บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1003: เสน่ห์อิสตรี กุมจิตสะกดใจ
ตอนที่ 1003: เสน่ห์อิสตรี กุมจิตสะกดใจ
……….
ตอนที่ 1003: เสน่ห์อิสตรี กุมจิตสะกดใจ
สถานการณ์หนีเสือปะจระเข้
ยากแก้ไข!
ทว่า ในสายตาของยมบาล เสือและจระเข้ที่ว่าเหล่านั้นอาจเป็นภัยต่อชีวิตของตัวตนจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำส่วนใหญ่ได้
ทว่าต่อหน้าซูอี้ พวกมันไม่ต่างกับกระดาษอันเปื่อยยุ่ย
ดังนั้นนางจึงเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อมองไปยังสามยอดฝีมือจากลัทธิทางช้างเผือกรอบ ๆ นางก็เหมือนมองคนตายสามคน
สายตานั้นทำให้คนทั้งสามล้วนไม่สบายใจมาก
พวกเขามองหน้ากัน ก่อนลงมือโจมตีทันที
ตู้ม!
ชายชุดม่วงตรงหน้าดึงหอกศึกสีเงินออกมาเล่มหนึ่ง ร่างของเขาพุ่งเข้ามาหา หอกศึกแหวกอากาศวูบไหวดุจดวงดาราแผดเผาเจิดจรัส
แทบจะในยามเดียวกัน ชายชราในชุดหรูหราและชายชุดยาวสีขาวต่างพุ่งเข้ามาเช่นกัน
ฉัวะ!
ชายชราในชุดหรูหราเร่งใช้ดาบวิถีอันคมกริบไร้ใดเทียบ ปราณกระบี่แข็งแกร่งเจิดจ้า พุ่งออกมาราวห่าฝน
ชายชุดยาวสีขาวกวัดไกวโซ่ตรวนสีเลือดอันปกคลุมด้วยแง่งเขี้ยวสีขาวดุจหิมะยาวหนึ่งชุ่น
ยอดฝีมือทั้งสามจากลัทธิทางช้างเผือกไม่ได้ขยับตัว แต่เมื่อขยับก็เป็นการโจมตีร้ายแรง!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการตายของอวิ๋นฉีทำให้พวกเขาไม่กล้าเก็บงำความสามารถอีกต่อไป จึงทุ่มสุดตัวตั้งแต่เริ่มการโจมตี
เมื่อเผชิญการโจมตีจากรอบทิศทาง ซูอี้ก็ยังคงยืนนิ่ง ดวงตาลึกล้ำมิหวั่นไหว
และค้อนทุบเซียนในมือของเขาถูกยกขึ้นดุจดาบ ฟาดลงไปบนอากาศในพริบตา
เปรี๊ยะ!
หอกศึกสีเงินแตกเป็นสองเสี่ยง
ชายชุดสีม่วงซึ่งทะยานเข้ามาจากเบื้องหน้าพลันชะงักค้าง แล้วร่างของเขาก็แยกเป็นสอง
ถูกดาบผ่าเป็นสอง!
“นี่…”
ชายชราชุดหรูหราและชายชุดยาวสีขาวตกใจเสียจนวิญญาณแทบล่องลอย
เพียงหนึ่งดาบ แต่สหายของพวกเขากลับปลิดปลิวไปหนึ่ง!!
ภาพการนองเลือดนี้เฉียบขาดเสียจนทำให้พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อ หัวใจสะท้านร้ายแรง
ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งถึงตัวซูอี้ พวกเขาก็ค้างกลางอากาศ แล้วหมุนตัวหนี้ลับไปไกล
เหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มหน้าผาก
ทั้งสองตกใจกลัวโดยสมบูรณ์ หัวใจแทบระเบิดปริ
ในฐานะเหล่าผู้ผดุงลัทธิทางช้างเผือกแขนงเมฆา พวกเขาล้วนควบคุมกฎวิเวกดารา ไม่ว่าไปยังภูมิดาราใด พวกเขาก็เหมือนศิษย์แห่ง ‘วิถีสวรรค์’ พลังที่พวกเขาครอบครองมากพอจะบดขยี้ตัวตนใด ๆ ในขอบเขตเดียวกัน และยังสามารถข้ามขอบเขตสังหารผู้แข็งแกร่งกว่าได้อย่างไม่เสียเปรียบ
ทว่ายามนี้ เมื่อรับมือหนึ่งตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น หนึ่งในสหายร่วมรบกลับถูกสังหารในพริบตา!
เรื่องนี้ย่อมร้ายกาจยิ่งโดยมิต้องสงสัย!
“เจ้าจะหนีได้หรือ?”
เสียงสุขุมเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทว่าเมื่อมันกระทบโสตชายชราชุดหรูหราและชายชุดยาวสีขาว ก็ไม่ต่างอันใดกับอสนีบาตขยี้ลง
ทั้งสองต่างเปลี่ยนสีหน้า และใช้สมบัติป้องกันตนเองอย่างไม่ลังเล พยายามดิ้นรนสุดชีวิต
เห็นได้ว่าหมู่ดารากำลังเฉิดฉายอยู่บนร่างคนทั้งสองดุจเพลิงทิพย์แผดเผา แสงสว่างทะยานทั่วฟ้าดิน ส่องสว่างโลกหล้า อำนาจมหาวิถีแผ่ออกมา ทำให้หมู่เมฆาทศทิศแหลกสลาย
ทว่าเมื่อปราณดาบสีดำสองสายอันมืดมิดเยี่ยงรัตติกาลวาบขึ้นบนอากาศ
ตู้ม! ตู้ม!
ดวงดาราเจิดจรัสบนฟากฟ้าแหลกสลาย อำนาจปกป้องของสมบัติอันปกคลุมร่างคนทั้งสองต่างพังทลาย
บริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่จมลงสู่กระแสคลื่นทำลายล้าง
ภายใต้สายตาของยมบาลสาว ร่างของชายชราในชุดหรูหราและชายชุดยาวสีขาวดูราวตุ๊กตากระดาษถูกเพลิงลน พวกเขาสลายเป็นเถ้าหายไป!
แม้นางจะคาดไว้แล้วก็ตามว่ายอดฝีมือจากลัทธิทางช้างเผือกเหล่านี้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้ก็ตามที แต่ก็ยังน่าตกใจอยู่ดีที่ได้เห็นพวกเขาแสนไร้ทางสู้เกินคาดคิด
และยังเป็นครั้งนี้เองที่นางตระหนักว่า ขณะที่ซูอี้อยู่ในตำหนักยมราช ณ ภูเขาหมื่นกระแส หากเขาต้องการสังหารชายชุดฟ้าอวิ๋นฉี ดาบเดียวก็พอแล้ว!
“นั่นสินะ เขาสามารถสังหารจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเหมือนเชือดไก่ได้ตั้งแต่สมัยอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณแล้ว และหากงัดไพ่ตายออกมา ก็คงทำให้ศิษย์ของเขาฮั่วเหยาที่มีระดับการฝึกฝนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลางบาดเจ็บสาหัสได้”
“ยามนี้ หลังจากที่เขาก้าวข้ามหายนะ ฝึกฝนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำแล้ว อำนาจที่เขามีย่อมสกัดขวางกฎวิเวกดารา และการสังหารตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเหล่านี้ย่อมเหมือนหักไม้ไผ่ ทำได้ง่าย ๆ”
“แน่นอน ถ้าเขาอยากฆ่าข้าขึ้นมา เกรงว่าก็คงไม่ยากเกินไป…”
ยมบาลสาวตะลึงอึ้ง แววตาคู่นั้นหม่นแสงลง
ในขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ผ่อนหายใจเฮือก
การสังหารคู่ต่อสู้เช่นนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยินดีกับความสำเร็จแม้แต่น้อย
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังพึ่งพาพลังของดาบเก้าคุมขัง
ทว่า สิ่งที่แตกต่างจากอดีตก็คือ นับแต่เขาก้าวข้ามหายนะประหลาดและก้าวสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ซูอี้ก็สัมผัสได้ว่าพลังจากดาบเก้าคุมขังที่เขาใช้ต่างออกไปจากแต่ก่อน ด้วยกาลนานมาแล้ว มันจะกินพลังมหาวิถีของเขาไปอย่างมหาศาล
ในอดีต กระทั่งยามที่เขาอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ ยามที่เขาใช้พลังของดาบเก้าคุมขัง อย่างมากที่สุด เขาก็จะใช้มันได้เพียงครู่เดียว ก่อนที่ทั้งร่างของชายหนุ่มจะเกือบหมดแรงสิ้นสูญ
ทว่ายามนี้แตกต่างออกไปแล้ว
การสังหารคู่ต่อสู้ทั้งสามยามนี้กินพลังของเขาไปไม่ถึงหนึ่งส่วนด้วยซ้ำ สามารถเมินมันได้อย่างสิ้นเชิง
“ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้น่าจะเกี่ยวพันกับการสลายตรวนบนดาบเก้าคุมขัง”
ซูอี้ลอบกล่าว
หลังจากก้าวสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ในหมู่ตรวนทั้งเก้าที่พันรอบดาบเก้าคุมขัง เส้นตรวนที่สื่อถึงวิถีเต๋าของอดีตชาติเขาได้แหลกสลายไป แปรเปลี่ยนเป็นปราณมหาวิถีลอยอ้อยอิ่งรอบดาบเก้าคุมขัง
และการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ย่อมทำให้ซูอี้สามารถใช้ดาบเก้าคุมขังได้อย่างง่ายดายหากเทียบกับแต่ก่อน
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปแดนวัฏสงสารกับข้า?”
ซูอี้มองยมบาล
ยมบาลสาวพลันตื่นขึ้นจากความคิดฟุ้งซ่านของนางเอง
นางเบือนสายตามองไปไกล จับจ้องยังสถานที่ที่ฟ้าดินแปรปรวน วังวนมิติใหญ่ยักษ์ลอยค้างกลางอากาศ แผ่พลังมิติทะลักไหลดุจเกลียวคลื่น ให้ความรู้สึกไม่ชอบมาพากล
“แน่สิ”
ยมบาลทัดผมไว้หลังหู ใบหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์เผยแววโหยหา “ต่อให้มีอันตรายถึงตาย สิ่งที่พังไปก็มีเพียงอวตาร แต่หากข้ามิได้ไป… เกรงว่าจนตายก็คงเสียดายแน่”
ระหว่างการเดินทาง นางได้รู้ว่าซูอี้ในอดีตชาติได้สำรวจความลับมากมายเกี่ยวกับการเวียนวัฏสงสาร
เช่นศิลาหลุมศพในเมืองมรณะ กฎเวียนวัฏสงสารอันถูกสลักไว้ในแท่นเกิดใหม่เป็นต้น
ทว่าพวกมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเคล็ดเวียนวัฏสงสาร
และความลับที่ทำให้ซูอี้ได้เกิดใหม่อย่างแท้จริงนั้น ที่แท้แล้วซ่อนอยู่ใน ‘แดนวัฏสงสาร’!
ซูอี้ไม่ได้เกลี้ยกล่อมนางอีก จากนั้นเขาก็เดินมายังวังวนมิติมโหฬารอันลอยอยู่กลางอากาศ
“ส่งมือมา”
ซูอี้ยื่นมือซ้ายของเขา
ยมบาลกัดริมฝีปากสีกุหลาบของนางเบาๆ ก่อนจะยื่นมือหยกเรียบเนียนอันดูไร้กระดูกวางลงบนมือของซูอี้
จากนั้น มือหยกของนางก็ถูกซูอี้จับไว้แน่น
ยามนี้ ความรู้สึกแปลกประหลาดราวกับถูกไฟดูดแล่นผ่านเข้าสู่ใจ ทำให้ร่างบอบบางของยมบาลสาวเกร็งขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่อาจสัมผัสได้
แม้นางจะฝึกฝนมาแสนนาน ชินกับความเป็นไปแห่งโลกหล้าและการผันเปลี่ยนของชีวิต นี่ก็เป็นครั้งแรกอยู่ดีที่มีบุรุษได้จับมือของนาง
มันดูน่าอาย ชวนสะดุ้ง ประหม่า ยากอธิบาย
“ประหม่าหรือ?”
ซูอี้มองยมบาลแปลก ๆ หญิงงามล่มเมืองผู้นี้ดูไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงเพรียวมาดมั่นของนางแข็งทื่อไปเล็กน้อย
เหมือนยามหญิงสาวผู้เคอะเขินประหม่าถูกเพศตรงข้ามต้องตัวเป็นครั้งแรกในยามเริ่มสัมพันธ์รัก ใบหน้างดงามแจ่มใสของนางเจือเค้าลางความหวาดหวั่นอันถูกสะกดไว้
“ร… ข้าหรือ?”
ยมบาลแสร้งทำตัวเยือกเย็น ทว่ากลับหลบตาซูอี้โดยไม่รู้ตัว
ซูอี้หัวเราะ จงใจลูบไปบนมือนุ่มนิ่มของยมบาลสาว
“เจ้า…”
ราวบุปผชาติอันบอบบางที่สุดถูกหนึ่งภมรดอมดม ร่างของยมบาลสั่นระริก ดวงตาถลึงมองซูอี้อย่างขุ่นเคือง ใบหน้างามเปี่ยมความเขินอาย ลำคอขาวระหงแดงเรื่อจาง ๆ
ซูอี้กล่าวอย่างสบายอารมณ์ “สงบใจไว้ ยามเข้าไปในวังวนมิตินี้ หากเจ้ากับข้าคลาดกันอาจนำไปสู่ผลที่ยุ่งยากตามมา เจ้าเองก็รู้ว่าอำนาจกฎแห่งมิติร้ายกาจเพียงไร หากไม่ระวัง เจ้าก็จะถูกฉีกร่างดับดิ้นได้”
จมูกโด่งของยมบาลส่งเสียงหึ “ฉวยโอกาสแตะต้องข้าแล้วทำพูดกลบเกลื่อน ซูเสวียนจวิน เจ้าช่างไร้ยางอายจริง ๆ”
ซูอี้แค่นเสียงขำ จากนั้นเขาก็ชักมือกลับและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น งั้นหาทางเข้าวังวนมิติเองแล้วกัน”
กล่าวจบ เขาก็เริ่มลงมือทันที
ยมบาลชะงักไปชั่วขณะ คนผู้นี้… ไฉนเป็นเช่นนี้เล่า!?
ฉวยโอกาสแล้วยังทำหยิ่งอีก?
“เฮ้!”
ยมบาลสาวรี่เข้ามาอย่างโกรธเคือง “ซูเสวียนจวิน เจ้าเป็นสุภาพบุรุษมากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไร? ข้าแค่พูดนิดเดียวเอง จะเป็นไรไปเล่า?”
ซูอี้ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “หรือเจ้าจะยังต้องการความช่วยเหลืออยู่?”
หญิงสาวไม่สบายใจเล็กน้อย ส่งเสียงในลำคออย่างคลุมเครือ
ซูอี้ยื่นมือซ้ายออกมา “เอ้า จับเองนะ”
ยมบาล “…”
แววตาของนางเปี่ยมโทสะ อยากกัดเจ้าสารเลวนี่ให้จมเขี้ยวนัก
ทว่าท้ายที่สุด…
นางก็ยังกล้ำกลืนโทสะ เป็นฝ่ายยื่นมือนุ่มนวลดั่งหยกจับมือซูอี้ไว้
ความรู้สึกอับอายอันไม่อาจพรรณนาไหลเข้าสู่ใจของยมบาล นางเพิ่งพูดไปว่าชายผู้นี้ไร้ยางอาย ทว่าตนกลับยื่นมือออกไปจับมือเขาอีก…
นี่…
โชคดีที่ซูอี้ดูไม่คิดสนใจ “ไปกันเถอะ”
เขาจับมือของยมบาลสาว ขณะถือค้อนทุบเซียนไว้ด้วยอีกมือ และทะยานไปสู่วังวนมิติมโหฬาร
ตู้ม!
ยามพุ่งเข้าไป กฎมิติอันน่าหวาดหวั่นสะเทือนสั่นดุจคลื่นโถมพิภพถล่ม สร้างเป็นอำนาจฉีกกระชากทำลายล้างอันรุนแรง
ดวงตาของยมบาลสาวในยามนั้นหมุนคว้าง ภาพในคลองจักษุของนางบิดเบี้ยวตระการสีสัน อันตรายถึงตายทำให้นางหวาดหวั่น และมิติซึ่งอยู่ห่างจากนางไม่มากนักก็สำแดงอำนาจทลายภพจบแดน ทำให้หัวใจของนางสั่นสะท้าน มิอาจสงบลงได้อีกต่อไป มือของนางคว้าแขนซ้ายของซูอี้ ร่างแทบแนบชิดติดกับเขา…
ซูอี้ผลักค้อนทุบเซียนต้านอำนาจมิติอันรุนแรงอย่างสุดกำลัง
เขาเยือกเย็นมาก เพราะเขาก็เคยมาที่นี่ในอดีตชาติ รู้ดีมากว่าจะรับมือแก้ไขอำนาจของวังวนมิติอันนำไปสู่แดนวัฏสงสารนี้ได้เช่นไร
จนกระทั่งเขาผ่านพายุมิติเข้าสู่ส่วนลึกของวังวน
ซูอี้พลันรู้สึกว่าแขนของเขาถูกความนุ่มนิ่มคู่หนึ่งบีบไว้แน่น แม้จะกั้นไว้ด้วยชั้นอาภรณ์ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความนุ่มเด้งน่าอัศจรรย์
ซูอี้อดนึกในใจถึงคำว่า ‘ยิ่งใหญ่’ มิได้
เมื่อเหลือบมองข้างกาย เขาก็เห็นยมบาลหลับตาปี๋กอดแขนซ้ายเขาไว้แน่น ร่างสะโอดสะองอันองอาจแทบแนบชิดไปกับเขา
เสน่ห์อิสตรี กุมจิตสะกดใจ!
……….