บัญชามังกรเดือด - บทที่ 988 แบกรับด้วยกัน
บัญชามังกรเดือด บทที่ 988 แบกรับด้วยกัน
ฉินเทียนยืดตัวตรงทันทีมองขนตาที่กระพือขยับเล็กน้อยของเธออย่างตื่นเต้น
ขนตายาวงอนหนาราวกับปีกผีเสื้อที่กำลังกางออกแล้วค่อยๆขยับขึ้นมา
หนึ่งที สองที สามที
ในที่สุดซูซูก็ลืมตาอย่างสดใส!
เธอมองฉินเทียนและหยางยู่หลันที่เฝ้าอยู่ข้างกายตัวเองแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “ฉินเทียน แม่คะ ทำไมถึงจ้องมองหนูอย่างนั้นล่ะคะ?”
“หนูมีอะไรแปลกไปรึเปล่า? หรือว่าหน้าสกปรก?”
หยางยู่หลันกุมมือซูซูแน่แล้วถามซ้ำๆว่า “ลูกบอกแม่มาว่าตอนนี้รู้สึกไม่สบายตรงไหนอยู่รึเปล่า?”
“อย่ากลัวว่าพวกเราจะเป็นห่วง พูดมาตามตรง ถ้าสบายดีก็บอกสบายดี ไม่สบายก็บอกไม่สบาย”
ฉินเทียนพยักหน้าตาม “ใช่ แม้ว่าผมจะแน่ใจว่าเห็ดหลินจือแดงและโสมแดงจะสามารถรักษาคุณได้อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้ถูกตัดออก ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น”
ซูซูส่ายหน้าเบาๆแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หนูรู้สึกว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เป็นพลังที่ไหลมาไม่สิ้นสุด จนทำให้หนูรู้สึกกระทั่งอยากจะวิ่งอย่างใจร้อน!”
พูดจบเธอก็ลองลุกขึ้นนั่ง
หยางยู่หลันรีบเข้าไปพยุงแต่ก็ช้าไปครึ่งก้าว ซูซูลุกขึ้นนั่งอย่างคล่องแคล่ว
ฉินเทียนเข้าไปทันที จับข้อมือเรียวนุ่มของเธอ แล้วจับชีพจรอย่างละเอียด
ชีพจรเต้นพลุ่งพล่าน สภาพของชีพจรสงบและราบรื่น นี่หมายถึงหายสนิทแล้ว!
ฉินเทียนมีความสุขมากๆ “ซูซู เชื่อผม คุณหายดีแล้ว!”
“ตั้งแต่วันนี้ไป เด็กเหลือขอคนนี้ก็จะทรมานคุณอีกไม่ได้แล้ว!”
“คุณพูดแบบนี้อีกแล้ว” ซูซูไม่คล้อยตาม ยื่นมือไปบิดฉินเทียนหนึ่งที “ไม่อนุญาตให้เรียกลูกฉันแบบนั้นอีก เธอคือนางฟ้าตัวน้อยของฉัน! เจ้าหญิงตัวน้อยผู้น่ารัก!”
“ได้ๆๆ ไม่พูด ไม่พูด” ฉินเทียนคล้อยตามอย่างเชื่อฟัง ในใจยังคงตัดสินใจอย่างลับๆว่า ไว้ค่อยคุยกันเรื่องของเจ้าหญิงตัวน้อยทีหลัง
เมื่อเห็นว่าในที่สุดลูกสาวของเธอหายดีแล้ว หยางยู่หลันก็มีความสุขอย่างเปี่ยมล้น ใบหน้าเธอยิ้มบานราวกับดอกไม้ “เยี่ยมไปเลย อกสั่นขวัญแขวนกันอยู่ตั้งนานในที่สุดลูกก็หายดีเป็นปกติแล้ว”
“ใช่ค่ะ พี่ซูซู ช่วงนี้แม่แกกินไม่ได้นอนไม่หลับเลย เพราะกลัวว่าพี่จะไม่สบาย ตอนนี้พี่หายดีแล้ว ในที่สุดแม่ก็จะได้นอนหลับได้อย่างสบายใจสักที”
ทันทีที่หม่าเซวี่ยพูดจบ หยางยู่หลันดีดหน้าผากเธออย่างเอ็นดู “มีแต่เราที่พูดมากเสียจริง ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกนะ!”
หลังจากถูกดีดหน้าผาก หม่าเซวี่ยก็รีบกุมหัวร้องขอความเมตตา “พอแล้วๆ โอเค เสี่ยวเซวี่ยไม่กล้าพูดมากแล้ว พี่ซูซูช่วยฉันด้วย!”
“55” ซูซูรู้สึกขำกับการกระทำแบบเด็กๆของหม่าเซวี่ย เธอยื่นมือดึงเธอมากอดแล้วมองไปที่แม่ของตน “แม่คะ หนูทำให้แม่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”
“พูดอะไรโง่ๆ ลูกเป็นลูกสาวแม่ แม่ไม่ห่วงเราแล้วใครมีสิทธิ์ห่วงเราล่ะ!” หยางยู่หลันยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม กอดซูซูและหม่าเซวี่ยไว้ในอ้อมแขน “ลูกทั้งสองต่างเป็นลูกของแม่ มีเพียงพวกลูกใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขเท่านั้น แม่ถึงจะใช้ชีวิตยามแก่อย่างสงบสุขได้”
“สัญญากับแม่ว่าจะจัดการชีวิตตัวเองให้ดี ให้แม่มีความสุขไปพร้อมกับลูก”
“ค่ะแม่!” ซูซูและหม่าเซวี่ยพยักหน้าเป็นสัญญาลับ
ภาพฉากที่รักใคร่กลมเกลียวกันทำให้อารมณ์ของฉินเทียนสดใสขึ้นตามไปด้วย
เขาโบกมืออย่างองอาจ “คืนนี้ผมจะจัดงานเลี้ยงแขกอย่างยิ่งใหญ่เพื่อฉลองที่ภรรยาผมหายดีแล้ว!”
ซูซูกลอกตาใส่เขา “ไม่ต้องเว่อร์ขนาดนั้นได้ไหม ฉันแค่ท้องแล้วรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
แม้ว่าจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจซูซูก็รู้ดีว่าตัวเองโชคดีที่รอดชีวิตมาได้
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเห็ดหลินจือแดงอายุพันปีและโสมอะไรนั่นจากตระกูลฉิน เกรงว่าเธอคงโดนเด็กในท้องสูบพลังชีวิตไปหมดแล้ว
แม้ว่าเธอจะไม่กลัวตาย แต่ว่าใครบ้างล่ะที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ เลี้ยงเลือดเนื้อเชื้อไขที่คลอดมาจากร่างกายตนด้วยมือตัวเองให้โตขึ้น?
ดังนั้นเธอจึงเพียงกลอกตาใส่ฉินเทียน แต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้เขาจัดงานเลี้ยงใหญ่
คืนนั้นงานเลี้ยงอันโอ่อ่าใหญ่โตถูกจัดขึ้นในพื้นที่ของอุทยานมังกรซึ่งกินพื้นที่หลายร้อยหมู่ มีแขกมาร่วมงานไม่ขาดสาย
ผู้ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำสามารถพาใครก็ได้มาอีกหนึ่งคน คนที่มาไม่ใช่มหาเศรษฐีของท้องถิ่นก็เป็นผู้มีอำนาจในตำแหน่งระดับสูงๆ
มีอานกั๋วแห่งหนานเจียง หลินหลงผู้บังคับบัญชาเป่ยเจียง จ้าวเทียนเผิงแห่งเมืองหยุนชวน รวมทั้งจี้ซิงและหลิวชิงเหยาแห่งเมืองซื่อไห่
แม้แต่ซีจุนฉินชวนก็ยังรีบพาลูกน้องมังกรซ่อนรูปมาหลายคนเพื่อขอเหล้าดื่ม
ฉวนซานและไป๋หลิงที่ยังคงไม่ไปไหนก็พาไก่ตัวผู้และลิงขนทองตัวนั้นเดินไปมาท่ามกลางฝูงชน มักจะทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาเสมอๆ
งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้น เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งก็ค่อยร่อนลงสู่อุทยานมังกร
ถงจิ่งนำหน้าลงมาก่อน ข้างหลังตามด้วยคนรับใช้ที่ถือของขวัญหลายคน
ฉินเทียนรีบเข้าไป สายตากำลังมองหาท่ามกลางฝูงชน
ถงจิ่งคำนับด้วยยิ้ม “คุณชายใหญ่กำลังมองหาใครอยู่ใช่ไหมครับ?”
ฉินเทียนพยักหน้าเล็กน้อย เขารู้ว่าถงจิ่งรู้ว่าเขากำลังมองหาฉินฉี
เมื่อตอนกลางวัน เขาส่งข้อความถึงถงจิ่ง บอกเขาเรื่องที่ซูซูหายเป็นปกติแล้ว จากนั้นจึงเชิญถงจิ่งมางานเลี้ยง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดถึงฉินฉีแม้แต่คำเดียว แต่เขาเคยคิดว่าเขาจะมาพร้อมกับถงจิ่ง
“55 พวกนายสองคนพ่อลูกมีนิสัยชอบเล่นแง่เหมือนกันจริงๆ”
“คนหนึ่งไม่พูด อีกคนก็แสร้งทำเป็นไม่รู้”
“เขาอยู่ที่บ้านตระกูลฉินไม่ยอมมาเยี่ยม แล้วขอให้ฉันมาส่งของขวัญแสดงความยินดีเหล่านี้ ให้คุณหญิงใช้ในการบำรุงร่างกายต่อไป”
ถงจิ่งพูดพลางส่งสัญญาณให้คนรับใช้ที่อยู่ข้างหลังเปิดกล่องของขวัญที่ถืออยู่ ร้องเสียงดังว่า “ดอกบัวหิมะอายุหนึ่งร้อยปี 10 ดอก!”
“เห็ดหลินจือร้อยปีหนึ่งกล่อง!”
“กระดูกกรงเล็บเสือสิบชั่ง!”
…
ของขวัญแต่ละอย่างทำเอาทุกคนประหลาดใจไม่น้อย
คนที่มีเงินมีความสามารถนั้น ไม่ต้องพูดก็เป็นที่รู้กัน
ฉินเทียนพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร ส่งสัญญาณให้เหลิ่งเฟิงมารับของขวัญ จากนั้นก็จัดแจงที่นั่งให้ถงจิ่ง
ที่จริงแล้วถงจิ่งไม่ได้พูดความจริง สาเหตุที่ฉินฉีไม่มาไม่ใช่เพราะฉินเทียนไม่ได้เชิญ แต่เป็นเพราะเขากำลังทำตามสัญญาก่อนหน้านี้
ว่าจะคุกเข่าเป็นเวลาเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดวันในห้องโถงของบ้านตระกูลฉิน
ในตอนนี้เอง ในห้องโถงของบ้านตระกูลฉินเงียบมากเป็นพิเศษ
ฉินฉีคุกเข่าทั้งสองข้าง แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มโล่งใจ
เทพเจ้าคุ้มครอง ในที่สุดฉินเทียนลูกชายเขาก็ไม่ได้ล้มเหลวซ้ำรอยเหมือนเขาในตอนนั้น ไม่ได้เจ็บปวดจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักไป
ถ้าในตอนนั้นเขามีความกล้าหาญแบบนี้เหมือนฉินเทียน หลานจือกับเขาก็คงจะไร้วาสนาที่จะได้เจอกันอีก
“ฮือ–”
ประตูห้องโถงถูกคนผลักเปิดออกจากด้านนอก ร่างที่สั่นเทาก็เดินเข้ามา
คนที่เข้ามาคือต่งซวงจุนนายหญิงใหญ่ของตระกูลฉิน
จังหวะเดินของเธอกะเผลกเล็กน้อย เธอหลับตา ทนมองฉินฉีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่ได้
“ลูกโง่ เจ้าจะลำบากไปทำไม?”
“แม่ครับ เรื่องที่ผมทำไม่สำเร็จในตอนนั้น ผมทำมันสำเร็จแล้ว ทุกอย่างทั้งหมดนี้มันคุ้มค่า”
ต่งซวงจุนส่งเสียงเฮอะอย่างเย็นชา หันหน้ามองออกไปยังนอกห้องโถง “เมฆมืดครึ้ม เกรงว่าในไม่ช้าท้องฟ้าจะเปลี่ยนไป”
“คนแก่อย่างฉัน ไม่รู้ว่าจะรักษาสภาพอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
“ฉีเอ๋อร์ ลูกพร้อมที่จะโจมตีกลับแล้วรึยัง?”
กระดูกสันหลังของฉินฉีนั้นตรงราวกับหลาว เสียงเขาดังทรงพลัง “เพื่อวันนั้นที่จะมาถึง ผมเตรียมตัวมายี่สิบปีแล้ว!”
“ดี! สมแล้วลูกชายแห่งตระกูลฉินของฉัน!” ต่งซวงจุนเช็ดขอบตาทันที “เมื่อวันนั้นมาถึง แม่จะแบกมันไปกับลูกเอง!”