บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1005: สระเวียนวัฏ ดาบแห่งโลกา
ตอนที่ 1005: สระเวียนวัฏ ดาบแห่งโลกา
……….
ตอนที่ 1005: สระเวียนวัฏ ดาบแห่งโลกา
เมื่อได้ยินวาจาของซูอี้ ชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานก็อดหัวเราะไม่ได้
รอยยิ้มของเขาอบอุ่น ไร้อารมณ์ใด ๆ ดูบริสุทธิ์ยิ่ง
ในน้ำเสียงอ่อนหวานของเขาเจืออำนาจที่หยั่งถึงใจผู้คน “เจ้าฆ่าลูกน้องของข้าใช่หรือไม่?”
หนึ่งประโยคนั้นทำให้พวกซูอี้พลันประจักษ์ว่าชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานผู้นี้เป็นใคร
ทูตผดุงลัทธิจากตำหนักดาราแห่งลัทธิทางช้างเผือก
ผู้ทรงอำนาจฐานะพิเศษ ผู้ที่กระทั่งชายชุดฟ้าอวิ๋นฉียังไม่ทราบชื่อ!
“ถูกต้อง”
ซูอี้กล่าวอย่างเยือกเย็น
ชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานไม่ได้แสดงโทสะแต่อย่างใด เขาแย้มยิ้มและกล่าวว่า “งั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่าดาบที่ท้ายเรือแข็งแกร่งเพียงไร?”
เขาดูจะไม่ได้สนใจความเป็นความตายของทูตผดุงลัทธิเหล่านั้นเลย
ในทางกลับกัน เขากลับใคร่รู้มากว่าซูอี้จะประเมินดาบกางเขนอันพิเศษเฉพาะนี้อย่างไร!
นี่ยิ่งทำให้ยมบาลรู้สึกกลัว
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าวว่า “มันเป็นเพียงภาพลวงตา ถึงจะดูแข็งแกร่ง ข้าก็ไม่อาจทราบว่ามันแข็งแกร่งจริงหรือไม่”
ชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานจ้องมองซูอี้อย่างลึกล้ำ กล่าวขึ้นว่า “น่าสนใจนัก ข้ารอคอยเจ้ามาแสนนานแล้ว รีบขึ้นมาสิ”
เสียงนุ่มนวลยังมิทันสร่าง ร่างของชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานก็หายวับไปอย่างไร้เสียง
ยมบาลสาวกล่าวอย่างแปลกใจ “คนผู้นี้รู้หรือว่าเจ้าจะมา?”
ซูอี้กล่าวพลางนวดหว่างคิ้ว “น่าจะเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่า… ครานี้จะพบคนรับมือยากเข้าเสียแล้ว บางทีทั้งผีเฒ่าแบกโลงและชุยหลงเซี่ยงคงถูกคนผู้นี้จับไป”
ใบหน้างามของยมบาลสาวแปรเปลี่ยนไปมาชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น ปัญหาใหญ่แน่แท้ ข้าว่าคนผู้นี้จากลัทธิทางช้างเผือกก็น่าจะต้องการเคล็ดเวียนวัฏสงสารเช่นกัน!”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “ไม่ว่าจุดประสงค์จะเป็นเช่นไร ในเมื่อเขารอให้ข้ามาที่นี่ ก็พิสูจน์ได้ว่าแผนของเขายังไม่สำเร็จ และข้าต้องมีสิ่งที่เขาต้องการ แค่นี้ก็พอแล้ว”
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวก็ได้เห็นว่าคนผู้นี้สามารถเพียงไร”
ซูอี้กล่าวจบก็ก้าวไปเบื้องหน้า
ยมบาลสาวตามเขาไป
แต่เดิม นางคิดว่าซูอี้จะเป็นกังวลเรื่องนี้ยิ่ง ทว่านางกลับพบว่าตลอดทาง ซูอี้กลับเยือกเย็นเหมือนเก่า ปราณของเขาสูงส่งสงบเงียบ ราวกับว่าแม้นภาถล่มลง เขาก็จะยังไม่ขมวดคิ้ว
ไม่นานนัก เสียงกระแสน้ำกระเพื่อมไหวก็ดังมาไกล ๆ และแสงตะวันเจิดจ้าสุดสายตาก็เผยภาพบรรยากาศอันเปี่ยมมนตร์ขลัง
ทั้งยังเห็นได้ราง ๆ ว่ามีเงาตะคุ่มของพฤกษาใหญ่สูงตระหง่าน เชื่อมนภาจรดแดนดิน!
กาลก่อนยามเยือนใกล้ เขาพบว่าพฤกษาต้นนี้ใหญ่มหึมาเกินจินตนาการ กิ่งก้านของมันแข็งแรงดุจดั่งขุนเขาใหญ่ รากชอนไชแผ่ยาวราวขนดมังกร
ทว่าสิ่งประหลาดก็คือ ครึ่งหนึ่งของพฤกษานี้ปกคลุมโดยพลังชีวิตดุจเมฆหมอกเขียวชอุ่ม
ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งแห้งเหี่ยวโรยราไร้ชีวิต ไม่มีแม้แต่ใบไม้สักใบ
หนึ่งเป็นหนึ่งตาย หนึ่งเหี่ยวเฉาหนึ่งเปี่ยมชีวิต ภาพอันตาลปัตรนี้ปรากฏขึ้นในพฤกษาต้นเดียว ช่างไม่น่าเชื่อ
ยามแรกที่เขาได้เห็นพฤกษานี้ ยมบาลสาวพลันจำคำร่ำลือหนึ่งขึ้นมาได้…
ลือกันว่าในแดนวัฏสงสารมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นเอกลักษณ์อยู่ ครึ่งหนึ่งเปี่ยมหยาง สื่อถึงชีวิตใหม่และจุดเริ่มต้น ในขณะที่อีกครึ่งเป็นหยิน สื่อถึงความตายและจุดจบ
ความเป็นความตาย รุ่งเรืองเหี่ยวเฉา หยินหยางผันเปลี่ยน วัฏจักรแห่งชีวิต!
นี่คือพฤกษาเทพเวียนวัฏ!
กล่าวกันว่ารากของพฤกษาเทพนี้เชื่อมกับวัฏสงสาร กิ่งก้านแผ่ล้ำถึงทั้งปรโลกและโลกคนเป็น และใบบนกิ่งเหล่านั้นแฝงด้วยเคล็ดเกี่ยวกับการเวียนวัฏสงสาร
ยังลือกันอีกว่าสมบัติสูงสุดแห่งภูมิมืดมิด ‘บันทึกยมโลก’ ถูกสร้างขึ้นจากชิ้นส่วนใจกลางของพฤกษาเทพเวียนวัฏ
กระทั่งลือกันว่าแม้แต่ ‘กระดานหกวิถี’ ที่กรมหกวิถีดูแล และ ‘พู่กันพิพากษา’ ในกรมตัดสินก็ยังมีความเชื่อมโยงกับพฤกษาเทพเวียนวัฏอีกด้วย!
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงคำร่ำลือ
สิ่งเดียวที่ยมบาลแน่ใจก็คือ พฤกษาศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตระหง่านค้ำฟ้าตรงหน้านางต้องเป็นพฤกษาเทพเวียนวัฏไม่ผิดแน่!
ทันใดนั้น ม่านตาของยมบาลสาวก็หดตัว
รากอันหนาแน่นที่อยู่ใต้พฤกษาเทพเวียนวัฏส่วนใหญ่แตกกระจาย ระเกะระกะอยู่ที่พื้นราวกับเศษหิน
กระทั่งยามตรวจสอบอย่างระวัง ยังพบว่าครึ่งหนึ่งของพฤกษาเทพเวียนวัฏอันเปี่ยมชีวิตยังปกคลุมด้วยปราณมรณะจาง ๆ จนกิ่งใบมากมายเหี่ยวเฉา!
“พฤกษาเทพเวียนวัฏนี้ถูกโจมตีหนักหน่วงเสียจนเสียพลังต้นกำเนิดไปมากหรือไร?”
ยมบาลลอบตกใจ
ซูอี้ทำเพียงมองไปยังพฤกษาเทพเวียนวัฏชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะหันมองไปไกล
ที่นั่นมีลำธารแห่งหนึ่งใกล้จะแห้งเหือด
มีเรือสีดำลำหนึ่งลอยเดียวดายกลางนที
รอบธารมีสนามเต๋าหกแห่ง แต่พวกมันทั้งหมดล้วนเสียหายพังทลายเป็นซากหมดสิ้น
ยามนี้เอง ร่างหนึ่งยืนเดียวดายท่ามกลางซากสนามเต๋า มองดูราวเทวรูปที่ร่วงลงสู่พื้น
เขาคือชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานที่เขาเห็นเมื่อครู่
“กล่าวกันว่านับแต่โบราณกาลจวบจนยามนี้ มีเพียงหนึ่งบุคคลที่สามารถปลุกอำนาจแห่งกาลเวียนวัฏ เปิดเส้นทางเวียนวัฏอันถูกตัดออกชั่วนาตาปีได้”
ดูเหมือนเขาจะตระหนักถึงการมาของซูอี้ ชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานปริปากเอ่ยวจีนุ่มนวลราวสุราเลิศ
เขาไม่ได้หันกลับมา แต่ทำเพียงมองกองหินอันพังทลาย
สระเวียนวัฏ!
ยามนี้เอง ยมบาลสาวจึงตระหนักว่าลำธารที่ใกล้แห้งเหือดนี้ ที่แท้ก็คือสระเวียนวัฏอันร่ำลือว่าสร้างจากกฎเวียนวัฏสงสาร!
กล่าวกันว่าเมื่อนานมาแล้ว กรมหกวิถีแห่งดินแดนปรภพควบคุมพลังส่วนหนึ่งของสระเวียนวัฏ และสามารถนำนักโทษที่กองตัดสินพิพากษาแล้วมาควบคุมการเวียนวัฏ มิให้ได้ผุดได้เกิดอย่างง่ายดาย
แน่นอน มันยังช่วยให้ผู้คนได้เวียนวัฏเกิดใหม่ได้อีกด้วย!
ทว่า นับแต่บรรพกาลแสนนาน เนื่องจากการพังทลายของดินแดนปรภพ ทุกสิ่งเกี่ยวกับสระเวียนวัฏก็ได้กลายเป็นเพียงข่าวลือเกินจริงไป
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้ตัวตนของข้าแล้วสินะ”
ซูอี้ก้าวเข้ามามองเรือสีดำที่ลอยอยู่กลางสายธาร
ก่อนหน้านี้ สิ่งที่ปรากฏอยู่บนยอดภูเขาย้อนกระแสเป็นเพียงภาพฉายของเรือลำนี้เท่านั้น ทว่ายามนี้เมื่อซูอี้ได้เห็นมันใกล้ ๆ เขาก็ตระหนักว่าเรือลำนี้พิเศษอย่างยิ่ง
แม้ธารนี้จะใกล้เหือดแห้ง แต่น้ำในธารล้วนมาจาก ‘กฎการจม’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดเวียนวัฏสงสาร!
อย่าว่าแต่จักรพรรดิทั่วไปเลย ต่อให้เป็นตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิ ขอเพียงถูกพลังกฎการจมเข้า พวกเขาจะจมอยู่ในธาร ร่างวิถีระเบิดแหลก และวิญญาณจะจมสู่ก้นบึ้งตลอดกาล!
ทว่ายามนี้ เรือสีดำกลับลอยอยู่เหนือธาร ดำสนิทดุจหมึก เหมือนเหล็กแต่ก็ไม่ใช่ ไม่อาจมองเห็นลักษณะพื้นผิวได้ ทว่ามันกลับสามารถฝืนกฎการจมได้!
จินตนาการได้เลยว่าเรือลำนี้น่าทึ่งเพียงไร
“เดาตัวตนเจ้าได้ไม่ยากหรอก อย่าว่าแต่ข้ารอเจ้าที่นี่มาแสนนาน ย่อมรู้ดีว่าในภูมิดาราฟ้าดินอันกลายเป็นปิตุภูมิเวิ้งดารามาแสนนานนี้ นอกจากผีเฒ่าแบกโลง ก็มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เข้ามายังที่แห่งนี้ได้”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานก็หันหน้ามามองซูอี้ด้วยแววตากระจ่างราวทารก “นั่นก็คือเจ้า ซูเสวียนจวิน”
วาจาของเขานุ่มนวลอ่อนหวานดุจสายลมวสันต์ ราวบทสนทนาระหว่างสหายเก่า ทำให้ผู้คนรู้สึกครั่นคร้าม
ขณะนี้หัวในของยมบาลสาวตึงเครียดอย่างไม่เคยปรากฏ
ยิ่งติดต่อกับชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานผู้นี้ เขายิ่งน่าหวาดกลัว ตัวตนเช่นยมบาลผู้ฝึกฝนมาแสนนานสัมผัสได้ถึงแรงกดดันราวได้พบเทพ!
ซูอี้แค่นเสียงหึ
เขาเมินชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานแล้วมองไปยังท้ายเรือ
มีดาบกางเขนวางอยู่ที่นั่น
ทว่ามันไม่ใช่แค่ภาพฉาย ซูอี้มองปราดเดียวก็เห็นว่าที่ใจกลาง ‘กางเขน’ จากตัวดาบและโกร่งมีข้อความสองคำสลักไว้อย่างเรียบง่าย
‘โลกา’!
ลายมือที่สลักอักษรทั้งสองไว้ช่างธรรมดาเสียจนไร้ร่องรอยเสน่ห์พิเศษเฉพาะ
เหมือนเช่นสิ่งทั่วไปที่หาได้ในโลกหล้า
ดาบศึกอันสามารถแหวกโลกาสยบทศทิศ โกร่งคล้องด้วยวงแหวน เผยเสน่ห์สมบูรณ์แบบ
คำว่า ‘โลกา’ ซึ่งสลักไว้บนดาบนี้เป็นดั่งอสนีบาตฟาดลงมาสู่ร่างกายของซูอี้ ก่อให้เกิดความรู้สึกอ้างว้างอย่างไม่อาจอธิบาย
มันดูอ้างว้าง ดูผิดหวัง ราวถูกฝังในโคลนคม เผยความอ้างว้างเหน็บหนาวสู่โลกหล้า!
“นี่…”
หัวใจของซูอี้สะท้านสั่นเล็กน้อย ดวงตาลึกล้ำจมในภวังค์อย่างหาได้ยาก
มันเป็นเพียงดาบเล่มเดียว ทว่ากลับให้ความรู้สึกอ้างว้างเดียวดายยามวางอยู่เงียบ ๆ!
น่าอัศจรรย์โดยไม่ต้องสงสัย
“ยามนี้ เจ้าคิดเช่นไรกับดาบนี้เล่า?”
ชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานถามยิ้ม ๆ
มือของเขาไพล่หลัง เสียงสงบนิ่งดุจระฆังยามเช้าและเสียงกลองยามเย็นสะท้อนทั่ว ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงเสน่ห์อันไม่อาจมองเห็น ดุจเทพเซียนอันห่างเหินจากโลกา!
“ดาบนี้ไม่ใช่ของเจ้า”
ซูอี้กล่าวตรง ๆ “และดาบนี้กดข่มพลังต้นกำเนิดของเรือสีดำนั่นไว้ จองจำไม่ให้ไปไหน”
ชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานตะลึงอึ้ง ดวงตาแปรเปลี่ยนละเอียดอ่อน
เขาจ้องนิ่งไปยังชายหนุ่มชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างสระเวียนวัฏ สัมผัสได้ถึงความสุขุมนุ่มลึกอันแผ่จากร่างชายหนุ่ม สีหน้าของเขาดูซับซ้อนเล็กน้อย
“ข้าต้องบอกว่า เจ้าดูเหมือนสหายเก่าที่ข้ารู้จักจริงแท้”
ชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานรำพึง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความผันผวนแห่งชีวิตราวกำลังระลึกความหลัง “ทว่า เจ้าไม่ได้มีความหยิ่งผยองสะเทือนจักรวาลพร่างดาวเช่นเขา”
หลังชะงักไป เขาก็พึมพำอย่างเปี่ยมอารมณ์ “คนผู้นั้นเคยกล่าวไว้ว่า ‘แม้จะมีเทพเซียนเหนือนภา แต่ต่อหน้าข้าต้องก้มหัวคำนับ! หาไม่ ต่อให้เป็นเทพเซียนข้าก็ฆ่าได้!’”
ท้ายที่สุด ชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย
ซูอี้เลิกคิ้ว “สหายเก่าผู้นั้นของเจ้าบ้าดีแท้”
เขาชี้ไปยังดาบกางเขนซึ่งอยู่บนเรือสีดำกลางนที “ดาบแห่งโลกานั้น เป็นเขาที่ทิ้งไว้ ดาบนี้ของเขาทำลายอำนาจฝึกฝนที่ข้าตรากตรำมาครึ่งชีวิตด้วยทั้งหัวใจและวิญญาณ! มันเหมือนเป็นตรวนจองจำบนเรือข้า…”
แววตาของชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานดูซับซ้อนอย่างมาก จากนั้นเขาก็ถอนใจอย่างชื่นชม ทว่าก็ยังแฝงความเกลียดชังและหวาดกลัว!
ซูอี้กล่าวอย่างสะเทือนใจ “เช่นนั้น หากสหายเก่าที่เจ้าว่าเป็นเจ้าของดาบนี้ เขาก็ต้องเป็นตัวตนผู้โดดเด่นแน่แท้”
ดาบกางเขน ‘โลกา’ พิเศษเพียงไร?
และเจ้าของดาบนี้ ไม่เพียงสามารถทำให้ชายวัยกลางคนสวมหมวกไม้ไผ่สานทั้งเกลียดทั้งกลัวได้ แต่ยังทำให้เขาต้องให้เกียรติยำเกรงสามส่วน ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าต้องเป็นผู้แข็งแกร่งแน่แท้!
“เขาเป็นใครกัน?”
ยามนี้ ความใคร่รู้ของซูอี้ถูกกระตุ้นขึ้นเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
……….