บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1002: ภูมิดาราฟ้าดิน ปิตุภูมิเวิ้งดารา
ตอนที่ 1002: ภูมิดาราฟ้าดิน ปิตุภูมิเวิ้งดารา
……….
ตอนที่ 1002: ภูมิดาราฟ้าดิน ปิตุภูมิเวิ้งดารา
เมฆโลหิตเดือดพล่าน สายฟ้าฟาดกระหน่ำ
ซูอี้ควงค้อนทุบเซียนพุ่งตรงไปข้างหน้าพร้อมกับยมบาล
“สหายเต๋า เป็นไปตามที่คาดไว้จริง ๆ ผู้แข็งแกร่งของลัทธิทางช้างเผือกสองคนตามมาแล้ว”
ดวงตาใสสว่างของยมบาลสาวเปล่งประกายสีสันประหลาดขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ตอนที่เริ่มออกเดินทางจากภูเขาหมื่นกระแส ซูอี้เคยส่งกระแสเเสียงปราณมาบอกนางว่า อีกประเดี๋ยวให้คอยสังเกตความเคลื่อนไหวข้างหลัง ดูว่ามีใครไล่ตามหลังมาหรือไม่
และในเวลานี้ นางก็รู้สึกได้ถึงจุดนี้อย่างแม่นยำ
“สองคน? ดูท่าแล้วยังมีอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ปรากฏตัว”
ซูอี้กล่าวอย่างใช้ความคิด “คนคนนี้ หากไม่ได้เฝ้าอยู่ด้านนอกแดนวัฏสงสาร ก็ต้องอยู่ใกล้ ๆ กับภูเขาหมื่นกระแส แต่ ไม่ว่าอย่างไรก็ช่าง ไม่มีผลกระทบต่อสถานการณ์”
คนหนึ่งคือทูตผดุงลัทธิจากตำหนักดารา
สี่คนที่เหลือรวมอวิ๋นฉีด้วยล้วนเป็นเหล่าผู้ผดุงลัทธิแขนงเมฆา
และตอนนี้ ทูตผดุงลัทธิซึ่งมีที่มาลึกลับคนนั้นได้เข้าไปในดินแดนวัฏสงสารแล้ว อวิ๋นฉีประสบเคราะห์ไปแล้ว ก็เหลือเพียงเหล่าผู้ผดุงลัทธิอีกสามคน
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงได้ข้อสันนิษฐานเช่นนี้
“จะลงมือเลยหรือไม่?” ยมบาลสาวชักคันไม้คันมือ
“รอก่อน”
ซูอี้พูดถึงตรงนี้ พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา “เทียบกันแล้ว กฎเกณฑ์วอนสวรรค์ของพวกเจ้าร้ายกาจกว่า หรือว่ากฎวิเวกดาราของลัทธิทางช้างเผือกร้ายกาจกว่า?”
หญิงสาวตอบตามตรงโดยไม่ปิดบัง “เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอันใดในหมู่ดารา ในเมื่อสหายเต๋าต้องการจะรู้ ข้าก็จะไม่ปิดบัง”
“ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ หรือว่ากฎวิเวกดารา ล้วนเป็น ‘กฎเกณฑ์กำเนิดห้วงดารา’ ประเภทหนึ่ง ต่างก็ถือกำเนิดขึ้นจากพลังแหล่งกำเนิดของหมู่ดารา อยู่เหนือกว่ากฎเกณฑ์ของโลก”
“หมู่ดาราหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยโลกภูมิมากมาย เพียงแค่ควบคุมพลังกฎเกณฑ์ของหมู่ดาราได้ ก็สามารถอยู่เหนือโลกทั้งหลาย”
“เหมือนภูมิดาราวอนสวรรค์ มีโลกภูมิน้อยใหญ่มากมายกระจัดกระจายกันอยู่ แต่มีเพียงหอเก้าสวรรค์เท่านั้นที่ควบคุม ‘กฎเกณฑ์วอนสวรรค์’ ที่อุบัติขึ้นในแหล่งกำเนิดภูมิดาราวอนสวรรค์”
“ในสายตาผู้ฝึกตนของภูมิวอนสวรรค์ ความยิ่งใหญ่ของหอเก้าสวรรค์ไม่ต่างไปจากผู้ชี้ชะตาซึ่งควบคุมวิถีสวรรค์”
“ลัทธิทางช้างเผือกที่ควบคุมกฎวิเวกดาราก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
พูดถึงตรงนี้ ยมบาลสาวก็ลูบผมสีน้ำเงินที่ทัดอยู่ข้างหู ก่อนจะกล่าวต่อ “ด้วยเหตุนี้ เมื่อผู้แข่งแกร่งของหอเก้าสวรรค์อย่างเช่นข้ามาถึงที่นี่ อาศัยเพียงพลังกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ ก็สามารถสยบคนในขอบเขตเดียวกันได้ หรือแม้กระทั่งฆ่าศัตรูข้ามขอบเขตก็ยังได้”
“ทว่าในสายตาของผู้ฝึกตนในโลก กฎเกณฑ์วอนสวรรค์ที่พวกเรามีไม่แตกต่างไปจากภัยพิบัติมหาวิถีเช่นกัน”
เมื่อเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้แล้ว ซูอี้ถึงกับพยักหน้ากล่าว “เหมือนกับที่ข้าคาดคะเนไว้ พูดให้กระจ่างก็คือ ระดับมหาวิถีที่ควบคุมไม่เหมือนกันก็เท่านั้นเอง”
มหาวิถีสามพันวิถีไม่ใช่จำนวนที่แท้จริง แต่เป็นการบอกว่ามหาวิถีในโลกนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน
แต่ละมหาวิถีก็มีระดับสูงต่ำต่างกันไป
เหมือนดังที่ยมบาลกล่าวมา ในหมู่ดาราแห่งหนึ่งประกอบด้วยโลกภูมิจำนวนมากมาย ใครคนไหนสามารถควบคุมพลังมหาวิถีที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ดาราแห่งนั้น ใครคนนั้นก็ดำรงอยู่ราวกับวิถีสวรรค์!
ซูอี้กล่าวด้วยความสนใจอยากรู้ “ถ้าเช่นนั้นในสายตาของเจ้า ทั่วทั้งแดนเทวามหาแดนดินแห่งนี้ มีกฎเกณฑ์กำเนิดห้วงดาราที่คล้ายกับวิถีสวรรค์อยู่หรือไม่?”
สายตาของยมบาลสาวแปลกประหลาดไป ส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่มี หมู่ดาราที่ครบถ้วนสมบูรณ์ จะถูกเรียกอีกอย่างว่าภูมิดารา ยกตัวอย่างเช่นภูมิดาราวอนสวรรค์ที่ข้ามา แต่โลกเทวาที่สหายเต๋าอยู่แห่งนี้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ โลกภูมิก็กระจัดกระจายและแตกสลายไป”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางก็กล่าวขึ้นมา “หากว่าวันหนึ่งสหายเต๋าไปยังหมู่ดารา ก็จะพบว่าไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินมืดมิด หรือ มหาแดนดิน ล้วนกระจายตัวอยู่ในหมู่ดาราที่แตกสลายและโกลาหล ไม่อาจเสาะหาแหล่งที่มาหมู่ดาราได้ จึงไม่มีกฎเกณฑ์กำเนิดห้วงดาราที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่”
หัวคิ้วของซูอี้เลิกขึ้นน้อย ๆ ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง…
สาเหตุที่ทั่วทั้งแดนเทวามหาแดนดินแห่งนี้เสาะหาหนทางวิถีที่สูงส่งยิ่งกว่าหนทางแห่งวิถีลึกล้ำแทบจะไม่เจอ จะเป็นเพราะหมู่ดาราแห่งนี้อยู่ในสภาพแตกสลายหรือไม่?
“แต่ ตอนที่ข้ามายังภูมิมืดมิด เคยได้ยินเจ้าหอผู้ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ว่า หมู่ดาราที่แตกสลายผืนนี้ เมื่อเริ่มแรกสุดถูกเรียกว่าเป็น ‘ภูมิดาราฟ้าดิน’ เมื่อก่อนเคยมีความสวยสดงดงามอย่างยิ่ง จึงถูกมองว่าเป็นดินแดนแห่งต้นกำเนิดบรรพบุรุษของมหาวิถีทั้งหมดในหมู่ดารา และเคยปรากฏมีตัวตนดั่งเทพเซียนที่สร้างความตื่นกลัวให้กับหมื่นภูมิจำนวนมากมาย”
สายตาของยมบาลสาวมีร่องรอยแห่งการย้อนรำลึกความทรงจำ “แต่น่าเสียดาย เจ้าหอผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้มากนัก เขากล่าวแต่เพียง ความแตกสลายของภูมิดาราฟ้าดินมีสาเหตุจากภัยพิบัติใหญ่ลึกลับ เมื่อภัยพิบัติใหญ่ผ่านพ้นไป เทพเทวาแตกดับ ทุกสิ่งล้วนหมดหายลับไป กลับกลายเป็นภูมิดาราแตกสลายที่คล้ายกับรกร้างไปแล้ว”
“ทว่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ภูมิดาราฟ้าดินก็ถูกเรียกว่าเป็น ‘ปิตุภูมิเวิ้งดารา’”
ตอนที่สวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง ภูมิดาราฟ้าดินถูกมองว่าเป็นดินแดนแห่งต้นกำเนิดบรรพบุรุษของมหาวิถีทั้งหมด เคยมีตัวตนในตำนานดุจเทพเซียนสร้างความตื่นตะลึงให้กับหมื่นภูมิ!
และหลังจากที่ความสวยสดงดงามร่วงโรยไป กลับกลายเป็นปิตุภูมิเวิ้งดารา!
เรื่องเล่าขานเช่นนี้ทำให้ซูอี้อดรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
เมื่อชาติที่แล้ว ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้เป็นใหญ่ทั่วทั้งแดนดิน เขาเคยอ่านคัมภีร์โบราณมากมายนับไม่ถ้วน และเคยเห็นบันทึกที่เอ่ยถึง ‘ปิตุภูมิเวิ้งดารา’ อยู่เช่นกัน แต่มันกล่าวถึงน้อยนิดมาก จึงรู้เพียงแต่ชื่อ ไม่รู้ความหมาย
จนตอนนี้จึงได้รู้ว่า นี่คือคำเรียกหมู่ดาราที่แตกสลาย!
และเมื่อครั้งแรกสุดหมู่ดาราที่แตกสลายนี้เคยมีความเจริญรุ่งเรืองสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง!
“นอกจากนี้แล้ว เจ้ายังรู้เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับภูมิดาราฟ้าดินอีกหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
ยมบาลสาวส่ายหน้า “หลังจากพิบัติใหญ่ในครั้งนั้นแล้ว กำลังการฝึกตนที่เกี่ยวกับภูมิดาราฟ้าดินก็แทบจะสาบสูญไปจนหมด กอปรกับเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ผู้ฝึกตนของหมู่ดาราส่วนใหญ่จึงล้วนลืมเลือนภูมิดาราฟ้าดินไปจนสิ้นแล้ว”
“แม้กระทั่งข้าในตอนนั้น ก็เพียงแค่ได้ยินเจ้าหอผู้ยิ่งใหญ่เคยพูดถึงไม่กี่ครั้ง ไม่ได้เอ่ยละเอียด ข้าจึงไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังมีบ้านเกิดโบราณกาลอย่างภูมิดาราฟ้าดิน”
เมื่อได้ฟังแล้ว ซูอี้ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
จริงดังว่า เวลานั้นไร้หัวใจ วันเวลาเนิ่นนานผ่านพ้นไป ในที่สุดก็ชะล้างและทำลายร่องรอยของอดีตกาลที่ผ่านไป
ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิดาราฟ้าดินยังเคยผ่านภัยพิบัติใหญ่มา เทพเทวาล้วนแตกดับสิ้น
แม้กระทั่งตนเองในอดีตก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ นับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ
ชั่วขณะนี้ ซูอี้รู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก
หากเป็นอดีต เขาจะไม่รู้สึกสะเทือนอารมณ์ถึงเพียงนี้ จุดสำคัญอยู่ตรงที่ ความลับโบราณที่ยมบาลพูดขึ้นมานี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นตะลึงเกินกว่าที่ซูอี้รับรู้มา
“เมื่อชาติก่อนข้าฝึกตนแสวงวิถีเป็นเวลานานกว่าหนึ่งแสนแปดพันปี ก็ยังไม่รู้ความลับเหล่านี้ เห็นได้ว่าภัยพิบัติใหญ่ที่ภูมิดาราฟ้าดินพบเจอในครั้งนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด มันแทบจะทำลายการสืบทอดและดำรงอยู่ของมหาวิถีโลก มิเช่นนั้น แม้กระทั่งในคัมภีร์ตำราต่าง ๆ ก็คงจะมีพูดถึงบ้าง…”
ซูอี้แอบคิด
“แต่ เมื่อข้ามาถึงภูมิมืดมิดเข้าจริง ๆ จึงพบว่าภูมิดาราฟ้าดินที่กลายเป็น ‘ปิตุภูมิเวิ้งดารา’ แห่งนี้มีความอัศจรรย์จริง ๆ ดังที่คาด”
ยมบาลกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ยกตัวอย่างเช่นความลับแห่งวัฏสงสาร ต่อให้เป็นหมู่ดาราก็ยังไม่เคยมีพลังต้องห้ามเช่นนี้”
“ยังมี ‘หญ้าลวงสวรรค์’ ของกรมสุขาวดีนั้นอีก มันสามารถสลายคำสัตย์ปฏิญาณมหาวิถีที่ข้าตั้งไว้เมื่อตอนอยู่ที่หอเก้าสวรรค์ได้ เกินความคาดหมายของข้ายิ่งนัก วัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้กล่าวได้ว่ายอดเยี่ยมมาก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาใสสว่างของนางประหลาดไป จับจ้องดูที่ซูอี้พลางกล่าว “แน่นอน สิ่งที่ทำให้ข้าตื่นตะลึงและอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด ก็คือพลังที่สหายเต๋าควบคุม!”
จนกระทั่งถึงตอนนี้นางก็คิดไม่ออกว่า เหตุใดบนดินแดนปิตุภูมิเวิ้งดาราที่สูญสลายไปนานแล้วจึงมีพลังมหาวิถีที่สามารถสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์กับกฎวิเวกดาราได้
ไม่สอดคล้องกับที่นางเคยรับรู้มาแม้แต่น้อย!
และเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าหอผู้ยิ่งใหญ่ค้นหามาเป็นเวลาอันเนิ่นนานก็คือพลังเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้จิตใจของนางยิ่งสั่นสะท้านขึ้นมา
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ยมบาลสาวจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ถึงแม้ ‘ภูมิดาราฟ้าดิน’ เช่นปิตุภูมิเวิ้งดาราแห่งนี้จะเคยผ่านภัยพิบัติใหญ่ลึกลับมา และแตกสลายไปตั้งนานแล้ว ทว่าอย่างไรเสียในครั้งแรกสุดก็ยังเคยสดใสรุ่งเรืองมากมาก่อน พื้นฐานที่คงหลงเหลือเช่นนั้นยังคงมั่นคงเกินกว่าที่คาดคิด!
รู้ความลับในอดีตเหล่านี้แล้ว ซูอี้ไม่รู้สึกท้อแท้ ในทางกลับกันมันเป็นการจุดประกายความอยากรู้และความปรารถนาที่จะค้นหาภายในใจของเขา
เหตุนี้โลกจึงมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น!
และในขณะเดียวนี้เอง ซูอี้จึงรู้สึกได้ถึงความจริงใจของนาง
ตามที่รู้กัน เมื่อก่อนผู้หญิงคนนี้เก็บปากเงียบ ไม่ยอมที่จะเผยความลับเหล่านี้แม้สักคำ
ทว่า ขณะที่ซูอี้คิดจะตีเหล็กตอนร้อน ดูสิว่าจะสามารถหลอกถามความลับจากอีกฝ่ายได้เท่าไร ยมบาลพลันเอ่ยขึ้นมา “สหายเต๋า จุดที่ห่างไกลออกไป ไม่ใช่ทางเข้าดินแดนลึกลับที่เจ้าพูดถึงหรอกหรือ?”
ซูอี้เก็บความคิดทั้งหมดกลับมา เหลือบตามองไปแล้วจึงพยักหน้า
บนท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไป ปรากฏเกลียวคลื่นมิติขนาดใหญ่ขึ้น ราวกับปากอ่างโลหิตขนาดใหญ่ที่เปิดกว้างบนท้องฟ้า
ระลอกคลื่นมิติหมุนติ้วอยู่ในเกลียวคลื่นที่คล้ายกับคลื่นในมหาสมุทร ส่งเสียงดังครืน ๆ ออกมา ทำให้ฟ้าดินในบริเวณนั้นพลอยแตกกระเจิงวุ่นวายตามไปด้วย
มาถึงที่ตรงนี้ อัสนีพิฆาตโลหิตที่ครอบคลุมไปทั่วฟ้าดินบางเบาลงอย่างเห็นได้ชัด แทบจะไม่มีเหลืออีก
ทันใด ร่าง ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในระยะไกล
คนผู้นี้คือผู้ชายสวมชุดยาวสีม่วง รัดผมด้วยเกล้าดอกบัวเมฆดารา สีหน้าที่ราบเรียบแฝงไว้ซึ่งความหยิ่งทะนง
เขายังไม่ทันได้เข้ามาใกล้ ก็เอ่ยพูดขึ้นมาก่อนแล้ว “ทั้งสองท่าน พวกเจ้าถูกล้อมแล้ว”
ยมบาลแสดงความประหลาดใจผ่านสายตา “สหายเต๋า ดูท่าแล้วเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงภูเขาหมื่นกระแสทางนั้นแล้ว เมื่อก่อนหน้านี้เหล่าผู้ผดุงลัทธิแขนงเมฆาที่สามคนนี้เฝ้าประจำอยู่ที่ปากทางเข้าแดนลึกลับ”
ซูอี้ส่งเสียงตอบอืม “เป็นเช่นนี้ดีที่สุด”
ผู้ชายชุดสีม่วงขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
ท่าทีของหญิงชายตรงหน้าคู่นี้สงบนิ่งจนเกินไป ไม่รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย ราวเดาได้ก่อนแล้วว่าเขาจะปรากฏตัว
เขาหยุดยืนกลางอากาศห่างออกไปร้อยจั้ง ถามลองเชิงขึ้นมา “พวกเจ้า… รู้ก่อนหน้าแล้วว่าจะพบกับข้า?”
“เจ้ายังไม่ถึงกับโง่มากนัก”
ยมบาลยิ้ม ดวงตาใสเป็นประกาย พร่างพราวด้วยเสน่ห์ “เจ้าคิดว่า ส่งเจ้ากลับบ้านเกิดตอนนี้ดี หรือว่ารอให้พรรคพวกของเจ้าอีกสองคนมาแล้วค่อยส่งพวกเจ้าทั้งหมดกลับบ้านเกิดดี?”
หนังตาของผู้ชายชุดสีม่วงกระตุก
เวลานี้ ข้างหลังซูอี้กับยมบาลสาวมีเสียงถอนใจดังขึ้น
“ศิษย์น้อง ดูท่าแล้วพวกเขารู้ตัวก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องอำพรางตัวอีก”
เสียงยังคงดังกึกก้อง ผู้เฒ่าชุดหรูหรากับผู้ชายชุดยาวสีขาวปรากฏตัวอยู่บนฟ้าที่ห่างไกลออกไป
เหล่าผู้ผดุงลัทธิแขนงเมฆาทั้งสาม คนหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกสองคนอยู่ข้างหลัง ตั้งท่าโอบล้อมยมบาลกับซูอี้อย่างแน่นหนา!
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นซูอี้หรือยมบาล พวกเขาต่างมีสีหน้าสงบนิ่ง มองเห็นไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใด ๆ บนใบหน้า
ทั้งหมดนี้อยู่ในความคาดหมายของพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว จะตื่นตระหนกตกใจได้เช่นใดกัน?
……….