บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 90 ในความฝันมีภูเขาข้าว
“อืม ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน!” ฟางเจิ้งวิ่งเข้าห้องน้ำ แม้จะการกินข้าวผลึกดื่มน้ำบริสุทธิ์จะไม่มีของเสียใดๆ ไม่ถ่ายหนักเบา แต่เขาก็ยังตื่นเต้นจนอยากเข้าห้องน้ำ
ฟางเจิ้งวิ่งไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมานอนให้พร้อม
ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ตื่นเต้นให้สงบลง อภินิหาร! ถึงแม้เขาจะมีเนตรสวรรค์กับวิชาภาษาสัตว์แล้ว แต่ใครจะถือสาอภินิหารเล็กๆ น้อยๆ ล่ะ? อีกอย่างฟังชื่อมันแล้วให้ความรู้สึกว่าเจ๋งมาก! เขาเอ่ยขึ้น “เริ่มได้แล้ว”
“นายมั่นใจนะ”
“ฉันขอคิดดูก่อน” ฟางเจิ้งรู้สึกว่าระบบถามจุกจิกหลายครั้งแล้ว เกรงว่าครั้งนี้จะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ครั้งก่อนที่รับอักษรพุทธองค์มังกรมาก็ทำเขาหอบเป็นสุนัข นอนหลับไปหนึ่งวัน
ครั้งนี้เขาต้องมั่นใจว่าทุกอย่างพร้อมแล้วถึงจะเริ่มได้ เขาเดินในวัดอีกหนึ่งรอบ จนมั่นใจว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ถึงกลับมานอนบนเตียงอีกครั้ง “เอาล่ะ เริ่มเถอะ!”
“นายมั่นใจ?”
“ทำไมนายพูดมากจัง เริ่มเลย!” ฟางเจิ้งกล่าว
จากนั้นฟางเจิ้งก็พบว่าระบบไม่มีการเคลื่อนไหว หลับตาอยู่นานก็อึ้งไปที่ไม่เกิดอะไรขึ้น เขาลุกขึ้นนั่ง “ระบบ เริ่มได้รึยัง?”
“เสร็จแล้ว” ระบบตอบกลับมานิ่งๆ
ฟางเจิ้งรู้สึกแค่ว่าในใจมีตัวเงินตัวทองวิ่งอยู่เป็นแสนตัว กระโจนไปตัวเงิน กินไปตัวทอง!
“เร็วขนาดนั้นเลย? ทำไมฉันไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด แล้วถ้ามันง่ายดายแบบนี้ นายจะถามฉันว่ามั่นใจรึยังหลายครั้งทำไม?” ฟางเจิ้งถาม
“นายต้องการรู้สึกยังไงล่ะ? เจ็บ? หรือคัน? ให้ฉันช่วยไหมล่ะ? สุดท้าย ถ้านายไม่มั่นใจแล้วฉันจะถ่ายทอดความสามารถให้ได้ยังไง?”
“ช่างเถอะ ถือว่าไม่ได้พูดแล้วกัน” ฟางเจิ้งกลัวแล้ว อยู่ดีๆ จะให้เจ็บให้คัน สมองป่วยรึเปล่า?
“ระบบ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าไม่ได้เรียนอะไรเลยล่ะ?” ฟางเจิ้งถาม
“นายคิดว่าอภินิหารคืออะไร?” ระบบถามกลับ
“อภินิหารไม่ใช่มนต์คาถา ประสานมุทรา โยนของวิเศษเรียกลมเรียกฝน โปรยถั่วให้เป็นทหาร หรือตดระเบิดภูเขาแบบนั้นเหรอ?” ฟางเจิ้งพูดถึงสิ่งที่เคยอ่านมาในนิยาย
ระบบทำเสียงหึๆ “ขาดเขลา! อภินิหารคือการเดิน มอง ฟัง พูด และขยับของคนธรรมดาเท่านั้น ยกมือคืออภินิหาร หลับตาก็เป็นอภินิหาร! อภินิหารคือเปลี่ยนสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ให้เป็นความสามารถโดยสัญชาตญาณของนาย ไม่ต้องท่องคาถา ไม่ต้องมีสิ่งของช่วย แค่คิดก็ใช้อภินิหารได้แล้ว”
ฟางเจิ้งงง ไม่คิดเลยว่าอภินิหารจะเป็นอย่างนี้ แต่ก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่!
ตอนนี้เอง หมาป่าเดียวดายวิ่งเข้ามาเห่าสองที “ฟางเจิ้ง ฉันหิวแล้ว กินข้าวกัน”
ฟางเจิ้งเห็นหมาป่าเดียวดาย ในใจพลันสั่นไหว นัยน์ตามีประกายวูบผ่าน โลกตรงหน้าหมาป่าเดียวดายเปลี่ยนไปทันใด! โดยรอบว่างเปล่า ไม่มีฟ้าดิน…
ฟางเจิ้งเห็นภาพนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาเห็นหมาป่าเดียวดาย แต่มันมองไม่เห็นเขา! เขากำลังยืนอยู่บนฟ้าราวกับเทพผู้สร้างโลกมองทุกสิ่ง! แค่คิดแผ่นดินก็ลอยขึ้นมาจากใต้เท้า!
ทำเอาหมาป่าเดียวดายตกใจวิ่งหนี แต่แผ่นดินลอยขึ้นมา มันจะหนีไปไหนได้? สุดท้ายก็ตกใจจนหดตัวเป็นก้อน ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก
ขณะมันกำลังหวาดกลัวก็พลันได้กลิ่นหอมคุ้นเคย นั่นคือกลิ่นข้าวผลึก!
มันลืมตาขึ้นมอง เห็นว่ามีภูเขาข้าวอยู่ไกลๆ เป็นภูเขาข้าวสูงเสียดฟ้า แถมเป็นข้าวผลึกที่หุงสุกแล้วด้วย!
มันแลบลิ้นโดยไม่รู้ตัว น้ำลายไหลย้อย ก่อนจะพุ่งไปยังภูเขาข้าว
แต่ไม่นานมันก็พบว่ายิ่งวิ่งเร็วเท่าไร ภูเขาข้าวยิ่งห่างไกลเท่านั้น! แต่ยิ่งไกลเท่าไรมันก็ยิ่งร้อนรน ซ้ำยังวิ่งสุดชีวิตกว่าเดิม!
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ยิ้มด่าในใจ ‘เจ้างั่ง เรื่องประหลาดชัดเจนแบบนี้ยังไม่รู้อีกว่าเป็นความฝัน อภินิหารฝันยามต้มข้าวฟ่างน่ากลัวจริงๆ ให้ทุกชีวิตลุ่มหลง ตกอยู่ในห้วงภวังค์ที่ถอนตัวไม่ขึ้น’
คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งจึงโบกมือ ภูเขาข้าวหยุดลง หมาป่าเดียวดายวิ่งครู่เดียวก็ตามภูเขาข้าวมาทัน มันกระโจนเข้าไป อ้าปากกว้างจะกินให้อิ่ม!
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นจึงส่ายหน้าเล็กน้อย โลกความจริงเขาไม่มีทางเติมเต็มความปรารถนาที่มันอยากกินจนจุกได้ แต่ในความฝันทำให้มันสุขสบายหน่อยแล้วกัน ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจ
หมาป่าเดียวดายนอนหมอบกินอยู่บนภูเขาข้าว กลิ้งไปมาอย่างดีใจสุดๆ วิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว สีหน้าแบบนั้นน่าขายหน้าเป็นที่สุด…
ฟางเจิ้งทนมองไม่ได้จริงๆ จึงโบกมือ ข้างล่างปรากฏมหาสมุทรขึ้นมา หมาป่าเดียวดายกระโดดเอาหัวจุ่มลงไป ตกใจจนตะกุยตะกายอย่างบ้าคลั่ง
พรวด!
“เอ๋งๆๆ…”
ในโลกความจริง หมาป่าเดียวดายนอนอยู่บนพื้น ตะกุยกรงเล็บไม่หยุดพลางร้องเอ๋งๆ เห็นได้ชัดว่าตกใจมาก
แต่เมื่อมันพลิกตัวลืมตาขึ้น ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องของฟางเจิ้ง ไม่มีภูเขาข้าว ไม่มีมหาสมุทร!
หมาป่าเดียวดายเห็นฟางเจิ้งยิ้มตาหยี เห็นโดยรอบที่คุ้นเคยอีกครั้ง มันรู้สึกว่าทุกอย่างเมื่อครู่เป็นฝีมือของเจ้าอาวาสคนนี้! แต่ว่ามันสู้เจ้าโล้นนี่ไม่ได้ จึงได้แต่ระงับอารมณ์เอาไว้ หมุนตัววิ่งออกไป
ไม่ว่ายังไงเมื่อครู่นี้มันก็กินจนอิ่มหนำสำราญจริงๆ!
ฟางเจิ้งหัวเราะเสียงดัง “ทำไม? ยังโกรธอยู่เหรอ? วันนี้อาตมามีความสุข กินให้เต็มที่เลย!”
“บรู้ว!”
“ทีตอนนี้มาพูดสรรเสริญ? ฮ่าๆ…ไปกัน!” ฟางเจิ้งพอใจกับอภินิหารที่ตนได้มาใหม่มาก เขาพาหมาป่าเดียวดายไปทำกับข้าว
ดวงตะวันลาลับภูเขารวดเร็วมาก ในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งของอำเภอซงอู่
“พี่ใหญ่ มั่นใจนะว่าจะทำแบบนี้?” ผู้หญิงแต่งตัวจัดสูบบุหรี่พลางมองเงินในมือ ก่อนจะมองชายตรงหน้าด้วยความสงสัยเล็กน้อย ชายคนนี้หล่อมาก แต่คำร้องของเขามันมากเกินไปรึเปล่า?
“ทำไมเธอพูดมากจังเลยฮะ? ฉันถามว่าจะรับเงินไหม? ถ้ารับก็ทำงานให้ดี เสร็จแล้วจะให้เพิ่มอีกเท่าตัว!” ชายคนนั้นพูดตอบ ตอนนี้เองมีรถคันหนึ่งแล่นผ่านไป แสงไฟสาดมาสะท้อนใบหน้าชายคนนั้น นั่นคือเฉินจิ้งที่เพิ่งตกงาน!
“หึๆ ได้ ฉันจัดการเรื่องนี้เอง! แต่ว่าเถ้าแก่ต้องออกเงินค่าเดินทางให้ด้วยนะ” ผู้หญิงคนนั้นว่า
“ไม่มีปัญหา แต่เธอต้องทุ่มให้ฉันหนักขึ้นนะ เอาหลวงจีนนั่นลงให้ได้ เข้าใจไหม? อย่างแย่ที่สุดต้องให้เขาเผยธาตุแท้ลงมือขย้ำเธอ จากนั้นส่งบันทึกเสียงทั้งหมดมาให้ฉัน ถ้าเป็นวิดีโอจะดีที่สุด แค่จัดการให้เรียบร้อยเธอจะได้เงินอีกเยอะ” เฉินจิ้งกล่าว
ผู้หญิงตอบ “วางใจเถอะเถ้าแก่ คนอื่นน่ะไม่ว่า แต่แค่เณรคนเดียว ฉันหลี่เฟิ่งเซียนกล้ารับประกันว่าเสร็จงานภายในสามวัน! พี่รอข่าวดีได้เลย”
“ดี ฉันจะรอข่าวดีจากเธอ! แต่ว่าเธอจำไว้นะว่าวันนี้ฉันไม่เคยพบเธอ” พูดจบเฉินจิ้งก็จากไปอย่างรวดเร็ว
หลี่เฟิ่งเซียนมองแผ่นหลังของเฉินจิ้งพลางเบะปาก “เล่นอะไรกัน ใส่ร้ายกระทั่งหลวงจีน…ช่างเถอะ ตอนนี้ไปให้หลวงจีนนั่นเบิกเนตรดีกว่า อืม…หลวงจีน หลวงจีนน้อยที่บริสุทธิ์ รสชาติน่าจะไม่เลวเลยมั้ง”
พูดจบ หลี่เฟิ่งเซียนเดินออกจากตรอกแล้วขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านไป
วันต่อมา ยามฟ้าสว่าง มีแขกมาเยือนที่วัดของฟางเจิ้ง เป็นชาวบ้านหมู่บ้านข้างๆ ฟางเจิ้งคุ้นตาแต่ไม่รู้ชื่อ
อีกฝ่ายเป็นผู้ชายร่างกายกำยำ หอบหายใจเหมือนรีบร้อนมาก ทักทายฟางเจิ้งก่อนวิ่งเข้าไปจุดธูปไหว้พระ จากนั้นลงเขาไปโดยไม่หันมามอง
……………