บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 498 ประเพณีชั่วร้ายหยุดอยู่ที่ความดี
ฟางเจิ้งกล่าวว่า “ยอมทำลายวัดเพื่อไม่รื้องานแต่ง ทั้งสองท่านระบายความโกรธที่อาตมา ละอายในความโกรธเอง ไม่ทะเลาะกันแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือ?”
สองคนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแห้งๆ เป็นอย่างที่ฟางเจิ้งว่าไว้จริง เมื่อระบายความโกรธแล้ว ทั้งสองคนมีสติขึ้นมาไม่น้อย แต่หวังอวิ๋นเฟิ่งยังถลึงตามองเฉินต้าหมิงทีหนึ่ง “กลับไปค่อ อยคิดบัญชีกับคุณ!”
ตอนนี้เองหยางหวาเดินมาไกลๆ แถมยังอุ้มลูกในอ้อมกอด กำลังเดินมาทางนี้ด้วยสีหน้าร้อนรน
หวังอวิ๋นเฟิ่งเห็นหยางหวาก็ไมได้รู้สึกดีอะไร ถึงอย่างไรในสายตาเธอ ในหมู่บ้านนี้ไม่มีคนดี เธออึดอัดภายในใจจึงไม่ทักทายและจะเดินหนีไป…
เฉินต้าหมิงกำลังจะพูด ก็ได้ยินหยางหวาพูด “ต้าหมิง น้องสะใภ้ นี่ ทั้งสองคน…ทำอะไรกัน?”
เห็นได้ชัดว่าหยางหวารู้เรื่องทางนี้
“พี่ ไม่มีอะไร” เฉินต้าหมิงเป็นคนเขินอายเล็กน้อย
หวังอวิ๋นเฟิ่งพูด “พี่ ฉันมีธุระ ขอตัวก่อน”
“อย่าเพิ่งไปๆ…พวกเราได้ยินที่เธอพูดแล้ว วันนี้ฉันจัดงานอวยพรว่าคนอย่างฉันในวัยสี่สิบกว่ามีลูกคนแรกสักที วันนี้พวกเราตั้งกฎมาข้อหนึ่ง คนอื่นไม่รู้เป็นยังไง แต่จากนี้ไป บ้านหยางหวาจัดงานไม่รับเงิน! ถ้าทุกคนยินดีก็เอาอาหารมาให้ฉันเล็กน้อย จะเป็ดไก่ ผักหรือมะเขือเทศอะไรก็ได้ จากนั้นทำหม้อเดียว ทุกคนกินด้วยกัน ฉลองกันอย่างมีความสุข เธอว่าย ยังไง?” หยางหวาดึงหวังอวิ๋นเฟิ่งไว้
หวังอวิ๋นเฟิ่งกับเฉินต้าหมิงตะลึงงัน
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็ตรงเข้ามา “อมิตาพุทธ ทั้งสองท่าน จีนเป็นสังคมน้ำใจคนมาตั้งแต่โบราณ น้ำใจคนใหญ่กว่าฟ้า และก็ไม่ใช่เรื่องวันสองวัน ถึงหมู่บ้านจะมีเรื่องช่วยงานแบบนี้เ เยอะ แต่ว่านี่ก็เป็นประเพณีที่ช่วยเหลือกันมาตั้งแต่โบราณจริงๆ เป็นวิธีสื่อถึงความผูกพัน แน่นอนว่าสองปีมานี้กระแสนิยมในหมู่บ้านแย่ลงจริงๆ มีอะไรก็จัดงาน ยืมเงินก็ไม่คืนกลา ายเป็นค่านิยม นี่ไม่ดีจริงๆ”
พูดถึงตรงนี้ ฟางเจิ้งไม่ให้โอกาสหวังอวิ๋นเฟิ่งโต้เถียงเลย แต่หมุนตัวกลับแสดงความเคารพไปรอบๆ “ทุกท่าน เมื่อก่อนทุกท่านยากจนจริงๆ จุดนี้อาตมารู้อยู่แก่ใจ หมู่บ้านเราตั้งอยู่ที่กั นดาร ทั้งยังเป็นมุมอับ มีถนนแต่ไม่มีใครผ่าน มีรถขับออกไปไม่ได้ สองปีมานี้เพิ่งซ่อมถนน ทุกอย่างถึงดีขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อก่อนทุกคนอาจจะไม่มีเงินคืน ต่อให้มีเงินก็พิจารณาให้ล ลูก ซื้อบ้านหรือให้ลูกแต่งงาน เงินที่ยืมไปผลัดได้ก็ผลัดไป แต่หนึ่งปีมานี้ ทุกคนน่าจะมีเงินแล้ว เงินที่ยืมมาควรจะคืนหรือไม่?”
ได้ยินฟางเจิ้งพูดแบบนี้ หวังอวิ๋นเฟิ่งกลืนคำพูดตรงริมฝีปากลงไป แต่เธอก็ยังไม่ชอบฟางเจิ้งอยู่ดี เธอรู้จักฟางเจิ้ง รู้ว่าฟางเจิ้งมีชื่อเสียงมากในตอนนี้ แต่จะหวังให้เขาพูดประโย ยคเดียวก็ให้คนที่เหนียวหนี้เหล่านี้คืนเงินเหรอ เธอไม่เชื่อจริงๆ…
ทว่าต่อมา เธออึ้งงันไปแล้ว
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านไม่รู้อะไร ตอนแรกพวกเราว่าจะคืนเงินในงานเลี้ยงหยางหวานี่แหละ ท่านดูสิ กระเป๋าหนังสือนี่มีแต่เงิน! เป็นเงินที่ทุกคนยืมอวิ๋นเฟิ่งมา หลายปีมานี้พวกเราก็รู ว่ายืมคนไม่คืนมันไม่ดี เป็นพวกเลวทราม
พวกเรารู้ว่าอวิ๋นเฟิ่งกับต้าหมิงเป็นคนดี เราติดเงินพวกเขาเยอะขนาดนั้น แต่เมื่อก่อนเราไม่มีเงินจริงๆ อีกอย่างชอบคิดว่าต้าหมิงรวยจะตาย คืนเร็วคืนช้าไม่ส่งผลกระทบกับเขาหร รอก แถมเขาไม่เคยมาทวงด้วย ก็เลยผลัดมาแบบนั้น…มิหนำซ้ำ ลูกแต่งงานก็ต้องการเงินต่างๆ นานา ได้แต่หน้าหนาหน้าทนไม่คืน แน่นอน ผมไม่ได้บอกว่าพวกเรามีคุณธรรมสูงส่งอะไร ถ้าชีวิตตอ อนนี้ไม่ดีขึ้นแต่ยังลำบากเหมือนเมื่อก่อน มีโอกาสสูงที่ยังไม่คืนเงินนี่ แต่ช่วงที่ผ่านมาพวกเราเปิดร้านอาหารท้องถิ่น สร้างรายได้ไม่น้อยเลย ทุกคนเลยปรึกษากัน มีเงินแล้วก็ต้องคื น ผมพูดความจริงนะ ไม่ได้คิดว่าจะอวดอ้างอะไรเลย พวกเรามีส่วนที่ไม่ดีจริงๆ แต่นับจากนี้ไป พวกเราถือว่าเป็นคนใหม่แล้ว…” ผู้ชายผมขาวดอกเลาคนหนึ่งชื่อเฉินเจี่ยน เฉินเจี่ยนเป็น นต้าเหยียของเฉินต้าหมิง ภาคใต้เรียกว่าต้าป๋อ (ลุง) เป็นพี่ที่อาวุโสที่สุดทางฝั่งบิดา
เฉินเจี่ยนเอ่ยถึงตรงนี้ก็เดินมาอยู่หน้าหวังอวิ๋นเฟิ่งกับเฉินต้าหมิง พลันโค้งตัวแสดงความเคารพ
เฉินต้าหมิงกับหวังอวิ๋นเฟิ่งตกใจจนรีบหลบ
เฉินเจี่ยนพูดว่า “ต้าหมิง อวิ๋นเฟิ่ง พวกเธอก็รู้ว่าหมู่บ้านชาวนาอย่างเราปกติไม่มีงานอดิเรกอะไร พอว่างก็คุยไปเรื่อย อาสามเธอปากไม่มีหูรูด คุยโม้ไม่ใช่วันสองวัน ผู้ชายน่ะอยา ากหน้าใหญ่กันทั้งนั้น ทุกคนรวมกัน เลยอดโม้ว่าญาติพี่น้องตนเป็นยังไงไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าการคุยโม้ของเขาจะสร้างปัญหาให้พวกเธอขนาดนี้ ลุงขอโทษแทนเหล่าซานด้วย นี่เงิน เอาไป ปนับดูนะ…”
เฉินต้าหมิงยื่นมือไปรับกระเป๋าหนังสือมาพร้อมกับเอ่ยด้วยความลำบากใจนิดๆ “ลุง…คือ”
“ต้าหมิง คุณลองรับมาสิ กลับไปหย่ากัน!” หวังอวิ๋นเฟิ่งพลันพูดขึ้น
สิ้นเสียง เฉินต้าหมิงรีบปล่อยมือ พูดพลางสะอื้นไห้ “คุณจะเอายังไงอีก?”
หวังอวิ๋นเฟิ่งมองค้อนเขาทีหนึ่ง “เห็นแก่ที่คุณมีคุณธรรม!” จากนั้นโค้งตัวแสดงความเคารพเฉินเจี่ยน “ลุง ขอโทษด้วยนะคะ เมื่อกี้ที่บ้านฉันไม่สั่งสอนเลยพาลไปทั่ว เอาจริงๆ ฉันก็ โกรธ เป็นใครก็โกรธกันทั้งนั้น แต่ต้าหมิงบ้านเราไม่ใช่คนขี้เหนียว ฉันเป็นภรรยาก็ไม่ใช่คนขี้เหนียวเหมือนกัน เห็นท่าทีพวกคุณแล้วฉันก็อุ่นใจ เราไม่เอาเงินนี่แล้ว จะเปิดร้าน นอาหารท้องถิ่นไม่ใช่ง่ายๆ จะลงทุนภายหลังกับตกแต่งอะไรพวกนี้ต้องใช้เงิน พวกคุณเก็บเงินนี่ไว้เถอะ…”
เฉินต้าหมิงมองหวังอวิ๋นเฟิ่งด้วยความมึนงง หวังอวิ๋นเฟิ่งมองค้อนเขาทีหนึ่ง “มองอะไร? ฉันเป็นคนโวยวายไร้เหตุผลเหรอ? ขอแค่ฝันร้ายนี่จบลงเร็วหน่อยฉันก็สบายใจแล้ว…”
“อวิ๋นเฟิ่ง เธอต้องรับเงินนี่ไว้ ตอนนี้ทุกคนไม่ได้ยากจนขนาดนั้นแล้ว จากนี้ไปพวกเราคือครอบครัวเธอ วันเสาร์ก็กลับมากินข้าว อย่างอื่นไม่ว่านะ แต่หน่อไม้หมู่บ้านเอกดรรชนีเรา คือของดีชั้นหนึ่ง!” เฉินเหล่าซานพูด
เห็นเฉินเหล่าซาน หวังอวิ๋นเฟิ่งก็ยิ้มแห้งๆ “อาสาม จากนี้อาอย่าช่วยคุยโม้ให้เราจะดีกว่านะ…”
เฉินเหล่าซานหน้าแดงก่ำ ทุกคนหัวเราะพร้อมกัน
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ ประเสริฐๆ” ก่อนพูดกับทุกคน “ทุกท่าน อาตมาเป็นคนยากจน ถ้าจากนี้ทุกคนจัดงานอย่างที่สีกาหวังว่าจริงๆ อาตมาไม่กล้าลงเขาแล้ว”
“ผมไม่สนคนอื่นหรอก ถึงยังไงวันนี้ผมหยางหวาไม่รับเงินซอง! จากนี้ก็ไม่รับ! แน่นอน ใครมีกับข้าวอะไรดีๆ เหล้าดีๆ ก็เอามาให้ผม ผมรับ ทุกคนกินดื่มด้วยกัน!” หยางหวาตะโกน
สิ้นเสียงตะโกน เฉินเจี่ยนพูดตาม “ฉันขอเป็นตัวแทนบ้านสกุลเฉิน จากนี้จัดงานไม่รับเงินเหมือนกัน ส่วนที่ช่วยไปก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นการลงทุนมิตรภาพแล้วกัน! ชีวิตดีขึ้นทุกวัน พวกเรา าอย่าไปสนเลยว่าเมื่อก่อนช่วยงานกันไปเท่าไร โดนถล่มกินเกลี้ยงแล้วจะเสียเปรียบอะไรพวกนี้เลย ฉันคิดว่าควรจะปลดแอกให้ตัวเองได้แล้ว”
“ฉันสนับสนุน!” เฉินจินพูดตาม