บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1006: ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเต็มหัวใจ
ตอนที่ 1006: ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเต็มหัวใจ
……….
ตอนที่ 1006: ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเต็มหัวใจ
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเงียบอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวว่า “ทัศนาจารย์”
เพียงวาจาไม่กี่คำ แต่ดูหนักหนาราวขุนเขาบรรพกาล!
หลังจากชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกล่าวจบ เขาก็พ่นลมหายใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เขาคือ ‘ผู้ทัศนาโลกหล้า’”
ผู้ทัศนาโลกหล้า!
ทัศนาจารย์!
เพียงคาดเดาจากอารมณ์แปลก ๆ ในน้ำเสียงและสีหน้าของคนผู้นั้น ซูอี้ก็ตระหนักว่า ‘ผู้ทัศนาโลกหล้า’ นี้จะต้องมีอำนาจน่ากลัวยิ่ง
หาไม่ ตัวตนอันมีอำนาจเกินหยั่งคาดเช่นชายสวมหมวกไม้ไผ่สานคงไม่มีวันเผยความผิดปกติเช่นนี้ยามกล่าวถึงอีกฝ่าย
สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับกิริยาอ่อนโยนแต่เฉยเมยของเขาอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่า ซูอี้เองก็ได้เห็นแล้วว่า ‘ดาบแห่งโลกา’ ร้ายกาจเพียงใด
ในเมื่อชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเคยบอกว่าดาบแห่งโลกาของทัศนาจารย์เคยทำลายวิถีเต๋าอันได้มาอย่างยากลำบากของเขาได้ การแสดงออกเช่นนี้คงไม่เป็นการลวงหลอก
จากเรื่องทั้งหมดนี้ก็พออนุมานได้ว่า ‘ทัศนาจารย์’ ผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด!
ทัศนาจารย์?
ยมบาลสาวงุนงง
นางมาจากห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว และเป็นจ้าวเรือนจำที่เจ็ดของหอเก้าสวรรค์ มีตำแหน่งสูงส่งและวิชาล้ำลึก ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเกี่ยวกับ ‘ผู้ทัศนาโลกหล้า’ และตำแหน่งทัศนาจารย์
อันที่จริง ยมบาลเงียบมานับแต่การสนทนาของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานและซูอี้เริ่มขึ้น จวบจนยามนี้
นางไม่อาจเข้าใจได้ว่าลัทธิทางช้างเผือกส่งตัวตนอันแข็งแกร่งเกินคาดเดาเช่นชายสวมหมวกไม้ไผ่สานมาตั้งแต่ยามใดกัน
สิ่งนี้ดูผิดปกติมาก
ควรค่าจดจำว่าหอทั้งสามแห่งลัทธิทางช้างเผือก ตำหนักสุริยัน ตำหนักจันทรา และตำหนักดารานั้นใกล้เคียงกับสามผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์
สิ่งนี้ทำให้ยมบาลตระหนักมากขึ้นทุกทีว่าฐานะของชายผู้นี้ในลัทธิทางช้างเผือกไม่มีทางเรียบง่ายเยี่ยง ‘ทูตผดุงลัทธิ’ เป็นแน่!
“อย่าพูดกันเรื่องนี้เลย ข้ารอคอยมาหลายปี และในที่สุดก็ถึงเวลาที่เจ้ามาเสียที ได้เวลาเข้าเรื่องแล้ว”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกลับมายิ้มอย่างอบอุ่น
ทว่าบรรยากาศรอบกายกลับกดดันขึ้นมาอย่างเงียบงัน
ซูอี้กล่าว “เข้าเรื่องก็ได้ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าต้องการทราบก่อนว่าผีเฒ่าแบกโลงกับชุยหลงเซี่ยงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานขมวดคิ้ว พลางรำพึงเบา ๆ “ยุ่งยากนิดหน่อยแล้วสิ”
ซูอี้หัวใจหล่นวูบ “เจ้าฆ่าพวกเขาแล้วหรือ?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานชี้ไปยังเรือสีดำที่อยู่ใจกลางสระเวียนวัฏ “เจ้าดูเองเถอะ”
ขณะที่นิ้วของเขายังคงชี้ค้างอยู่ตรงนั้น เรือสีดำก็สั่นน้อย ๆ ก่อนจะเกิดลำแสงพุ่งขึ้นเป็นม่านกลางอากาศ
นั่นคือภาพที่เกิดขึ้น ณ ก้นสระเวียนวัฏ
ร่างของเขาปริแตกทีละน้อย เลือดเนื้อละลายหลอม ทว่าเขาก็ยังใช้สองมือค้ำก้นเรือ ผิวส่วนแขนของเขาแหลกสลายไปนานแล้ว กระทั่งกระดูกที่เผยออกมายังแตกร้าวหลายจุด
ป่าเถื่อนรุนแรง!
ผีเฒ่าแบกโลง!
ซูอี้ตะลึงอึ้ง
เห็นได้ชัดว่าเจ้าเฒ่าผู้นี้ถูกกดไว้ใต้น้ำนานแล้ว เขาบาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย!
ยามนี้ ยมบาลสาวพลันตระหนักได้ว่าร่างสูงของซูอี้เกร็งนิ่งเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูเรียบเฉยสงบนิ่งอย่างที่สุด!
นี่คือสัญญาณแห่งโทสะของซูอี้
ยามเขาเผชิญกับศิษย์ของเขาอย่างฮั่วเหยา เขาก็เป็นเช่นนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผีเฒ่าแบกโลงทำให้ซูอี้โกรธแล้ว!
“ยามข้ามาถึง ณ ที่นี้ ข้าเคยขอให้เขาสอนเคล็ดเวียนวัฏสงสารแก่ข้า แต่เขากลับปฏิเสธไม่ชี้แนะ ด้วยความสิ้นหวัง ข้าจึงทำได้เพียงใช้เคล็ดวิชาขังเขาไว้ที่นี่”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานรำพันพลางส่ายหน้า “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าไฉนเขาต้องดื้อดึงเพียงนี้ด้วย”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง จึงถามว่า “ชุยหลงเซี่ยงอยู่หนใด?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานตอบ “ข้าไม่รู้ว่าเขาคือผู้ใด แต่ข้าคิดว่าเขาน่าจะอยู่ที่นั่น”
เขากล่าวพลางยกมือขึ้นเล็กน้อย
เรือสีดำกลางสระพลันเรืองแสง สะท้อนภาพที่อยู่ภายในออกมา
ที่แท้ในเรือยาวสิบจั้งนี้กลับมีจักรวาลอื่นซุกซ่อนอยู่ มันเหมือนสุญญะกว้างใหญ่ที่มีหมู่ดาวเคลื่อนคล้อยอยู่ในนั้น
ท่ามกลางหมู่ดาวนั้นมีดาวฤกษ์สุกสกาวด้วยเพลิงทิพย์มากมาย มองปราดแรกแล้ว ทั่วหมู่ดาวดูสว่างไสว เจิดจ้าส่องสว่างแก่ทศทิศ พร่างพรายไร้ประมาณ!
ณ ศูนย์กลางหมู่ดาวนั้นมีกรงขังขนาดยักษ์อันสร้างจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์อยู่
มีร่างผู้คนมากมายถูกจองจำในนั้น
และที่มุมหนึ่งของห้องขังมีชายชราสวมมงกุฎสูงในอาภรณ์โบราณ หนวดเครารุงรังผู้หนึ่งนั่งหลับตาไม่ไหวติงอยู่
เมื่อเห็นชายชราผู้นั้น ดวงตาของซูอี้ก็หรี่ลง ชุยหลงเซี่ยง!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรือสีดำลำนี้คือเรือยมโลกสีดำลึกลับที่สร้างความอลหม่านทั่วโลกหล้าตลอดสิบปีมานี้!
ผู้คนที่ถูกจองจำในกรงขังธารดาราก็คือยอดฝีมือผู้หายตัวไปในทะเลทุกข์เมื่อนานมาแล้ว!
“ละอายนักที่ต้องพูดว่า เพื่อดึงความสนใจของเขา ซูเสวียนจวิน ข้าจึงต้องใช้อำนาจของเรือลำนี้สร้างกระแสในโลกภายนอกบ้าง เพื่อที่ผู้คนจะสังเกตเห็นการผุดขึ้นของพิภพยมราชฝังวิถี”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานหัวเราะขำตนเอง “หากไม่ใช่เรื่องนี้ ข้าคงดูแคลนเกินกว่าจะใช้วิธีการเอาแน่ไม่ได้นี้”
จากนั้นเขาก็มองไปยังซูอี้ “โชคดีนักที่สุดท้ายเจ้าก็มา การรอคอยและเตรียมการหลายปีของข้าไม่ได้เสียเปล่า”
ยามนี้เอง ยมบาลจึงตระหนักว่าจุดประสงค์สูงสุดที่เรือยมโลกสีดำนั้นปรากฏขึ้นคือการลวงซูอี้ให้เข้ามาหานั่นเอง!
เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจนางก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้ทรงเกียรติ เขาในอดีตวางตัวงดงามเช่นไร?
ทว่าหลังเวียนวัฏสงสารกลับมายังทะเลทุกข์ ศิษย์แท้ ๆ ของเขาอย่างฮั่วเหยากลับใช้ชายชราตาบอดและจ้าวบรรพตเมืองท้อเป็นเหยื่อ พยายามจับตัวเขา
ทว่าใครเล่าจะคิด ว่านี่เป็นเพียงบทโหมโรง
หลังจากมาถึงสระเวียนวัฏนี้ พวกนางจึงได้ประจักษ์ว่ามีใครบางคนวางแผนโดยใช้ผีเฒ่าแบกโลงเป็นตัวประกัน และใช้เรือยมโลกสีดำเป็นเหยื่อล่อซูเสวียนจวินให้มาหาตั้งหลายปีแล้ว!
ถูกศิษย์ลวง ศัตรูภายนอกหลอก ทุกครั้งดูเหมือนปลาติดเบ็ด ผ่านการล่าสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า!
ยมบาลถามตนเอง หากเปลี่ยนเป็นนาง เกรงว่าคงถูกโทสะบังตาจนไล่ฆ่าไม่เลือกหน้าไปแล้ว
ทว่านางก็ต้องแปลกใจที่เห็นซูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว เจ้าปล่อยพวกเขาไปได้หรือไม่?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานส่ายหน้า “พวกเขาไม่ใช่ตัวประกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะแลกเปลี่ยน…”
เขาเงยหน้ามองซูอี้ด้วยนัยน์ตากระจ่าง พร้อมกับกล่าวทั้งรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าต้องใช้ชีวิตผู้อื่นมาขู่ให้เจ้ายอมสยบด้วยหรือ?”
เขาสวมชุดผ้า รองเท้าฟาง การวางตัวดูอบอุ่นนุ่มนวลราวสายลมยามวสันต์
หัวใจของยมบาลสาวสั่นระรัว ในชั่วขณะนั้นนางรู้สึกราวไม่ได้เผชิญหน้ากับมนุษย์ แต่เป็นมหาจักรวาลกว้างใหญ่ ลึกล้ำ และไร้ขอบเขต!
มันทำให้ผู้คนรู้สึกเล็กจ้อยราวฝุ่นทราย
ซูอี้หรี่ตาลงอย่างเงียบ ๆ เขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเช่นกัน
วาจาของเขาเฉยชามากขึ้นทุกที “หมายความว่า ต่อให้ข้าส่งสิ่งที่เจ้าอยากได้ไป เจ้าก็จะไม่ปล่อยพวกเขาไปหรือ?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานพยักหน้าและอธิบายต่ออย่างอดทนอดกลั้น “ผีเฒ่าแบกโลงไม่รู้กาลเทศะ เขาควรถูกลงโทษ ส่วนตัวตนที่ถูกขังอยู่ใน ‘กรงธารดารา’ นั้น เป็นความผิดพวกเขาเองที่โลภมากจนถูกขัง อาจจะดูทำตามอำเภอใจถือตนเป็นใหญ่ แต่นั่นคือมุมมองของเจ้า ในสายตาข้า พวกเขา… สมควรรับโทษ!”
ซูอี้กล่าวเสียงห้วน “บอกข้าสิ เจ้าคิดจะทำอันใดที่นี่?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าต้องการเคล็ดเวียนวัฏสงสารที่แท้จริง ไม่ใช่เศษเคล็ดเวียนวัฏสงสารที่กระจัดกระจายในโลกนี้ เจ้าเคยเปิดหนทางเวียนวัฏในสระเวียนวัฏนี้มาก่อนแล้ว และกลับมาอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเจ้าควรรู้ดีที่สุด และข้าต้องการสิ่งนั้น”
เคล็ดเวียนวัฏสงสารที่แท้จริง?
ยมบาลตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะพลันนึกเรื่องบางอย่างออก
ไม่ว่าจะเป็นศิลาหลุมศพในเมืองมรณะ หรือแท่นเกิดใหม่ในภูเขาน้ำเต้าเซียนต่างมีกฎเวียนวัฏสงสารส่วนหนึ่งตราเอาไว้
นางเพิ่งมารู้เอาภายหลังจากซูอี้ว่าไม่ได้มีพลังกฎเกณฑ์เพียงหนึ่งที่นำมาประกอบเป็นการเวียนวัฏ
เหมือนเช่นกฎเวียนวัฏสงสารในแท่นเกิดใหม่และกฎการจมแห่งสระเวียนวัฏ พวกมันล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดเวียนวัฏสงสารทั้งสิ้น
ทว่าไม่มีส่วนใดของพวกมันเลยที่หมายถึงการเวียนวัฏ!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานต้องการคือเคล็ดเวียนวัฏสงสารอันสมบูรณ์!
เมื่อได้ยินคำพูดของชายสวมหมวกไม้ไผ่สาน ซูอี้ก็ไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด
เขานวดหว่างคิ้วพลางกล่าวว่า “หากข้ารู้แต่แรก ก็ไม่จำเป็นต้องพูดมากเลย หากฆ่าเจ้าเสียก็จบปัญหาได้แล้วแท้ ๆ”
จากนั้นเขาก็หยิบน้ำเต้าสามชุ่นออกมาจากข้างเอว และถือมันไว้ในมือ
“ฆ่าข้า?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวขึ้นราวกับสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ในภูมิดาราฟ้าดินที่เหมือนปิตุภูมิเวิ้งดารานี้ เจ้าอาจเป็นหนึ่งในโลกหล้า หนึ่งดาบปกครองพิภพในอดีตชาติได้ แต่ในสายตาข้า เจ้าในอดีตชาติเองก็อ่อนแอนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามนี้… ที่เจ้าอ่อนด้อยยิ่งกว่าอดีตชาติมากนัก”
วาจานั้นไม่ได้ดูแคลน แต่การวางตัวและความหมายของวาจานั้นเหมือนก้มมองลงมาจากที่สูง!
ทว่าเมื่อเขาได้เห็นน้ำเต้าสามชุ่นในมือซูอี้ เขาก็อดแสดงสีหน้าแปลกใจออกมาไม่ได้ “สมบัตินี้ไม่เลวเลย หายากจริงแท้ เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าตั้งมั่นจะสู้แล้ว ก็ให้มันเกิดเถอะ ข้าจะ… ทำให้เจ้าเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้เอง”
วาจาอันอบอุ่นของเขายังไม่ทันสิ้นประโยค
เคร้ง!
เสียงครวญดาบกระจ่างใสพลันระเบิดขึ้น
น้ำเต้าหยกเขียวในมือซูอี้ระเบิดแสงสีเขียวใสออกมา
ยามนี้ ดวงตาของยมบาลสาวเจ็บแปลบ ร่างของนางหนาวเยือก
ตู้ม!
ก่อนนางจะทันได้มีปฏิกิริยา เสียงระเบิดก็ดังขึ้นสนั่นแดนดิน
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ดุจดาวฤกษ์ลุกไหม้ระเบิดออกมาตรงหน้าซูอี้สามจั้ง
พื้นที่โดยรอบพลันปรากฏคลื่นทลายล้างแพร่กระจายอย่างรุนแรง
ไกลออกไป ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานอุทานอย่างแปลกใจ “ดาบเร็วนัก!”
ก่อนหน้านี้ยามสนทนา ขณะที่ในใจยังครุ่นคิด แสงดาราสว่างไสวได้ปกคลุมรอบกายซูอี้อย่างเงียบงัน มันพยายามสังหารซูอี้ในพริบตา
ใครเล่าจะคิดว่าซูอี้จะสังเกตเห็นมันทันที และใช้หนึ่งดาบทำลายมันสิ้น!