บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 101 ตัดลิ้น
เมื่อเห็นนายหญิงชุ่ยอวิ๋นและคนอื่นเข้ามาในห้องโถง เฉินจินหลงและสหายต่างตื่นเต้นดีใจ แลมองเห็นความหวังที่จะได้รับการช่วยเหลือ
เพียงเพราะพฤติกรรมเอาแต่ใจของซูอี้ตอนนี้ พวกเขาจึงทำได้แค่แสดงสีหน้าขอความช่วยเหลือ แต่ไม่กล้าเอ่ยปากร้องขออย่างชัดเจน
พวกเขาทั้งหมดรู้ว่าหลังจากที่ซูอี้สังหารคนแล้ว อีกฝ่ายยังกล่าวถ้อยชัดเจนว่าต้องการให้คนของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์มาที่นี่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือใด?
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงนิ่งเฉยไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับช่วงวิกฤต
“คุณชายรอข้าอยู่หรือ?” นายหญิงชุ่ยอวิ๋นท่าทีสงบพลางกล่าวคำเบา
ซูอี้พยักหน้ากล่าวตอบ “ไม่เลว”
แม้นายหญิงชุ่ยอวิ๋นจะมาด้วยตนเอง เขากลับไม่ได้มีท่าทีว่าจะลุกขึ้น สีหน้ายังคงราบเรียบดั่งสายน้ำ
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นดูจะไม่สนใจ นางลอบถอนหายใจ “หากเป็นคนธรรมดาที่ฆ่าฟันกันในภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ข้าคงไม่อาจนิ่งเฉย แต่ท้ายที่สุดคุณชายก็ไม่ใช่คนธรรมดา จึงเป็นเรื่องยากแก่ข้าอยู่บ้าง”
ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น เฉินจินหลงและคนอื่นต่างตะลึงงัน
หรือว่าเบื้องหลังซูอี้ จะยังมีตัวตนที่น่าหวาดเกรงยิ่งอยู่อีก?
คิดได้ดังนี้ หัวใจสั่นไหว แอบขอบคุณตัวเองที่ไม่ร้องขอความช่วยเหลือในทันที ไม่เช่นนั้นแล้ว… ผลที่ตามมาจะเลวร้ายยิ่งกว่า!
“ป้ายนั้นใช้ไม่ได้หรือ?” ซูอี้ถามด้วยรอยยิ้ม
ก่อนที่นายหญิงชุ่ยอวิ๋นจะคิดกล่าวคำใด ชายชราหนวดเครายาวอดไม่ได้จะกล่าวขึ้น “ข้าขอเสียมารยาทถามนามของคุณชายได้หรือไม่?”
เฉินจินหลงและคนอื่นสับสนเล็กน้อย สถานการณ์นี้คืออะไรกัน?
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นและผู้ดูแลออกมาต้อนรับด้วยตนเอง แม้กระทั่งจัดงานเลี้ยงบนชั้นเก้าอย่างยิ่งใหญ่ แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัวตนของซูอี้ด้วยซ้ำ เป็นไปได้อย่างไร?
ชายหนุ่มร่างกายสั่นเทาคนหนึ่งกล่าวตอบ “ศิษย์พี่ผู้นี้ เขาเป็นอดีตสหายร่วมสำนักของเรามีนามว่าซูอี้ ท่าน…ท่านไม่รู้จักเขาหรือ?”
อาวุโสหลีและนายหญิงชุ่ยอวิ๋นหันมองกันครู่หนึ่ง ก่อนตระหนักได้ว่าการคาดเดาก่อนหน้าผิดเพี้ยนทั้งหมด
เด็กหนุ่มชุดเขียวนี้ไม่ใช่ทายาทคนสำคัญของตระกูลเซียว!
“ซูอี้?”
อาวุโสหลีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หวนนึกบางสิ่งได้และกล่าวออก “หัวหน้าศิษย์สายนอกสำนักดาบชิงเหอที่ถูกทอดทิ้งเมื่อปีก่อนใช่หรือไม่?”
“ถูกต้องแล้ว”
คราวนี้หลายคนพยักหน้ารับ พวกเขาล้วนประหม่าจนไม่กล้าหันมองซูอี้
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” อาวุโสหลีอดหัวเราะไม่ได้ เพราะคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่น่าขบขันไปมากกว่านี้ในโลกหล้าแล้ว
ใครจะคาดคิดว่า ชายหนุ่มที่เขาและนายหญิงชุ่ยอวิ๋นปฏิบัติตัวดั่งแขกผู้ทรงเกียรติ แท้จริงแล้วเป็นเพียงคนพิการสูญเสียการบ่มเพาะเช่นนี้?
“หึ ยิ่งข้าแก่ตัวก็ยิ่งขี้ขลาด เกือบถูกคนหนุ่มหลอกเข้าแล้ว”
อาวุโสหลีหัวเราะเยาะตัวเอง
ได้รับฟังถ้อยคำเหล่านี้ เฉินจินหลงและคนอื่นจึงประหลาดใจยิ่ง
ถูกหลอก?
หรือว่าที่ซูอี้จัดงานเลี้ยงในโถงธารคีรีครั้งนี้ได้ เพราะเขาหลอกลวง?
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามวูบไหว “คุณชายซู ขอเสียมารยาทถาม แต่ท่านได้ป้ายหยกม่วงมาจากที่ใด?”
“เซียวเทียนเชวี่ยมอบให้” ซูอี้กล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เซียวเทียนเชวี่ย!
ดวงตานายหญิงชุ่ยอวิ๋นหดลีบลง
อาวุโสหลีอดไม่ได้จะเยาะเย้ย “ผู้อาวุโสเซียวเป็นยอดยุทธ์ชื่อเสียงก้องโลก ตัวตนของเขาสูงพอจะทำให้ข้าเงยหน้าขึ้นมองได้ แล้วการดำรงอยู่ของผู้สูงศักดิ์ดังกล่าวจะมอบป้ายหยกม่วงแก่ศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งของสำนักดาบชิงเหออย่างเจ้าได้อย่างไร?”
“ไร้สาระ!”
คำพูดไร้สาระในตอนท้าย เปรียบเหมือนเสียงฟ้าร้องระเบิดก้อง ทำให้หูของทุกคนอื้ออึง
ทุกคนล้วนเห็นอาวุโสหลีเคืองโกรธ
สิ่งนี้ทำให้เฉินจินหลงและคนอื่นตื่นเต้นไม่น้อย ไม่คาดคิดเลยว่าซูอี้จะถูกสงสัยว่าเข้ามาโดยแอบแฝงบารมีผู้อื่น!
นี่เทียบเท่ากับการหลอกลวงภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ใช่หรือไม่?
ด้วยเหตุผลนี้ จุดจบของซูอี้ในตอนท้ายจะกลายเป็นดีได้อย่างไร?
ในเวลานี้เฝิงเสี่ยวเฟิง เฝิงเสี่ยวหราน และอาเฟยต่างก็กังวลและสงสัย
ซูอี้ดูเหมือนจะคาดเดาไว้แล้ว เขาหันมองพลางกล่าวถ้อยคำอ่อนโยน “อย่ากังวลเลย หากชายชราผู้นี้กล้าส่งเสียงอีก ข้าจะตัดลิ้นเขาให้เอง”
ทันทีที่ถ้อยคำเหล่านี้ถูกกล่าวออก สีหน้าอาวุโสหลีพลันหม่นหมอง ก่อนจะระเบิดหัวเราะด้วยความเคืองโกรธ
ขณะปากคิดเอ่ยคำออก นายหญิงชุ่ยอวิ๋นกล่าวห้ามปรามอย่างเย็นชา “อาวุโสหลี ข้าจดจำป้ายหยก ไม่ใช่บุคคล! ป้ายหยกม่วงนี้อยู่ในมือของคุณชายซูอี้ ดังนั้นเขาจึงเป็นแขกผู้มีเกียรติของข้าในภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์!”
ท่าทีผู้อาวุโสหลีชะงักงันและแปรผันเล็กน้อย
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นหันกลับมามองซูอี้พลางเอ่ยคำเบา “คุณชายซู อำนาจของป้ายหยกม่วงทำให้ข้าเคารพก็จริง แต่เรื่องวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขได้ด้วยป้ายหยก”
“ท้ายที่สุดพวกเราคือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ หาใช่ตระกูลเซียวไม่ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถช่วยเหลือคุณชายจัดการปัญหาที่กำลังจะตามมา”
ความหมายในถ้อยคำคือ แม้ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์จะเพิกเฉยการกระทำของซูอี้ แต่ก็จะไม่ช่วยเช่นกัน ซึ่งเทียบเท่ากับการนั่งชมอยู่ข้างสนาม
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าป้ายหยกนี้จะมีประโยชน์มาก”
“สิ่งใดที่เรียกว่ามีประโยชน์มาก?”
ผู้อาวุโสหลีอดไม่ได้จะกล่าวประชดประชัน “หากป้ายหยกนี้อยู่ในมือทายาทตระกูลเซียว ข้าจะยอมเป็นผู้ยกน้ำชามาให้เอง!”
เป็นศิษย์ถูกทอดทิ้งของสำนักดาบชิงเหอ แต่ยังกล้าดูถูกป้ายหยกม่วง นี่คือสิ่งที่คนทั่วไปจะพูดกันหรือ!?
“แม้ต้องการยกน้ำชามาให้ แต่เจ้าก็ยังห่างไกลจากคุณสมบัตินั้น” ซูอี้ส่ายศีรษะ ชายชราผู้นี้ไร้สาระเกินไป
อาวุโสหลีตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หน้าอกจะกระเพื่อมขึ้นด้วยความโกรธ ใบหน้าชราเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ถ้อยคำโกรธเคืองถูกกล่าวออก “นายหญิง ท่านเห็นหรือไม่ว่าเจ้าเด็กนี่มันบ้าแค่ไหน!”
คิ้วโก่งของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นขมวดเข้าหากัน นางถอนหายใจกล่าว “อาวุโสหลี ช่วยอดทนด้วย เห็นแก่หน้าเจ้าของป้ายหยกม่วงนี้!”
ความขุ่นเคืองเจือปนอยู่ในถ้อยคำ
แต่นางก็รู้สึกเช่นกันว่า ถ้อยคำของซูอี้ที่กล่าวมานั้นเย่อหยิ่งเกินไป
ฉากนี้ทำให้เฉินจินหลงและคนอื่นร่างกายสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าซูอี้ไม่ใช่เจ้าของป้ายหยกม่วงนี้
แต่ด้วยป้ายแผ่นเล็กนี้เอง นายหญิงชุ่ยอวิ๋นกลับทำได้เพียงอดกลั้นไว้!
“ช่างเถอะ ผู้เฒ่าชราคนนี้ไม่คิดนำคำพูดของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาใส่ใจ” อาวุโสหลีสูดหายใจลึกอย่างเย็นชา
“คุณชายซู ท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร?” ดวงตานายหญิงชุ่ยอวิ๋นหันกลับมาหาซูอี้อีกครั้ง
นางอยากรู้ว่าชายหนุ่มผู้เงียบขรึมและเฉยเมยนี้จะรู้สึกอย่างไร หลังจากรู้ว่าภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขา
ใช้ป้ายหยกม่วงเพื่อกดดันตระกูลเหนียนและตระกูลเหยียนให้ยอมรับผิดหรือ?
เกรงว่าจะไม่ง่ายดายนัก
ในสายตาของตระกูลเหล่านั้น แม้จะหวาดเกรงต่อป้ายหยกม่วง แต่พวกเขาก็กล้าลอบจัดการกับซูอี้อย่างเงียบงันภายหลังแน่
ท้ายที่สุด ตัวตนของซูอี้ในฐานะศิษย์ที่สำนักดาบชิงเหอทอดทิ้งนั้นไม่ค่อยน่าเชื่อถือ นอกจากนี้เรื่องราวความเป็นมาของเขาก็ไม่ใช่ความลับในเขตปกครองอวิ๋นเหอ
แม้เรื่องนี้จะยังไม่ได้รับการคลี่คลาย แต่มันจะส่งผลต่อสหายรอบตัวด้วย!
ซูอี้ดื่มสุราในจอกและกล่าวอย่างเฉยเมย “คิดว่าข้าจะเอาป้ายหยกนั้นกลับมาและปล่อยให้ที่นี่ตามเช็ดตามล้างเรื่องเลอะเทอะนี้หรือ? ผิดแล้ว ข้าแค่รอให้เจ้ามา เพื่อบอกกล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์วันนี้เป็นฝีมือของข้าซูอี้!”
หลังจากหยุดชั่วขณะ ซูอี้กล่าวต่อ “แน่นอนว่า ข้าต้องการเห็นท่าทีของเจ้าด้วย ว่าจะเข้ามาแทรกแซงหรือเลือกเป็นศัตรูกับข้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะฉลาดกว่าที่คิด”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นตกใจ
อาวุโสหลีอดเย้ยหยันออกมาไม่ได้ “โอ้ พูดจาวางท่าใหญ่โต ผู้เฒ่าชราอยากจะเห็นเสียจริงว่าคุณชายซูจะแก้ปัญหานี้อย่างไร”
ซูอี้ยิ้มเล็กน้อย “ตาเฒ่า เจ้ายั่วยุข้าครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่าข้าไม่กล้าตัดลิ้นของเจ้าจริงหรือ?”
“เจ้า…” ใบหน้าอาวุโสหลีบิดเบี้ยวดูน่าเกลียด
ขณะปากคิดเอ่ยคำออก
น้ำเสียงประหลาดใจดังขึ้นจากนอกโถง “ตัดลิ้นหรือ? น่าสนใจนัก!”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีม่วงพร้อมมงกุฎขนนกเดินเข้ามา
ดวงตากวาดมองทั่วห้องโถงประหนึ่งเข้าใจสถานการณ์อันคลุมเครือนี้ รอยยิ้มปรากฏพลางกล่าวออก “คุณชายซู ให้ข้าเดา ต้องมีเจ้าคนตาบอดบางคนสร้างความขุ่นเคืองให้ท่านเป็นแน่ แม้จะไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่คงต้องพูดว่า ฆ่าได้ดี!”
เขาตบมืออย่างชื่นชม
เฉินจินหลงและคนอื่นต่างประหลาดใจ บุรุษผู้นี้เป็นใคร สมองของเขากระทบกระเทือนไปแล้วหรือ?
มีเพียงแววตาของหวงเฉียนจวินที่แปรเปลี่ยน
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นและผู้อาวุโสหลีหันกลับมามองเด็กหนุ่มในชุดสีม่วง สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
แม้ว่าจะไม่ทราบถึงตัวตนผู้มาเยือน แต่ก็รู้ว่าตัวตนของบุคคลนี้จะต้องสูงส่งอย่างยิ่ง ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากเสื้อผ้าที่สวมใส่
อีกทั้ง ชายหนุ่มในชุดคลุมม่วงกำลังจัดงานเลี้ยงในโถงห้วงสมุทรบนชั้นเก้าในค่ำคืนนี้เช่นกัน ซึ่งทำให้นายหญิงชุ่ยอวิ๋นและผู้อาวุโสหลีไม่กล้าดูแคลน
“ท่านผู้ทรงเกียรติรู้จักคุณชายซูด้วยหรือ?” นายหญิงชุ่ยอวิ๋นเอ่ยถามคำเบา
“แน่นอนว่าข้ารู้จัก”
เด็กหนุ่มชุดม่วงเผยยิ้มสดใส เขาเดินตรงไปหาซูอี้และประสานมือคารวะกล่าวออก “คุณชายซู เจอกันอีกแล้ว”
บุรุษผู้นี้ก็คือองค์ชายหกโจวจือหลีแห่งต้าโจว
ทว่าซูอี้ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม คิ้วขมวดมุ่น ถ้อยคำประหลาดใจกล่าวออก “เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
โจวจือหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ากำลังจัดงานเลี้ยงที่โถงห้วงสมุทร และได้ยินเหตุการณ์จากที่นี่เมื่อครู่นี้ จึงอดไม่ได้จะแวะมาดู แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบคุณชายซูอีกครั้ง นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นโชคชะตา”
ซูอี้ยิ้มกล่าว “หากเป็นคนอื่นเจอเรื่องราวแบบนี้ พวกเขาคงหวาดกลัวจนไม่อาจเก็บซ่อน แต่เจ้ากลับกลัวพลาดความตื่นเต้นนี้ไป”
โจวจือหลีกล่าวออกอย่างจริงจัง “มองเห็นคุณชายซูกำลังมีปัญหา ข้าจะยืนดูเฉยได้อย่างไร?”
ขณะกล่าวถ้อย เขาหันมองนายหญิงชุ่ยอวิ๋น ท่าทีพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเผยรัศมีอันยิ่งใหญ่ออกมา “เจ้าเป็นเถ้าแก่เนี้ยของที่นี่ใช่หรือไม่?”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นตระหนักถึงความผิดปกติ นางโค้งคำนับเล็กน้อยพลางตอบรับ “คุณชายมีคำสั่งใดเจ้าคะ?”
“ให้มันตัดลิ้นตนเองก่อน แล้วค่อยคุยเรื่องอื่น” โจวจือหลียกมือขึ้นชี้อาวุโสหลีพร้อมกล่าวถ้อยเย็นชา
นี่ไม่ใช่การเจรจา แต่เป็นคำสั่ง!
ได้ยินเช่นนั้น เฉินจินหลงและคนอื่นแทบไม่เชื่อหูของตนเอง
แม้แต่ผู้อาวุโสหลีเองก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขุ่นเคือง “คนหนุ่มเอ๋ย คิดวางแผนยืนหยัดเพื่อซูอี้งั้นหรือ?”
ดวงตาโจวจือหลีเย็นชา “ผิดแล้ว ข้าเพียงจัดการปัญหาเล็กจ้อยเช่นเจ้าให้คุณชายซู”
ทั่วห้องโถงพลันเงียบสงัด
ถ้อยคำนี้ทำให้ตัวตนของซูอี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วยังแสดงท่าทีดูแคลนอาวุโสหลี โดยถือว่ามันเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย…
สีหน้านายหญิงชุ่ยอวิ๋นแปรเปลี่ยน นางรีบกล่าวคำออก “คุณชายอย่าเพิ่งขุ่นเคืองไป ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จา…”
โจวจือหลีพูดขัด “ข้าให้เจ้าเลือก จะให้เขาตัดลิ้นตนเอง หรือให้ข้าทำลายภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ของเจ้า”
“บ้าไปแล้ว!” อาวุโสหลีทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตะคอกเสียงดังด้วยความโกรธเคือง
“เจ้าพูดว่าใครบ้า?”
ทันใดนั้น กลุ่มคนเดินเข้ามาจากด้านนอกโถง ซึ่งนำโดยจางตั้ว
เขาและอีกสามคนด้านข้างเป็นองครักษ์ของโจวจือหลี ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขั้นปลายของขอบเขตรวบรวมลมปราณ
นอกจากนี้ยังมีชายชรารูปร่างผอมบาง ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ทว่าลมหายใจลึกล้ำดั่งมหาสมุทร
ทันทีที่เขาเดินเข้ามา พลังอันท่วมท้นแผ่ขยายออกไป ทั้งยังกดขี่จนแทบหายใจไม่ออก
ปรมาจารย์วิถียุทธ์!
หัวใจนายหญิงชุ่ยอวิ๋นพลันหนาวสะท้าน ขณะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก