บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 100 ร่ำสุราตามลำพัง รอคอยหนี้แค้น
“ศิษย์น้องเฟิง เจ้ามีสิ่งใดจะพูดกับเหนียนอวิ๋นเฉียวหรือไม่?” ซูอี้หันมองเฝิงเสี่ยวเฟิง
“ข้า…” เฝิงเสี่ยวเฟิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างเหลือล้น มือทั้งสองกดแน่นลงบนที่วางแขนของรถเข็น
เขาจับจ้องเหนียนอวิ๋นเฉียวซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเกลียดชังและพึงพอใจอย่างไม่อาจบรรยายได้
เนื่องจากขาทั้งสองไม่สามารถใช้การได้ หนทางวิถียุทธ์จึงต้องสิ้นสุดลง สิ่งนี้ทำให้เขาเจ็บปวดมาตลอด ภายในใจมืดหม่นสิ้นหวัง
หากไม่ใช่เพราะต้องดูแลน้องสาว เขาอาจฆ่าตัวตายไปนานแล้ว
ในเวลานี้ ศัตรูที่เกลียดชังที่สุดคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า แล้วเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร? แล้วจะไม่มีความสุขได้อย่างไร?
แต่สุดท้าย
เขากล่าวอย่างขมขื่น “ศิษย์พี่ซูอี้ ที่นี่คือมหานครอวิ๋นเหอ หากท่านฆ่าเขา มันจะนำหายนะร้ายแรงมาสู่ตัวเอง ข้าไม่ต้องการให้ท่านเดือดร้อนเพราะข้า”
หวงเฉียนจวินอดไม่ได้ที่จะอ้าปากคิดเอ่ยคำ
แต่ทันใดเหนียนอวิ๋นเฉียวก็ระเบิดหัวเราะ “ฮ่า ๆ เจ้าเฝิงเสี่ยวเฟิงก็ฉลาดเหมือนกันนี่ ทว่า… เรื่องคราวนี้ไม่มีวันถูกเพิกเฉยเป็นแน่!”
เขาเงยหน้าขึ้นจับจ้องซูอี้ด้วยสายตามุ่งร้ายพลางตะโกน “ฆ่าข้าในภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์เลยสิ! เข้ามา! ฆ่าข้าเลย!”
ถ้อยคำยั่วยุถูกโพล่งออกต่อเนื่อง
ฟุ่บ!
ดาบยาวปาดลำคอโดยตรง เลือดสาดกระเซ็นบนผนังขาวราวกับหิมะ ย้อมจนกลายเป็นสีแดงก่ำดูพร่างพราว
ดวงตาเหนียนอวิ๋นเฉียวเบิกกว้าง คล้ายกับไม่อยากเชื่อว่าซูอี้จะกล้าลงมือจริง…
ทันใดนั้น คอของเขาหักพับ ก่อนที่ร่างกายจะล้มลงพื้น
“เจ้า…เจ้ากล้าฆ่าเขา…”
เสียงเฉินจินหลงขาดหายเป็นระยะ
คนอื่นในโถงล้วนรับชมด้วยความตกใจ
เหนียนอวิ๋นเฉียว บุตรชายของผู้อาวุโสตระกูลเหนียนแห่งมหานครอวิ๋นเหอ เพิ่งเสียชีวิตเช่นนี้หรือ?
ควรทราบดีว่า ที่นี่คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์!
ซูอี้กลับบังอาจฆ่าคนด้วยคมดาบ!!
“เจ้าก็เห็น เขาเป็นคนร้องขอความตายเอง” ซูอี้กล่าวตอบอย่างใจเย็น
ทุกคนต่างตะลึงงัน
เฝิงเสี่ยวเฟิงทั้งกังวลและยังประทับใจ ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า ซูอี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อล้างแค้นให้ตัวเอง?
“ศิษย์น้องเฝิง เจ้าจะทำอย่างไรกับนาง?” ซูอี้หันมองอวี๋เชี่ยน
เมื่อถูกสายตาซูอี้จับจ้อง อวี๋เชี่ยนรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าผ่าลงกลางตัว ใบหน้างามซีดเผือด นางทรุดตัวคุกเข่าลงพื้นเสียงดังพลางกล่าวด้วยความตกใจ “ศ…ศิษย์พี่ซูอี้ ข้าถูกขู่บังคับ ย้อนกลับไปก่อนหน้า อวิ๋นเฉียนกล่าวว่าหากข้าไม่เชื่อฟัง เขาจะฆ่าข้าทิ้ง ข้า…ข้าไม่มีทางเลือกอื่น!”
สายตาซูอี้ที่จับจ้องยังคงไม่แยแสดังเคย
ไหนเลยเขาจะไม่รู้ ว่าอวี๋เชี่ยนทรยศเฝิงเสี่ยวเฟิงโดยไม่ลังเลเพื่อปีนสะพานไปหาเหนียนอวิ๋นเฉียว?
แต่ตอนนี้นางกลับอธิบายว่าตนเองถูกขู่บังคับ ช่างไร้สาระจริง ๆ
รับชมภาพเบื้องหน้า ท่าทีเฝิงเสี่ยวเฟิงดูแปรเปลี่ยน ฟันกรามขบกันแน่นครู่หนึ่งก่อนเอ่ยคำ “ศิษย์พี่ซูอี้ ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง อีกทั้งข้าไม่สนใจหญิงเลวที่คอยประจบผู้มีอำนาจเช่นนี้!”
“ใช่ใช่ใช่ ข้าเป็นผู้หญิงเลว ได้โปรด ปล่อยข้าไปเถอะ” อวี๋เชี่ยนร่ำไห้ร้องขอชีวิต
“ไปให้พ้นซะ” ซูอี้ยกเท้าขึ้นเตะนางออกไป
เปรี้ยง!
ร่างอวี๋เชี่ยนหมุนตลบ แม้ความเจ็บปวดจะรุนแรงจนทำให้นางอ้าปากค้าง แต่ใบหน้ากลับดูมีความสุขยิ่ง
ครั้งสังเกตเห็นซูอี้กำลังหันกลับมา เหยียนเฉิงหรงที่คุกเข่าบนพื้นพลันตัวแข็งค้าง เขาตบหน้าตัวเองอย่างต่อเนื่องพลางคร่ำครวญ “ศ…ศิษย์พี่ซูอี้ ข้าทำผิดไป ข้าผิดไปแล้ว!”
ตัวตนของเหนียนอวิ๋นเฉียวเหนือกว่าเขามาก แต่กลับถูกฆ่าตายในดาบเดียว แล้วเขาจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร?
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากลับมามหานครอวิ๋นเหอในครั้งนี้ด้วยเหตุอันใด?” ซูอี้ถาม
เหยียนเฉิงหรงส่ายศีรษะด้วยความสับสน
ฉัวะ!
คมดาบเย็นเยียบวาบผ่าน ลำคอเหยียนเฉิงหรงถูกตัดออกโดยตรง ร่างของเขาโอนเอนและล้มตึง
“ล้างแค้น!” สองถ้อยคำถูกกล่าวออกจากปากซูอี้
ในชั่วพริบตา เฉินจินหลงและคนอื่นราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง วิญญาณในกายแทบหนีหาย
ล้างแค้น!
เพียงสองคำนี้ ทำให้พวกเขาหวนนึกไปถึงความคับข้องใจที่เคยมีต่อซูอี้ครั้งเมื่ออยู่ในสำนักดาบชิงเหอ
“แต่…แต่ข้าไม่มีความแค้นกับเจ้า!”
เฉินจินหลงตะโกนดัง เขาไม่ได้สนใจเรื่องรักษาหน้าอีกต่อไป เพียงแค่ต้องการมีชีวิตอยู่
“ดังนั้นเจ้าควรดีใจที่ยังได้คุกเข่าอยู่ แทนที่จะตาย” ซูอี้เหลือบมองเขา
ฉับพลันเฉินจินหลงรู้สึกราวกับเพิ่งถูกช่วยชีวิต ก่อนจะเริ่มผ่อนคลายลง
แต่ในทันใดนั้น ความอัปยศก่อนหน้าผุดขึ้นในใจ ดาบหักครึ่ง แล้วยังถูกกดให้คุกเข่าลงพื้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจลืมเลือนได้!
“ศิษย์น้องซูอี้ ครั้งที่อยู่ในสำนัก เราไม่เคยรังแกเจ้าเลย”
“ใช่ แม้ว่าเราจะดูแคลนเจ้า แต่เราก็ไม่เคยลงไม้ลงมือ”
“ศิษย์พี่ซูอี้…”
ต่างคนต่างอ้อนวอนขอชีวิต
ไม่มีใครอยากตาย ทุกคนล้วนหวาดเกรงว่าหากซูอี้โกรธเคือง พวกเขาทั้งหมดคงถูกสังหารสิ้น
ทันใดนั้น ซูอี้ถามเย็นชา “พวกเจ้าสงสัยหรือไม่ว่า เหตุใดคนของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ถึงยังไม่มาอีก?”
ท่าทีเฉินจินหลงแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่าไม่มีใครกล้าตอบ
ซูอี้เก็บดาบเข้าฝักและกลับไปนั่งที่ของตน รินสุราเต็มจอกและเอ่ยถ้อยคำกันเอง “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์จะทำอย่างไร เราควรรอดูกันดีไหม?”
“นี่…”
ทุกคนลังเล
หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากออกจากโถงนองเลือดเสียตอนนี้
แต่ก็ไม่กล้าทำ
“สิ่งที่พวกเจ้ากล่าวเมื่อครู่ก็ถูก เราเคยอยู่ร่วมสำนักเดียวกัน เรื่องของวันนี้แทบไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าเลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเจ้าก็มีส่วนร่วมแล้ว และพวกเจ้ายังดูไม่ยินยอมอีกต่างหาก คาดว่าในอนาคตพวกเจ้าคงก่อเรื่องรำคาญใจให้ข้าเป็นแน่”
ซูอี้เงยหน้าขึ้นกระดกจอกสุราและกล่าวถ้อยคำกันเอง “แม้ว่าข้าจะไม่กลัวการล้างแค้นของตระกูลพวกเจ้าในอนาคต แต่ข้าก็ยังไม่อยากปล่อยตัวที่อาจเป็นปัญหาเช่นพวกเจ้าไป เอาไว้รอดูเหตุการณ์ต่อไปก่อน แล้วข้าค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะจัดการกับพวกเจ้าต่ออย่างไร”
“รอดูงั้นหรือ?”
ใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ซูอี้ วันนี้เจ้าก่อเรื่องใหญ่โต ต่อให้เจ้าไม่รั้งรออยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าตระกูลเหนียนและตระกูลเหยียนจะปล่อยเจ้าไปรึ? ไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ พวกเขาจะไม่อยู่เฉยเป็นแน่”
นี่ไม่ใช่การขู่เข็ญ แต่เป็นการเตือนความทรงจำ
ซูอี้กล่าวถ้อยคำไม่พอใจ “บอกให้รอก็รอ”
เขาเทสุราลงจอกตัวเองอีกครั้ง ท่าทีเมินเฉยไม่สนใจกองเลือดบนพื้น ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเลยว่าจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์!
ท่าทีเช่นนั้น ทำให้เฉินจินหลงและคนอื่นเกิดความรู้สึกมากมายในหัวใจอย่างไม่อาจอธิบายได้
หวาดกลัว? แค้นเคือง? เกลียดชัง? ตกตะลึง? สับสน?
เหมือนจะมีทั้งหมดนั่น!!
…
ชั้นหนึ่งของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ภายในโถงของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นผู้เป็นเถ้าแก่เนี้ย
“ป้ายหยกม่วง?”
ชายชราหนวดเคราครึ้มในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มดูสง่างามขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยคำ “เท่าที่ข้ารู้ มีคนเพียงสองประเภทในตระกูลเซียวที่จะมีคุณสมบัติครอบครองป้ายหยกล้ำค่านี้”
“คนหนึ่งเป็นทายาทสายตรงที่สำคัญที่สุด ทั้งต้องมีพรสวรรค์หาใครเปรียบเทียบได้ไม่ แล้วยังต้องได้การยอมรับจากผู้อาวุโสมากกว่าครึ่ง เพื่อที่จะเพลิดเพลินกับอำนาจป้ายหยกนี้”
“อีกคนคือยอดยุทธ์!”
“ในตระกูลเซียวทั้งหมด มีปรมาจารย์สองคนผู้เป็นทายาทสายตรง หนึ่งคือผู้อาวุโสเซียวเทียนเชวี่ย ระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์ ‘ขอบเขตหลอมกำเนิด’ ขั้นสูงสุด อีกคนหนึ่งคือเซียวป๋ออวิ๋นผู้นำตระกูลเซียวคนปัจจุบัน”
“สองสายของตระกูลเซียว ล้วนแล้วมีปรมาจารย์คอยดูแล แต่ในแง่การบ่มเพาะ พวกเขาทั้งหมดยังด้อยกว่าผู้อาวุโสเซียวมาก”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาชายชราในชุดคลุมยาวหรี่ลง “หากคาดคะเนตามเหตุผล เด็กหนุ่มชุดเขียวคนนั้นน่าจะเป็นหนึ่งในทายาทสายตรงผู้มีฝีมือแพรวพราวของตระกูลเซียว!”
“ข้าเอาก็คาดเดาเช่นนั้น จึงไม่คิดกล้าดูถูก”
ด้านหนึ่ง ถัดจากธูปหอมในกระถางม้วนงอ ร่างงามสง่าของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นเอนกายลงเก้าอี้ยาวนุ่มนวล
นัยน์ตาคู่งามฉายแววครุ่นคิด “ก็แค่… ข้าคิดไม่ตกถึงบางประการ อำนาจตระกูลเซียวแผ่ขยายใน ‘แคว้นไป๋’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลห่างจากนครหลวงอวี้จิง แล้วเหตุใดลูกหลานของตระกูลจึงมาปรากฏตัวในมหานครอวิ๋นเหอที่ห่างออกมาหลายพันลี้?”
ชายชราในชุดคลุมเผยยิ้มเล็กน้อยและกล่าวตอบเฉยเมย “หากนายหญิงอยากรู้ พาข้าไปพบชายหนุ่มผู้นั้นสิ เมื่อไม่กี่ปีก่อนข้าได้พบผู้มีอำนาจบางคนของตระกูลเซียว จึงสามารถทดสอบเขาได้ด้วยการถามเพียงไม่กี่คำ”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นส่ายศีรษะกล่าวตอบ “ลืมซะ ข้าจำป้ายหยกเท่านั้น ไม่ใช่คน ไม่ว่าใครจะมาพร้อมป้ายหยกม่วงนี้ ข้าจะปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงผู้สูงศักดิ์”
ชายชราในชุดคลุมพยักหน้ากล่าว “นายหญิงตัดสินใจได้ปลอดภัยและสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว”
ริมฝีปากบางของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นยกยิ้มกล่าว “อาวุโสหลีกล่าวชมเกินไป”
ขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบดังขึ้น “นายท่าน เกิดเรื่องขึ้นที่โถงธารคีรี!”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาวและพูดขึ้น “เข้ามาคุยด้านใน”
ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมเดินเข้ามา เขาเป็นผู้ดูแลที่คอยรับใช้อยู่ด้านนอกโถงธารคีรี
“นายท่าน ตอนนี้…”
ผู้ดูแลวัยกลางคนไม่รีรอ เขาบอกกล่าวเหตุการณ์ที่ได้ยินจากโถงธารคีรีอย่างรวดเร็ว
“ฆ่าฟัน?”
ดวงตาคู่งามของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นหดลีบลง เกิดหมอกควันมัวหมองระหว่างคิ้วโก่งทั้งสอง
“ทั้งที่รู้ว่านี่คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ แต่ยังบังอาจมาฆ่าฟันกัน ต่อให้เจ้าหนุ่มนั่นจะเป็นคนตระกูลเซียว ก็ยโสโอหังเกินไปแล้ว!”
ใบหน้าชายชราในชุดคลุมหม่นหมอง
“แม้จะเป็นความยโสโอหังอย่างแท้จริง แต่แล้วพวกเราจะทำอะไรได้?” นายหญิงชุ่ยอวิ๋นถอนหายใจ
ทันใดนั้น ความมุ่งมั่นปรากฏบนใบหน้า “ไปเถอะ ตรวจสอบสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ”
“ก็ได้ ข้าเองก็อยากเจอชายหนุ่มผู้มีที่มาแปลกประหลาดผู้นี้”
ดวงตาชายชราส่องประกายเย็นเยียบ
“อาวุโสหลี โปรดสัญญากับข้าก่อนว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่อย่างนั้นอย่ากล่าวโทษที่ข้าหันหน้าหนี” นายหญิงชุ่ยอวิ๋นกล่าวเตือนอย่างเย็นชา
รูม่านตาอาวุโสหลีหดลีบลงเล็กน้อย แต่ยังคงท่าทีนิ่งเฉย
ในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงด้านนอกโถงธารคีรีด้วยความเร่งรีบ
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึก เมื่อเปิดประตูเข้าไป กลิ่นคาวเลือดพุ่งปะทะจมูก
ทันใดนั้นเปลือกตาของนางสั่นไหวรุนแรง
แลเห็นสองศพนอนอยู่บนพื้น คนหนึ่งคือเหนียนอวิ๋นเฉียว อีกคนคือเหยียนเฉิงหรง ทั้งสองถูกจัดการด้วยคมดาบ ขณะที่เลือดบนศพเริ่มแข็งตัว
ไม่ไกลกันนัก ร่างชายหนุ่มคุกเข่าบนพื้น ซึ่งเขาก็คือเฉินจินหลง บุตรชายของเฉินต้ากงผู้นำแห่งกลุ่มลำน้ำนิรันดร์!
เพียงฉากนี้ก็ทำให้หัวใจของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นดิ่งฮวบ
อย่างไรก็ตาม นางเคยผ่านพ้นเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว สีหน้าจึงยังคงไม่แปรเปลี่ยน ดวงตาหันจับจ้องซูอี้ที่กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งบนสุด
แลเห็นชายหนุ่มยังคงท่าทีเมินเฉย ดื่มสุราในจอกเพียงลำพัง ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นเคยติดต่อกับผู้มีอำนาจมากหน้าหลายตามาโดยตลอด มองเพียงแวบเดียวก็ล่วงรู้ได้ว่า ท่าทีสงบนิ่งของชายหนุ่มนั้นไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ
ความยโสโอหังนี้มาจากไหน?
ย่อมมาจากความมั่นใจอันเปี่ยมล้น!