บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 95 ช่วยโยมให้เป็นเซียน
“ต้นไม้สูงกว่าหญ้า นั่นเพราะมันกระหายแสงตะวัน? ดอกไม้สวยกว่าหญ้า เพราะมันอยากงดงามกว่าเดิม?” หลี่เฟิ่งเซียนตะลึงงัน
ฟางเจิ้งมองหลี่เฟิ่งเซียน ความรู้สึกไม่ดีในตอนแรกหายไปมากกว่าครึ่ง ถามว่า “พ่อแม่โยมเป็นคนตั้งชื่อให้โยมหรือ? อาจารย์อาตมาเป็นคนตั้งชื่อให้ ความจริงแล้วควรจะเรียกว่านามทางธรรมถึงจะถูก แต่อาจารย์อาตมาไม่รู้ว่าพ่อแม่อาตมาชื่อแซ่อะไร ท่านบอกว่าตั้งชื่อแทนพ่อแม่อาตมาไม่ได้เลยเรียกนามทางธรรมมาตลอด ความจริงท่านก็ไม่รู้ว่าอาตมาไม่สนใจว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร ในสายตาอาตมาพระอาจารย์คือพ่อ และก็เป็นแม่เช่นกัน แต่จนถึงตอนที่ท่านจากไป อาตมาก็ไม่มีโอกาสได้บอก…เฮ้อ…”
หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีความสุขกว่าท่านสิ ฉันมีชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ ชื่อเดิมคือหลี่หลินเยวี่ย แต่ฉันคิดว่าดวงจันทร์ในป่า (หลินเยวี่ย) ไม่เหมาะกับฉัน ฉันอยากเป็นหงส์อยากเป็นเซียน (เฟิ่งเซียน) บนฟ้าชั้นเก้า น่าเสียดายที่มันเป็นแค่ความฝัน…”
“ความฝัน?” ฟางเจิ้งอึ้งไป จากนั้นนึกอะไรออก จึงยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าว “โยม ความฝันของโยมคือแค่อยากเป็นเซียนเป็นหงส์ใช่ไหม?”
“ใช่! ถ้ามีโอกาสฉันอยากบินขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นเก้า! ไม่อยากอยู่ในร่างเน่าๆ แบบนี้แล้ว!” หลี่เฟิ่งเซียนกัดฟันพูด นัยน์ตามีความไม่พอใจต่อสภาพในตอนนี้ฉายวาบอยู่ลึกๆ
ฟางเจิ้งยิ้มบางๆ “อาตมาจะให้โชควาสนาโยมเป็นเซียนเป็นหงส์ คิดว่ายังไง?”
“ท่าน? ทำได้เหรอ? อย่าล้อเล่นน่า ไม่ตลกเลยสักนิดนะ” ถึงหลี่เฟิ่งเซียนจะพูดแบบนี้ แต่ใจกลับเต้นระรัว เธอมีความรู้สึกบางอย่าง รู้สึกถึงความหวัง รู้สึกว่าความฝันอาจจะเป็นจริง!
ฟางเจิ้งประนมสองมือก่อนเอ่ย “อมิตาพุทธ!”
โครม!
หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกเพียงโลกตรงหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ!
“เกิดอะไรขึ้น?” หลี่เฟิ่งเซียนตื่นกลัว โดยรอบมืดมิด มองไม่เห็นแสงสว่าง มีแต่ความมืดไร้ที่สิ้นสุด พื้นที่ปิด อากาศหายใจน้อย เหมือนจะตายไปได้ทุกเมื่อ
“มีใครอยู่ไหมๆ?” สิ่งที่คนกลัวมากที่สุดคือความไม่รู้! ความมืดมิดรอบๆ เงียบสงัดไร้เสียง ทำให้เธอหวาดกลัวสุดขีด
ตอนนี้เองมีแสงสว่างสายหนึ่งส่องลงมา สว่างจนหลี่เฟิ่งเซียนลืมตาไม่ขึ้น มองเห็นอะไรไม่ชัดไปหมด ก่อนจะได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งพูดคุยกัน
ต่อมาเมื่อเธอตื่นขึ้น ก็พบว่าตนกลับกลายเป็นเด็กทารกไปแล้ว!
บิดาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่และเย็นชา มารดาเป็นผู้หญิงสวยและมีเมตตา
ตระกูลหลี่เป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองผานหลง ทุกคนในตระกูลหลี่เป็นอัจฉริยะในหมู่คน ทว่าหลี่เฟิ่งเซียนกลับถูกพบว่าที่แท้เธอฝึกฝนไม่ได้! มารดาทุกข์ตรมใจ สุดท้ายลาจากโลกนี้ไป บิดาจึงเอาความโกรธทั้งหมดมาลงที่หลี่เฟิ่งเซียน หลี่เฟิ่งเซียนจึงถูกไล่ออกจากตระกูลหลี่ในท้ายที่สุด
“ข้าหลี่เฟิ่งเซียน นับจากนี้ขอตัดขาดจากตระกูลหลี่ ไม่ขอเกี่ยวดองกันชั่วชีวิต!” หลี่เฟิ่งเซียนพูดจบก็หมุนตัวจากไป
ตอนหลี่เฟิ่งเซียนอายุสิบหกได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือ เปิดเผยความลับในตัวเธอเอง ไม่เพียงแค่ฝึกฝนได้แล้ว แต่ยังก้าวกระโดดขึ้นกลายเป็นอัจฉริยะสุดยอดของโลก! หนึ่งปีบรรลุขั้นรากฐาน สิบปีบรรลุขั้นโอสถทองคำ ยี่สิบปีบรรลุขั้นวิญญาณแรกเริ่ม ห้าสิบปีบรรลุขั้นผ่านภัยพิบัติ หนึ่งร้อยปีทะยานขึ้นสูงสุด!
ถึงตอนนี้ปุถุชนจึงเพิ่งรู้ว่าเธอมีกายแท้หงส์เพลิง หากไม่มีเพลิงแห่งหงส์เพลิง จะอาบเพลิงจุติใหม่ได้อย่างไร?
พอทะยานขึ้นฟ้า หลี่เฟิ่งเซียนกลับหยุดฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ดวงตาพร่าเลือน! เธอมีศักยภาพแล้ว มีทุกอย่างแล้ว แต่เธอมักรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง
“อมิตาพุทธ สีกาฉงนอะไรหรือ?” ตอนนี้เอง มีนักบวชรูปหนึ่งปรากฏกายอยู่ข้างๆ
“ท่านเองหรือ?” หลี่เฟิ่งเซียนจำได้ในแวบแรก นี่คือนักบวชที่ชี้แนะแนวทางให้เธอ! จึงโค้งตัวคารวะทันที “คารวะไต้ซือ! ขอให้ไต้ซือช่วยชี้แนะด้วย”
“ในใจโยมมีความฉงน รู้สึกขาดอะไรไปหรือ?” ฟางเจิ้งถาม
หลี่เฟิ่งเซียนพยักหน้า
ฟางเจิ้งชี้ที่แผ่นดินใต้เท้า “ในเมื่อขาดบางอย่างไป เช่นนั้นก็ลงไปหาดูข้างล่าง บางทีอาจจะหาพบก็ได้”
หลี่เฟิ่งเซียนมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย ก่อนมองแผ่นดินกว้างใหญ่ข้างล่าง เธอคิดไม่ออกว่าลงไปเดินแล้วจะหาอะไรพบได้จริง? แต่เธอเชื่อมั่นในฟางเจิ้งจึงลงไปอย่างเชื่อฟัง
ระหว่างที่หลี่เฟิ่งเซียนลงมายังโลกมนุษย์ ก็เดินหน้าไปตลอด และตามหาสิ่งที่ขาดหาย
การเดินครั้งนี้คือพันปี! เธอเดินไปทั่วโลกในหนึ่งพันปี แต่กลับหาสิ่งที่ต้องการไม่พบ จนกระทั่งวันหนึ่งกลับมาที่เมืองผานหลงอีกครั้ง
เมืองผานหลงในตอนนี้ทรุดโทรมลงแล้ว พังพินาศจากไฟสงคราม หลี่เฟิ่งเซียนมองเมืองที่คุ้นเคยในวันวาน พอเห็นสภาพแบบนี้ก็ถอนหายใจ สุดท้ายจึงเดินเข้าไป
ขณะยืนอยู่หน้าประตูตระกูลหลี่ หลี่เฟิ่งเซียนพบว่าตระกูลหลี่ถูกทำลายไปแล้ว! ตระกูลใหญ่ถูกทำลายไปในช่วงเวลาหนึ่ง เหลือเพียงศาลบรรพบุรุษเท่านั้น…
หลี่เฟิ่งเซียนเดินเข้าไปในศาลบรรพบุรุษที่เหมือนจะถล่มลงมา ตอนนี้เอง ป้ายหลุมศพหนึ่งดึงดูดความสนใจ เธอจึงหยิบขึ้นมา ปัดฝุ่นมองแล้วก็พลันอึ้งไป!
นั่นเป็นป้ายหลุมศพของหลี่เฟิ่งเซียนเอง!
หลี่เฟิ่งเซียนเห็นดังนั้น นัยน์ตาฉายแววเข้าใจ ยิ้มเล็กน้อยแล้ววางป้ายหลุมศพไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวจากไป แสงเรืองรองสายหนึ่งพุ่งลงมา ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้ว บินขึ้นฟ้าไปโดยพลัน
“อมิตาพุทธ โยมหาสิ่งที่ต้องการเจอแล้วหรือ?” ฟางเจิ้งปรากฏตัวอีกครั้ง
หลี่เฟิ่งเซียนพยักหน้าเล็กน้อย “หาเจอแล้ว ข้าเสียครอบครัวไป…ความถูกผิดในตอนนั้นไม่สำคัญแล้ว บ้านในตอนนั้นก็ไม่สำคัญแล้ว ข้าแค่อยากมีครอบครัวของตัวเองก็เท่านั้น”
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ ประนมสองมือเอ่ย “อมิตาพุทธ!”
โครม!
หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกแค่ว่ารอบๆ มืดมิด เธอร้องด้วยความตกใจ เมื่อพลันลืมตาขึ้นก็ตะลึงงัน เธออยู่ในวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง เณรในชุดคลุมขาวยืนอยู่ตรงหน้า…หลวงจีนนี่ไม่ใช่ไต้ซือที่ชี้แนะแนวทางให้เธอหรอกเหรอ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? หรือว่าตนจะตายไปแล้ว?
ชั่วขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนสงสัย ความทรงจำเธอกลับมา คราวนี้ถึงค่อยเข้าใจแจ่มแจ้งว่าทุกอย่างเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน จึงมองฟางเจิ้งราวกับเห็นผี “นะ…นี่ท่านเป็นคนทำเหรอ?”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “โยม ใครทำไม่สำคัญ ที่สำคัญคือโยมหาอะไรพบ”
หลี่เฟิ่งเซียนอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นเงียบงัน
ผ่านไปพักหนึ่ง หลี่เฟิ่งเซียนถึงถาม “ไต้ซือ ทะ…ท่านรู้ประสบการณ์จริงของฉันได้ยังไง?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาไม่รู้ เป็นใจโยมที่สร้างความฝันของโยมเอง ไม่ใช่อาตมา” ความจริงแล้วตอนที่ฟางเจิ้งเหนี่ยวนำหลี่เฟิ่งเซียนเข้าสู่โลกความฝัน เขาถึงพบว่าในใจหลี่เฟิ่งเซียนมีความคิดหนึ่งที่เด่นชัดมาก ดังนั้นเขาจึงใช้ความคิดนี้เป็นหัวใจหลักทำให้จิตใต้สำนึกของหลี่เฟิ่งเซียนสร้างฝันขึ้นมาเอง! ส่วนฟางเจิ้งแค่รั้งเธอในช่วงเวลาสำคัญ และชี้นำแนวทางให้เท่านั้น
หลี่เฟิ่งเซียนถอนหายใจบอก “ขอโทษค่ะไต้ซือ ฉันเพิ่งหลอกท่านไปอีกแล้ว”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร โยมคิดให้ดีนะว่าหาของที่ขาดหายไปพบแล้ว?”
……………………