆ! เรื่องขี้หมู ราขี้หมาแห้งแค่นี้ยังต้องเรียกมา อะไรก็ต้องให้ช่วย ไม่ช่วยก็เหมือนติดค้างพวกเขา มันทำไม? ชาติก่อนฉันไปติดค้างบ้านพวกคุณรึไง? ฉันหาเงินมาเองยังเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นไม่ได้ ยังต้องเปลี่ยนชีวิตทั้งครอบครัวกับทั้งหมู่บ้านพวกคุณอย่างนั้นเหรอ?” หวังอวิ๋นเฟิ่งพูดโวย
เฉินต้าหมิงพูดเสียงเบา “ทำไมพูดอย่างนั้น?”
“พูดอย่างนั้นแล้วทำไม ฉันพูดผิดตรงไหน? ให้ฉันเอาหลักฐานการยืมออกมาให้ดูไหม ขานชื่อนับทีละคนเลยไหม?” หวังอวิ๋นเฟิ่งตะคอก
ตะคอกที หลายคนก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ
ตอนนี้เองหวังโอ้วกุ้ยรีบเข้ามา เห็นหวังอวิ๋นเฟิ่งกับเฉินต้าหมิงทะเลาะกันเลยทำหน้าจนปัญญา เรื่องแบบนี้เขาพูดยากจริงๆ เพราะอะไรหวังอวิ๋นเฟิ่งถึงโกรธเขารู้ดี ความจริงมีคนโม มโหกับเรื่องแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่หวังอวิ๋นเฟิ่งคนเดียว
ทันใดนั้นเองหวังโอ้วกุ้ยเห็นฟางเจิ้งจึงเข้ามาใกล้ทันที กระทุ้งฟางเจิ้งแล้วว่า “ฟางเจิ้ง คิดหาวิธีทำอะไรสักอย่างที วันมงคลบ้านหยางหวาทั้งที ทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่ลู่ทางที่ดี เลย…อีกอย่าง ขืนทะเลาะกันต่อไปจะไม่ดีกับพวกเขาทั้งสอง”
ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อน “ประสก ถึงอาตมาจะเข้าใจเรื่องนี้ แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าจะแก้ปัญหายังไง เรื่องนี้จัดการยากมาก…”
“ถ้าจัดการได้ยังต้องใช้ท่าน?” หวังโอ้วกุ้ยมองบน
ตอนนี้เองหวังอวิ๋นเฟิ่งกับเฉินต้าหมิงทะเลาะกันอีกครั้งแล้ว
“คุณจะจบไหม? ค่อยกลับไปคุยที่บ้านไม่ได้เหรอ? อย่ามาพูดที่นี่ได้ไหม?” เฉินต้าหมิงตะคอกด้วยความโกรธ
“ฉันจะพูดที่นี่! ให้ทุกคนเข้าใจความหมายของฉัน! ใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้เอย มีเรื่องเร่งด่วนเอย ที่มายืมเงินพวกเราก็เพราะเห็นแก่เป็นครอบครัวกันบ้าง เห็นแก่มนุษยธรรมบ้าง! แต่บ้าน นพวกคุณขายไก่แปรรูปอาหารอะไรพวกนี้ ไสหัวไปให้หมด! ฉันไม่ให้ยืม! อีกอย่างที่บ้านคลอดเป็ดไก่หมาแมวอะไรก็อย่าเรียกให้พวกเรามาช่วยงาน! ฉันไม่อยากมา!”
“หวังอวิ๋นเฟิ่ง พวกเราเป็นญาติพี่น้องกันทั้งนั้น นี่คือน้ำใจคน เป็นมารยาทต่อกันมันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น คุณอย่าโกรธเลย คุณคิดดู พอคุณแก่แล้วทุกคนมารวมกันมันจะครึกครื้นแค่ ไหน” หวังโอ้วกุ้ยก็ยังเอ่ยออกไป
“เหอะๆ…ช่างเถอะ ไม่เห็นพวกเขาแล้วฉันสบายใจกว่าเยอะ” หวังอวิ๋นเฟิ่งยิ้มเยาะ
“จากนี้เจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีภัยอะไร ทุกคนจะได้ดูแลซึ่งกันและกัน” มีคนพูดอีก
หวังอวิ๋นเฟิ่งหัวเราะเยาะ “ฉันมีหมอดูแล มีประกัน มีลูกดูแล พวกเขาไม่ทรมานฉันแบบนี้หรอก ฉันยังมีชีวิตได้อีกหลายปี เป็นแบบนี้ต่อไป ฉันว่าฉันคงใกล้ได้พวกเขามาโปรดสัตว์แล้วล่ ะ”
คำพูดหวังอวิ๋นเฟิ่งแหลมเล็กอย่างยิ่ง พริบตาเดียวอุดปากทุกคนจนไม่รู้จะพูดอะไรดี
เฉินต้าหมิงเห็นหวังอวิ๋นเฟิ่งพูดแบบนี้ก็โกรธจริงๆ ต่อว่าด้วยความโมโหว่า “หวังอวิ๋นเฟิ่งคุณทำเกินไปแล้ว! ผมเกิดที่หมู่บ้านนี้ ช่วยงานนิดหน่อยจะเป็นไรไป? อีกอย่างมีเข้ามีออก ก ตอนที่บ้านเราจัดงานทุกคนก็มากันไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ มากันหมดเลย นอกจากตอนลูกคลอดแล้วเคยจัดงานอีกเมื่อไร? บ้านเราหลายปีแล้วไม่เห็นจัดสักครั้ง คุณบอกว่ากลัวทำให้ทุกคนลำบาก แต่พวกเขาล่ะ? จัดงานเล็กๆ หัวท้ายในสามวัน สิ บวันครึ่งเดือนจัดงานใหญ่ มันทำไม พวกเราเป็นคนโง่ไม่จัดงาน ได้แต่ให้เงินช่วยงานเหรอ? เฉินต้าหมิง คุณเป็นผู้ชายหงส์ที่ออกมาจากหมู่บ้าน ตอนแรกแม่ฉันไม่เห็นด้วยที่ฉันจะแต่งง งานกับคุณ รู้ไหมทำไม? ตอนนั้นแม่บอกว่าพวกเราฐานะไม่สมกัน อยู่ด้วยกันแล้ว เรื่องในครอบครัวคุณจะทรมานฉันจนเป็นบ้า ตอนนั้นฉันไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อว่า ฉันทนมาพอแล้ว! คุณอย ยากเป็นคนดีก็เป็นไปเองเถอะ! ฉันแค่อยากใช้ชีวิตที่มั่นคงมีความสุข! ไม่อยากเป็นผู้ช่วยโลก!” หวังอวิ๋นเฟิ่งตะโกน
“พอแล้ว! หวังอวิ๋นเฟิ่ง คุณพอสักที! มันทำไม คนในเมืองอย่างคุณมันสูงศักดิ์ ดูถูกคนหมู่บ้านชาวนาอย่างพวกเราเหรอ?” เฉินต้าหมิงตะคอกเช่นกัน
“ฉันดูถูกหรือไม่ดูถูกใครคุณไม่รู้เหรอ? ถ้าฉันดูถูกฉันจะแต่งงานกับคุณ? ถ้าฉันดูถูกฉันจะทำงานเพิ่มเป็นเพื่อนคุณ? แล้วกลับมาก็เอามาช่วยงานคนบ้านคุณ? ลูกเรียนหนังสือไม่มีเงิน น ไปยืมเงินพวกเขา ตอนยืมเงินครอบครัวละร้อยหยวนฉันเคยบ่นไหม? แต่ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันอยู่ไม่ไหวแล้ว! เฉินต้าหมิง คุณจะทะเลาะกันฉันใช่ไหม? ได้ เราสองฝ่ายแยกกัน กลับไปห หย่ากัน คุณชอบแบบไหนก็เอาเถอะ ตกลงไหม?!” หวังอวิ๋นเฟิ่งตะคอก
เฉินต้าหมิงหน้าแดงก่ำ โกรธจนแย่แล้ว แต่หวังอวิ๋นเฟิ่งพูดมา เขากลับไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบอย่างไร หลายปีมานี้หวังอวิ๋นเฟิ่งทำได้ดีจริงๆ แต่น้ำใจคนเหล่านี้ก็ต้องมี ไม่มีไม่ได้ …
ตอนนี้เองเสียงสวดดังขึ้นข้างหู “อมิตาพุทธ ทั้งสองท่าน…”
“หุบปาก!” สองคนแทบจะตะคอกใส่ฟางเจิ้งพร้อมกัน
ฟางเจิ้งมองสองคนด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ทันที
ตะคอกเสร็จสองคนก็หน้าแดงพร้อมกัน หวังอวิ๋นเฟิ่งพูดด้วยความกระดากอายเล็กน้อย “ขอโทษค่ะ พอดีโมโหไปหน่อย ขอโทษ”
เฉินต้าหมิงพูด “ขอโทษครับ พวกเรา…”
“อมิตาพุทธ ไม่เป็นไร ทั้งสองท่านโกรธอะไรลงที่อาตมา นี่เป็นเรื่องดี” ฟางเจิ้งยิ้ม
“เรื่องดี?” สองคนงุนงง นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี? หรือว่ายังมีคนเข้ามาให้ด่า? ใต้ฟ้ากว้างใหญ่จริงๆ มีคนอยู่ทุกประเภท