บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1001: ทำดีกว่าพูด
ตอนที่ 1001: ทำดีกว่าพูด
…………………………………………………..
ตอนที่ 1001: ทำดีกว่าพูด
โมโหตาย?
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา
ในฐานะที่เป็นเหล่าผดุงลัทธิแห่งแขนงเมฆาลัทธิทางช้างเผือก อวิ๋นฉีจึงมีระดับการฝึกฝนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นต้น ต่อให้เป็นคนอารมณ์รุนแรงยิ่งกว่านี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะโมโหตาย
สาเหตุการตายของเขานั้นคาดเดาได้ไม่ยาก เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส กอปรกับพลังในตัวถูกทำลาย จึงทำให้บอบช้ำหนักยิ่งขึ้น
จนกระทั่ง ‘มุกวิญญาณสีดำ’ ที่เขามองว่าเป็นตัวช่วยสุดท้ายถูกแย่งไป จึงทำให้เขาถึงกับสายหลุด สุดท้ายก็ตายคาที่เพราะความโกรธแค้น
เห็นซูอี้พิจารณาดูมุกวิญญาณสีดำแล้ว ไก่แจ้เฒ่าอดไม่ได้กล่าวขึ้นมา “ของสิ่งนี้คงจะเป็นสมบัติที่ใช้ขอความช่วยเหลือ หากว่าเมื่อสักครู่ถูกคนชั่วนั้นนำไปใช้ จะต้องเรียกคนมาช่วยเป็นโขยงอย่างแน่นอน”
ปัง!
เพิ่งพูดจบ มุกสีดำในมือซูอี้เม็ดนั้นก็ระเบิด ประกายแสงเทวะสีดำพุ่งทะลุขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วหายลับไป
ไก่แจ้เฒ่าถึงกับตะลึง “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เจ้าเสียสติไปแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ก่อนหน้านี้อวิ๋นฉีเคยบอกว่า ขอเพียงเขาตาย ผู้อาวุโสในลัทธิทางช้างเผือกก็จะรับรู้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บดขยี้มุกวิญญาณเม็ดนี้แล้ว ดูสิว่าจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด”
ไก่แจ้เฒ่าครุ่นคิดสักครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างไม่พอใจ “ในเมื่อเจ้าต้องการจะชักงูออกจากถ้ำ เหตุใดต้องย้อนกลับมาแย่งมุกวิญญาณเม็ดนี้ด้วย ไม่เห็นเกิดประโยชน์เลย”
ซูอี้ตอบด้วยความจนปัญญา “ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าเวลาสุดท้ายแล้ว สมบัติที่คนผู้นี้นำออกมาจะเป็นสมบัติที่ใช้สำหรับขอความช่วยเหลือ”
เขารู้สึกผิดหวังจริง ๆ เดิมทีเข้าใจว่าสมบัติล้ำค่าที่อวิ๋นฉีนำออกมาใช้ในวาระสุดท้ายจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ใครกันจะคิดว่าเป็นของไร้ประโยชน์เช่นนี้
ไก่แจ้เฒ่าหัวเราะคิก ๆ ขึ้นมา “แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้าย อย่างไรเสียก็ถือได้ว่าทำให้คนชั่วนั่นโมโหตายไปแล้ว”
เขาหัวเราะชอบใจระคนสมน้ำหน้า
ทว่า เมื่อออกจากตำหนักที่อยู่ด้านข้าง และมาถึงตำหนักใหญ่พร้อมกับซูอี้แล้ว รอยยิ้มของไก่แจ้เฒ่าก็แข็งกระด้าง
เขามองเห็นปีกไก่ที่ถูกย่างจนสุก
ไก่แจ้เฒ่าเริ่มด่าคำหยาบคายอีกครั้ง เขาก็วิ่งไปเก็บปีกไก่ขึ้นมาด้วยความโศกเศร้ารันทดใจ ยิ่งดูก็ยิ่งโกรธ ทันใดเขาเดินพลังทำลายปีกไก่จนสลาย
อย่างรวดเร็ว พวกของเย่ลั่วก็เข้ามายังตำหนักใหญ่
เมื่อรู้ว่าผู้ชายชุดสีน้ำเงินที่มาจากลัทธิทางช้างเผือกคนนั้นตายแล้ว ทุก ๆ คนก็ไม่รู้ประหลาดใจแม้แต่น้อย
ทว่า เมื่อรู้ว่าซูอี้บีบมุกวิญญาณขอความช่วยเหลือของผู้ชายในชุดสีน้ำเงินจนแตก เพื่อ ‘ล่องูออกจากถ้ำ’ ทุกคนจึงรู้ได้ว่าผู้ที่มาซากโบราณฝังเทวะในครั้งนี้ ไม่ได้มีแต่ผู้ชายชุดสีน้ำเงินซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งของลัทธิทางช้างเผือกเพียงคนเดียวเท่านั้น!
ซูอี้ยกเอาเก้าอี้หวายออกมา จากนั้นเขาก็เอนกายนอ
นบนนั้นอย่างสบายใจ ดื่มสุราไป พูดคุยกับไก่แจ้เฒ่าไป
จากนั้น ซูอี้จึงเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดตอนนั้นไก่แจ้เฒ่าจึงออกจากภูเขาเมืองท้อและเดินทางไปทะเลทุกข์อย่างรีบร้อน
ที่แท้ ผู้ที่เขียนจดหมายลับให้ไก่แจ้เฒ่าในตอนนั้นก็คือฮั่วเหยา!
ฮั่วเหยาอ้างชื่อศิษย์ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเชิญไก่แจ้เฒ่าไปยังทะเลทุกข์ เพื่อยืมกำลังของไก่แจ้เฒ่าค้นหาพิภพยมราชฝังวิถี
ไก่แจ้เฒ่าไม่สงสัยว่ามีเหตุอื่น จึงรีบไปตามที่นัดแนะกันไว้
“ศิษย์สามของเจ้าคนนั้นให้ความเกรงใจและให้ความเคารพต่อข้า ข้าจึงไม่ได้สงสัยอะไร คิดว่าในเมื่อศิษย์ของเจ้ามาขอร้องถึงที่แล้ว ข้าจะไม่ช่วยได้อย่างไร?”
“แต่ หลังจากที่ไปถึงพิภพยมราชฝังวิถีแล้ว ข้าพบได้ว่ามีพิรุธ เจ้าเด็กฮั่วเหยาคนนั้นดูเหมือนว่ากำลังเตรียมแผนการใหญ่อะไรบางอย่างอยู่ อีกทั้งไม่ยอมบอกให้ข้ารู้ด้วย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ไก่แจ้เฒ่าก็กล่าวด้วยสีหน้าโกรธจัด “ที่แท้ ตามที่เจ้าเคยบอกเอาไว้ เจ้าเด็กนั่นเป็นคนทรยศหลอกลวงอาจารย์ล้างผลาญบรรพชน!”
ซูอี้โบกมือพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่าพูดถึงอีกเลย เจ้าเล่ามาดีกว่าว่าเพราะเหตุใดจึงมาที่ซากโบราณฝังเทวะแห่งนี้ได้?”
ไก่แจ้เฒ่าสูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าได้ข่าวมาว่าเรือยมราชสีดำลึกล้ำลำนั้นน่าจะมาจากซากโบราณฝังเทวะ ด้วยเหตุนี้จึงมาสืบดู เพราะอย่างไรเสีย เจ้าก็รู้ว่าสาเหตุที่ตาเฒ่าชุยหลงเซี่ยงหายตัวไปอย่างประหลาด มันเกี่ยวข้องกับเรือยมราชสีดำลำนั้น ในเมื่อได้ข่าวมาแล้ว ข้าก็ต้องไปสืบดู”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็กล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง “แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดอุปสรรค เพิ่งมาถึงภูเขาหมื่นกระแส ข้าก็เจอกับดักของคนชั่วนั้น จึงถูกจับตัว…”
“เรือยมราชสีดำลำนั้นมาจากซากโบราณฝังเทวะเช่นนั้นหรือ? เจ้าไปสืบได้ความมาจากที่ใดกัน?”
ซูอี้ตกใจ
ไก่แจ้เฒ่ากล่าว “ชุยหลงเซี่ยงเป็นคนบอก จิ้งจอกเฒ่าคนนี้ทำการใดรอบคอบ ไร้ช่องโหว่ เขาเคยซื้อบ้านสวนที่ห่างไกลผู้คนในเมืองรัตติกาลนิรันดร์เพื่อทำเป็นที่พักชั่วคราว แม้กระทั่งยามบอกเวลาก็ยังไม่รู้ว่าบ้านสวนนั้นอยู่ที่ใด”
“แน่นอน ในฐานะที่เป็นสหายรักของจิ้งจอกเฒ่า ข้าย่อมรู้เป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้เมื่อมาถึงเมืองรัตติกาลนิรันดร์แล้ว ข้าก็ตรงไปที่บ้านสวนแห่งนั้น จากนั้นก็พบจดหมายที่จิ้งจอกเฒ่าทิ้งเอาไว้ ตามที่เขาเขียนบอกมา เรือยมราชสีดำลำนั้นอาจจะมาจากซากโบราณฝังเทวะ!”
ซูอี้เลิกคิ้ว
ก่อนหน้านี้ เขาเคยเดาว่าผีเฒ่าแบกโลกถูกขังอยู่ใน ‘แดนวัฏสงสาร’ ซึ่งอยู่ในซากโบราณฝังเทวะ
แต่ตอนนี้ แม้กระทั่งเรือยมราชสีดำลำนั้นก็ยังอาจจะมาจากซากโบราณฝังเทวะด้วยเช่นกัน!
“ชักสนุกแล้ว…”
สายตาของซูอี้เป็นประกาย
เขารู้ว่าครั้งนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จะต้องไป ‘แดนวัฏจักร’ แห่งนั้นให้ได้
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละนิด
ซูอี้รออยู่นานก็ยังไม่เห็นมีศัตรูมาหา จึงอดกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “หรือว่า ผู้แข็งแกร่งของลัทธิทางช้างเผือกเหล่านั้นรู้สึกได้เช่นกันว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ จึงไม่กล้าโผล่หน้ามา?”
ไก่แจ้เฒ่ากล่าว “หากว่าเป็นเช่นนี้ คนชั่วนั้นไม่ได้โกหก พอเขาตาย สหายของเขาเหล่านั้นจึงระมัดระวังตัวกัน”
“พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าไปดูสักหน่อย”
ซูอี้เก็บเก้าอี้หวายไป และตั้งใจว่าจะเป็นฝ่ายบุกก่อน
พลังต้นกำเนิดของไก่แจ้เฒ่ายังอยู่ในอาการสาหัส หวังถิงเพิ่งพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิ จึงยังคงต้องประคองระดับวิถีให้ตั้งมั่น
ประกอบกับยังมีศัตรูจากลัทธิทางช้างเผือกที่กระจายตัวอยู่ในซากโบราณฝังเทวะแห่งนี้อีก ซูอี้จึงคิดว่าหากพาคนทั้งหมดออกเดินทางไปด้วยจะเป็นการเสียเวลา
“สหายเต๋า ข้าไปกับเจ้า”
ยมบาลสาวรับอาสา ดวงตาของนางยั่วเย้า ยิ้มพริ้มพรายพลางกล่าว “อย่างไรเสียข้าก็เป็นเพียงแค่ร่างจำแลงร่างหนึ่งเท่านั้น ไม่กลัวตายหรอก”
ซูอี้ไม่ได้ปฏิเสธ
ก่อนจะไป เขาหยิบวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์อย่างโคมไฟเก้ามังกรกับดาบเมฆาแดงออกมามอบให้เย่ลั่ว
“หากเจอคนของลัทธิทางช้างเผือกบุกเข้ามา เจ้าจงฉวยโอกาสนั้นฆ่าพวกมันซะ เมื่อบีบยันต์แผ่นนี้แตก ทุกอย่างจะสำเร็จ”
จากนั้นซูอี้ก็หยิบยันต์ลึกลับออกมาอีกแผ่น ยื่นให้เย่ลั่ว “จำไว้ให้ดี โอกาสมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าได้นำมาออกมาใช้พร่ำเพรื่อ”
ภายในยันต์ลับผนึกกลิ่นอายพลังของดาบเก้าคุมขัง
ซูอี้ได้ตรวจสอบมาแล้ว พลังของดาบเก้าคุมขังไม่เพียงแต่สามารถสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์เท่านั้น ยังสามารถระงับกฎวิเวกดาราได้อีกด้วย!
ขอเพียงกฎวิเวกดาราหมดแรงกำลัง หากพูดกันเฉพาะกำลังการต่อสู้ เย่ลั่วสามารถจับเหล่าผดุงลัทธิของลัทธิทางช้างเผือกอย่างอวิ๋นฉีมาตีได้อย่างสบาย!
…
เมื่อเดินออกมาจากตำหนักยมราช ซูอี้ก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าผาซึ่งเป็นจุดสูงสุดของภูเขาหมื่นกระแส
“ในช่วงลำดับถัดจากนี้ หากว่าเจ้าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ข้ารับรองได้ว่า วันข้างหน้าจะร่วมมือกับเจ้า และไปที่ภูมิดาราวอนสวรรค์กับเจ้า”
ซูอี้กล่าว “โอกาสมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จะคว้ามาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเลือกอะไร”
เดิมทีแดนวัฏสงสารเป็นดินแดนที่มีอันตรายมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีเหตุไม่แน่นอนรวมตัวกันอีกเป็นจำนวนมาก เช่นผีเฒ่าแบกโลกที่ถูกขังอยู่ในนั้น เรือยมราชสีดำลึกลับลำนั้น ทูตผดุงลัทธิของตำหนักดาราลัทธิทางช้างเผือก และอีกหลาย ๆ อย่าง…
ทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้รู้ได้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะทำอะไรลงไป เขาจึงได้พูดเตือนสติยมบาลสาว
หญิงสาวคนนี้ดูคล้ายกับอยู่ฝ่ายเดียวกับตนเอง แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่
ซูอี้รู้ดีว่าขอเพียงนางมีโอกาส รับรองได้ว่าจะต้องลงมือจัดการตนเองอย่างไม่ลังเลแน่นอน
สาเหตุนั้นง่ายมาก นั่นก็คือในตัวของเขามีพลังที่สามารถต้านทานกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ และความลับแห่งวัฏสงสาร เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการที่สุด
ใบหน้างดงามของยมบาลสาวฉายแววจนปัญญา จากนั้นนางก็ทอดถอนใจเบา ๆ “ระหว่างทางที่มา ข้าเคยบอกไปแล้วว่า ข้าคิดเรื่องบางอย่างดีแล้ว แต่สหายเต๋ากลับไม่ยอมฟัง”
ซูอี้เลิกคิ้วถาม “หมายความว่าอันใด?”
สีหน้าของยมบาลสาวจริงจังขึ้นมา นางหรี่ตามองดูหน้าของซูอี้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น “ข้าคิดดีแล้ว ไม่ว่าตอนนี้หรือวันข้างหน้า จะไม่มีทางเป็นศัตรูกับสหายเต๋าแน่นอน ก่อนอื่น สหายเต๋าจะต้องให้ความร่วมมือกับข้า สู้กับหอเก้าสวรรค์ด้วยกัน!”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางก็กล่าวขึ้นอีก “เชื่อว่าสหายเต๋าก็คงจะรู้นานแล้วเช่นกันว่า คนที่เจ้าหอของพวกข้าตามหามาเป็นเวลานานคนนั้นก็คือเจ้า ในสถานการณ์เช่นนี้ หากพวกเราร่วมมือกัน ย่อมเป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างที่สุด”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นก้าวเดินไปกลางอากาศมุ่งหน้าตรงไป “ไปกันได้แล้ว”
“ซูเสวียนจวิน เจ้าฟังเข้าใจหรือไม่?”
ยมบาลสาวไล่ตามไปด้วยความไม่พอใจนัก รู้สึกว่าท่าทีของซูอี้ไม่มีความจริงจังเอาเสียเลย ตนเองอุตส่าห์ควักใจออกมาพูดแล้ว ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นแค่เพียงคำว่า “อ้อ”
“ทำดีกว่าพูด”
ซูอี้พูดออกมา “อย่าคิดว่าเจ้าสวยจนเกินเหตุแล้วจะสามารถทำให้จิตใจข้าหวั่นไหว เชื่ออย่างหัวปักหัวปำ”
เมื่อได้ฟังแล้ว นางก็อึ้งไปชั่วขณะ นางกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงลอย ๆ “สวยจนเกินเหตุ?”
ดูเหมือนว่าสี่คำนี้จะมีเวทมนต์พิเศษ ทำให้ความไม่พอใจและไม่ยินดีที่มีอยู่เต็มอกของยมบาลสาวนั้นหายไปอย่างประหลาด
รู้สึกกระชุ่มกระชวยสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมา
จนถึงขั้นไม่อยากจะใส่ใจกับท่าทีไม่จริงจังเมื่อสักครู่ของซูอี้อีก
“คิดไม่ถึงเลยว่าซูเสวียนจวินที่มองดูไร้เหตุผลหยิ่งผยองเอาแต่ใจ จะเป็นคนปากหวานไปได้ คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ”
นางไม่ใช่แม่สาวน้อยที่จะถูกหลอกได้ง่าย ๆ
ทว่าการได้รับคำชมอย่าง ‘สวยจนเกินเหตุ’ จากปากของปรมาจารย์ดาบซูเสวียนจวินเช่นนี้ ไม่ให้ผู้หญิงคนใดดีใจคงเป็นไปได้ยาก
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “สิ่งที่เจ้าไม่รู้ยังมีอีกเยอะ”
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกันก็บินไปยังจุดที่อยู่ข้างในของซากโบราณฝังเทวะแล้ว
อัสนีสีโลหิตกระจัดกระจายอยู่ใต้ท้องฟ้า ซูอี้ใช้ค้อนทุบเซียนเบิกทาง ทุบไปตลอดทางราวกับลำไผ่แตก
แล้วร่างของคนทั้งสองก็หายลับไปอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด การตายของอวิ๋นฉี จะต้องเกี่ยวข้องกับหญิงชายคู่นั้นอย่างแน่นอน”
ในเงารกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากภูเขาหมื่นกระแส พลันมีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้น
คนคนนี้คือผู้ชายร่างผอม สวมชุดยาวสีขาว รัดผมด้วยเกล้าดอกบัวเมฆดาราเหมือนกับที่อวิ๋นฉีสวม
“ดูท่าแล้ว พวกเขากำลังจะไปดินแดนลึกลับแห่งนั้น”
ในกองเศษอิฐกระเบื้องที่อยู่ไม่ไกลนัก ปรากฏแสงเงาสลัว ๆ ขึ้น จากนั้นกลายเป็นผู้เฒ่าในชุดหรูหรา เขาก็รัดผมด้วยเกล้าดอกบัวเมฆดาราเช่นกัน
โดยไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายชุดสีขาว หรือว่าผู้เฒ่าในชุดหรูหรา ต่างก็เหมือนกับอวิ๋นฉี ล้วนเป็นเหล่าผดุงลัทธิแห่งแขนงเมฆาของลัทธิทางช้างเผือก!
“พวกเราตามพวกเขาไป จำไว้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น หากว่าพวกเขาไปดินแดนลึกลับแห่งนั้นจริง พวกเราสามารถร่วมมือกับศิษย์น้อง ‘หมิงเคอ’ ที่เฝ้าดูอยู่นอกดินแดนลึกลับ โอบล้อมหญิงชายคู่นี้ไว้เลย!”
ผู้เฒ่าในชุดหรูหราครุ่นคิดสักครู่ จึงแสดงท่าทีตัดสินใจ
……….