บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1004: เรือยมโลกสีดำ ดาบศึกกางเขน
ตอนที่ 1004: เรือยมโลกสีดำ ดาบศึกกางเขน
……….
ตอนที่ 1004: เรือยมโลกสีดำ ดาบศึกกางเขน
เมื่อยมบาลตื่นขึ้นจากแรงกดดันมหาศาล นางก็พบคู่แววตาอันสว่างลึกล้ำ และใบหน้าหล่อเหลาอันคุ้นตาจ้องมา
ในใจนางรู้สึกสงบมาก
ทว่าเมื่อสังเกตท่าทางอันแทบน่าอับอายของตน นางก็ปล่อยมือออกจากแขนซ้ายของซูอี้ทันทีราวถูกไฟดูด ก่อนจะก้าวถอยไปก้าวหนึ่ง
จากนั้น ใบหน้างดงามของนางก็ร้อนฉ่า สีชาดค่อย ๆ ย้อมใบหน้า กล่าวอย่างเคอะเขิน “เมื่อครู่… ข้าแค่กังวลนิดหน่อย”
ซูอี้ยกยิ้มเล็กน้อย “อืม ข้าสัมผัสได้”
“?”
ที่ว่า… สัมผัสได้… นี่อันใด?
นางลอบสูดหายใจลึก ๆ แสร้งทำตัวเยือกเย็น ดวงตาพราวเสน่ห์เหลือบไปรอบ ๆ และเปลี่ยนประเด็นอย่างแนบเนียน “เราอยู่หนใดแล้ว?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ทางเชื่อมมิติสู่แดนวัฏสงสาร”
กล่าวจบ เขาก็ก้าวไปเบื้องหน้า
ทางเชื่อมนี้ดูราวภาพลวง อำนาจมิติบิดเบี้ยวร่ายระบำราวแสงสี ทว่ากลับให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างผิดปกติ
มือของยมบาลตบอกของตนโดยไม่ตั้งใจ รู้สึกละอายลึก ๆ
เมื่อครู่ ข้าตกใจกลัวเสียจนแทบโผกอดคนผู้นั้น!
“ตามมาเร็ว”
เสียงของซูอี้ดังมาจากเบื้องหน้า
ยมบาลสาวชะงักไปชั่วขณะ และไม่กล้าคิดถึงมันอีก
ไม่นานนัก นางก็กลับสู่สภาวะสงบเงียบเช่นก่อน
ถึงอย่างไร นางก็เป็นตัวตนแข็งแกร่งอันลือนามทั่วโลกหล้าแต่บรรพกาลซึ่งกล้าพอเป็นศัตรูกับดินแดนปรภพ นางย่อมไม่ถูกอารมณ์เคอะเขินเข้าครอบงำ
ทว่า เมื่อนางคิดว่าตนเป็นฝ่ายไปกอดแขนซูอี้เสียแน่นเอง ยมบาลสาวก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ซูอี้เอ่ยเตือน
แสงสีขาวเจิดจ้าขึ้นตรงหน้าในทางเชื่อมมิติ
นั่นคือทางเข้าแดนวัฏสงสาร
ซูอี้กล่าวพลางพลิกมือ หยิบน้ำเต้าหยกสามชุ่นออกมาห้อยไว้ที่เอวตน
จากนั้นก็นำตราประทับพุทธะเป็นตายออกมาส่งให้ยมบาล
สมบัติอันเป็นของผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งแห่งหอเก้าสวรรค์นี้ได้ถูกลบตราเจตจำนงที่ซ่อนอยู่ออกแล้ว
ยามนี้ การส่งมันให้นางก็ถือได้ว่าเป็นการคืนสู่เจ้าของเดิม
ยมบาลรับตราประทับพุทธะเป็นตายไป หัวใจตื่นตัวหวาดระแวง
ไม่นานนัก ทั้งสองก็มาถึงสุดทางเชื่อมมิติ เมื่อเดินเข้าไปในแสงสว่างสีขาว ร่างทั้งสองพลันถูกอำนาจมิติห่อหุ้ม มวลดาราเคลื่อนคล้อยตรงหน้า
ยามเมื่อสายตากลับมากระจ่างชัด โลกประหลาดอันมืดมิดก็ปรากฏสู่จักษุ
ท้องนภาของโลกนี้แตกร้าวพังทลาย มีรอยปริร้าวสานเรียงรายดุจใยแมงมุมบนอากาศ ดูราวพร้อมถล่มลงทุกเมื่อ
ยังคงมีเศษท้องนภาบางส่วนค้างเหนือพื้นไม่มาก
ไร้หย่อมหญ้าบนผืนดิน หมอกสีเทาลอยจางเต็มพื้นที่ ดูราวโลกร้างอันถูกทิ้ง
มองปราดแรก มันดูเคว้งคว้างวังเวง
“นี่หรือคือแดนวัฏสงสาร?”
ดวงตาของยมบาลหรี่ลงเล็กน้อย
นางสัมผัสได้อย่างเฉียบคมว่าที่แห่งนี้มีปราณอันตรายร้ายแรงพลุ่งพล่านอยู่ อลหม่านน่าหวาดหวั่น
ตู้ม!
ไกลออกไป เศษแห่งนภาเสี้ยวหนึ่งร่วงหล่น แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นมิติแผดเผาระเบิดออก พิรุณแสงพร่างพรม อากาศปั่นป่วนหวนกระโชก พื้นพิภพถูกกลืนกินหายไปช่วงใหญ่
ภาพนี้ทำให้ยมบาลสาวตัวสั่น
ปราณทำลายล้างที่แผ่ออกมา แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ก็ยังทำให้ผู้พบเห็นตัวสั่น
ใบหน้างามของยมบาลสาวจริงจังขึ้น
นางแน่ใจว่าต่อให้ร่างจริงของนางมาถูกเศษเสี้ยวเหล่านี้หล่นใส่ ก็ยังเกรงว่าจะบาดเจ็บสาหัสแน่แท้!
ส่วนอวตารนี้ ไม่ว่าเช่นไรก็หมดโอกาสรอด!
“จากวาจาสหายเก่าข้า การสิ้นสลายของดินแดนปรภพ ณ กาลก่อนเกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้ ซึ่งแต่เดิมปกคลุมด้วย ‘กฎหกวิถีเวียนวัฏ’ อันสมบูรณ์ ทว่า ด้วยเหตุอันไม่ทราบแน่ชัด มันกลับถูกหายนะหนึ่งทำให้แตกสลายเป็นเศษเสี้ยว”
ดวงตาของซูอี้ฉายประกายรำลึกความหลัง
กาลก่อน เขาและผีเฒ่าแบกโลงเคยมาที่นี่ด้วยกัน และเขายังเคยได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงความลับเก่าเหล่านี้
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้ก้าวไปเบื้องหน้า
“แก่นแห่งกฎเวียนวัฏสงสารหรือ?”
ยมบาลประหลาดใจ
นางในยามนี้รู้แล้วว่ากฎเวียนวัฏสงสารเป็นส่วนหนึ่งของแก่นแท้การเวียนวัฏ
เมื่อไม่นานมานี้ ซูอี้ได้ก้าวข้ามหายนะและขึ้นเป็นจักรพรรดิ ณ แท่นเกิดใหม่ และนางก็ได้เห็นความน่ากลัวของกฎเกณฑ์ที่ว่ามาแล้ว
ทว่า นางไม่คาดเลยว่าซูอี้จะรู้ถึงแก่นของกฎเหล่านี้แล้ว!
ทันใดนั้น ยมบาลก็กล่าวขึ้นเมื่อตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง “จากที่เจ้าว่า หรือปราณที่กระจายเต็มโลกเร้นลับนี่จะเป็นกฎหกวิถีเวียนวัฏที่แตกสลาย?”
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้า “ข้าใช้พลังแห่งกฎเวียนวัฏสงสารเป็น ‘แสงสว่าง’ นำทางเจ้าในโลกนี้ได้ แต่หากไม่มีมัน… เราทั้งสองจะไม่อาจขยับได้แม้เพียงชุ่น”
ยมบาลสาวอดตื่นตระหนกไม่ได้
หลังเฝ้าสังเกตเล็กน้อย นางก็พบว่าเมื่อซูอี้เดินไปข้างหน้า เศษเสี้ยวบนนภาและตลอดทางต่างนิ่งสนิท และยามที่มันสัมผัสแสงแห่งกฎเวียนวัฏสงสาร เศษเสี้ยวแห่งนภาระหว่างทางยังเป็นฝ่ายแหวกหลบเปิดทางให้เองอีกด้วย
ภาพนี้ทำให้นางแปลกใจ
“กาลก่อน เจ้ามาที่นี่ได้เช่นไร?”
ยมบาลอดถามไม่ได้
“แน่นอน สหายเก่าข้าเป็นผู้พามา”
ซูอี้ตอบเนิบ ๆ
กาลก่อน ผีเฒ่าแบกโลงเคยใช้อำนาจ ‘กฎคืนสังขาร’ เพื่อเดินทางกับซูอี้ในแดนวัฏสงสารนี้
ทั้งสองเดินไปคุยไป
ในโลกอันทรุดโทรมนี้ พลังชีวิตเหือดแห้งกันดาร ไร้สิ่งมีชีวิตใด ๆ
หลังจากเสี้ยวชั่วยามเต็ม ร่างอรชรของยมบาลสาวก็ชะงักนิ่ง คู่เนตรเบิกกว้าง “สหายเต๋า ดูนั่นสิ…”
ภูเขาหัวโล้นอันสูงชันขึ้นลูกหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ไกล ๆ
อำนาจมิติมหาศาลแผ่ออกมาจากตีนเขาราวเกลียวคลื่น พุ่งขึ้นสู่ยอดเขา สร้างภาพ ‘กระแสไหลหวนคืน’ ประจักษ์แก่สายตา
สิ่งที่น่ากลัวนั้นคือ กระแสที่ว่าเกิดขึ้นจากพลังมิติ!
บนยอดเขามีเรือสีดำลำหนึ่งลอยค้าง ยาวสิบจั้ง ทั่วลำดำสนิทดุจรัตติกาล
หลังอำนาจมิติพุ่งสู่ยอดเขา มันก็ถูกเรือสีดำนี้สูบกลืนไปอย่างต่อเนื่อง
เรือสีดำนี้ให้ความรู้สึกราวหลุมดำอันกลืนกินหมื่นพันสายนที!
ดวงตาของซูอี้พลันหรี่ลง
เขาจำได้ว่าเขาลูกนี้มีนามว่า ‘ภูเขาย้อนกระแส’ หลังจากพลังมิติย้อนสู่ยอดเขา มันจะถูกป้อนกลับสู่โลกหล้า
ทว่าคราก่อนที่เขามายังแดนวัฏสงสารนี้ เขาไม่เคยได้เห็นเรือสีดำบนยอดภูเขาย้อนกระแสมาก่อน!
“หรือจะเป็นเรือยมโลกสีดำลึกลับนั่น?”
ยมบาลเอ่ยคาดเดา ใบหน้างามดุจหยกดูแปลกใจ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเรือยมโลกลึกลับสีดำปรากฏขึ้นในส่วนลึกแห่งทะเลทุกข์ ทุกคนที่ได้เห็นมัน ไม่ว่าจะแข็งแกร่งอ่อนแอเพียงไร พวกเขาล้วนหายตัวอย่างเป็นปริศนา
การปรากฏของเรือลำนี้ถือได้ว่าเป็นต้นเหตุ ‘เหตุชุลมุนแห่งทะเลทุกข์’ ผู้ฝึกตนทั้งหลายในโลกหล้าต่างเชื่อว่าเรือสีดำนี้เป็นผู้นำพามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงมากมายในทะเลทุกข์!
กระทั่งยมราชพิพากษา ชุยหลงเซี่ยงยังหายตัวอย่างลึกลับยามได้เห็นเรือยมโลกสีดำนี้!
เมื่อพวกซูอี้มาถึง ไก่แจ้เฒ่าเคยกล่าวไว้ว่าเขาเคยได้รับจดหมายจากชุยหลงเซี่ยง บอกว่าเรือยมโลกสีดำนั้นน่าจะมาจากซากโบราณฝังเทวะ
ดังนั้น เมื่อได้เห็นเรือสีดำบนยอดภูเขาย้อนกระแส นางจึงคาดเดาเช่นนี้
“น่าจะเป็นเช่นนั้น”
ดวงตาของซูอี้ทอประกาย
เรือสีดำนี้มีรูปร่างคล้ายมัจฉาวิญญาณ หัวท้ายเรียวแคบ ส่วนกลางป่องกาง ปกคลุมด้วยหลังคา
ที่ท้ายเรือมีดาบรูปร่างประหลาดเล่มหนึ่ง
ตัวดาบ โกร่งและด้ามเรียวตรงเป็นทรง ‘ไม้กางเขน’
ที่ด้ามจับมีแหวนสีดำวงหนึ่งครอบอยู่
ดาบกางเขนเล่มนี้มีแหวนคล้องด้าม รูปทรงประหลาดตายิ่ง ทว่ายามมองไปที่มันกลับให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!
ทว่า เมื่อซูอี้จับจ้องมัน เขาพลันพบว่าเรือสีดำนี้เหมือนเป็นเงาหลอน มิใช่ของจริง
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นถนัดตาว่าดาบกางเขนที่อยู่ท้ายเรือมีปริศนาอันใดซ่อนอยู่
“ดาบนี้ทรงพลังนัก”
ซูอี้กระซิบ
ตัวดาบและโกร่งตัดกัน ดูราวผ่านภาแยกปฐพีทั่วทศทิศ มองปราดแรก ผู้คนล้วนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นเยียบดุร้ายสาดปะทะหน้าราวเผชิญการพิพากษาจากสวรรค์
และแหวนรอบด้ามนั้นให้ความรู้สึกเป็นไปไร้สิ้นสุด
การที่ด้ามจับมีแหวนครอบนั้น ดูราว ‘หนึ่งจิตไร้จุดเริ่มจุดจบ’
“แข็งแกร่งเพียงไรหรือ?”
ทันใดนั้น เสียงอ่อนหวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นราวระฆังรุ่งเช้าและเสียงกลองยามเย็น
จากนั้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนอากาศที่ห่างออกไปไม่ไกล
หือ?
ซูอี้และยมบาลร่างชะงัก ต่างฝ่ายต่างแหงนมอง
เขาเป็นชายสวมหมวกไม้ไผ่สาน แต่งกายด้วยชุดผ้า รองเท้าแตะสาน ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกซ่อนในเงาของหมวก
ทว่าหากมองใกล้ ๆ จะเห็นได้ไม่ยากว่าคนผู้นี้ดูเหมือนชายวัยกลางคนอายุสามสี่สิบปี ใบหน้าซูบผอม เคราใต้กรามพลิ้วไหวเยี่ยงกิ่งหลิว และไรผมสีขาวโพลน
ดวงตาของเขากระจ่างดุจทารก ทว่าเมื่อยามขยับไหว พวกมันดูจะบ่งบอกถึงการเปลี่ยนผันแห่งเวลา สำแดงการผันเปลี่ยนของชีวิตออกมาอย่างมิได้พยายาม
เมื่อเห็นคนผู้นี้ ยมบาลก็รู้สึกราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็งในบัดดล ร่างของเขาเย็นเยือก วิญญาณและสภาพจิตใจสัมผัสได้ถึงอันตรายถึงตาย
ร่างของนางตึงเครียดราวได้เผชิญหน้ากับมหาศัตรู
แม้ว่านางจะเป็นเพียงร่างอวตาร แต่การสังหารตัวตนทั่วไปในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำนั้นทำได้ไม่ยากเลย
ทว่ายามนี้ เพียงเผชิญหน้าชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัว นางก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอึดอัดไปหมด
เหมือนเช่นยามกวางพบพยัคฆ์ เป็นความกลัวโดยสัญชาตญาณ!
ซูอี้เองก็หรี่ตาลง ปราณของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานผู้นี้กล่าวได้ว่าเกินหยั่งคาดจริงแท้
ทว่า เขาก็ไม่ได้ประหม่าลังเล กล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “จากอาภรณ์ที่สวมใส่ เจ้าคือเจ้าของเรือลำนั้นหรือ?”
คนผู้นี้สวมหมวกไม้ไผ่สาน และหากสวมเสื้อคลุมขนสัตว์เพิ่มสักชั้น เขาจะไม่ต่างจากชาวประมงผู้จับปลาหากินเลย
แน่นอน ชาวประมงไม่อาจอยู่ได้โดยไร้เรือ
และมีเรือลำหนึ่งอยู่บนยอดภูเขาย้อนกระแส!
……….