บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1010: ตัวตนของทัศนาจารย์
ตอนที่ 1010: ตัวตนของทัศนาจารย์
สภาพของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานในยามนี้ดูไม่ค่อยได้ ร่างของเขาสะบักสะบอม โลหิตหลั่งดุจน้ำพุ
โดยเฉพาะแก้มทั้งสองที่เลือดเนื้อพังทลายน่าเวทนา
ซูอี้และยมบาลสาวรู้สึกพิกลยิ่งกว่ายามได้ยินเขาตะโกนว่า ‘พอแล้ว’ อย่างเดือดดาล
ก่อนหน้านี้ ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกล่าวว่ายามเขามาถึงขอบเขตนี้ เขาลืมสิ้นซึ่งเกียรติยศและความอับอาย ดูแคลนความเป็นความตาย ทว่ายามนี้เขากลับทั้งโกรธทั้งอับอายเจียนตาย ระเบิดโทสะโดยสมบูรณ์
“อยู่บนจุดสูงสุดมานานเกินไป เลยคิดว่าตนเป็นเทพเซียนทัศนาโลกหล้า ต่างอันใดกับหมาตายตกจากแท่นสูงเล่า?”
“โชคร้ายที่ข้ายังไม่ตกจากแท่นนั่น!”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานหอบหายใจครู่หนึ่ง แล้วบาดแผลของเขาก็ฟื้นตัวโดยพลัน
แขนเสื้อของเขาพลิ้วไสว ชูมือขึ้นเล็กน้อย
หึ่ง!
เรือสีดำมีเพลิงดารางดงามพวยพุ่งออกมา
ขณะเดียวกัน เสียงครวญอย่างเจ็บปวดก็ดังออกมาจากใต้ท้องเรือ
ซูอี้หน้าเสีย เพราะนั่นคือเสียงของผีเฒ่าแบกโลง
“ทัศนาจารย์เอ๋ย ข้าพอสรุปได้ว่าเจตจำนงของเจ้าตื่นขึ้นเพราะร่างเวียนวัฏสงสารของซูเสวียนจวิน และสหายของซูเสวียนจวินก็อยู่ใต้การควบคุมของข้า”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกล่าวลอย ๆ “ทำเช่นนี้เป็นไร? ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะไม่ทำร้ายชีวิตผู้ใด”
ทันทีที่วาจาเช่นนี้ถูกเปล่งออกมา ซูอี้ก็อดยิ้มเยาะไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ ใครหนอที่บอกว่าตนดูแคลนจะใช้ชีวิตคนเป็นประกันเพื่อต่อรอง?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานแย้มยิ้ม “ยามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนในตำนานเยี่ยงทัศนาจารย์ หากข้าต้องการเอาตัวรอด ก็ต้องใช้ทุกสิ่งที่มี”
ดวงตาของเขาไม่ได้ขยับจากดาบแห่งโลกา
“ชาวประมงเฒ่า เจ้ายังคงน่ารังเกียจเช่นกาลก่อน ต่อหน้าผู้อื่นเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ ต่อหน้าข้ากลับทำได้เพียงใช้ลูกไม้หน้าไม่อาย ช่างโสมมแท้”
เสียงของทัศนาจารย์ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ปกปิดความดูแคลน
และทันใดนั้น เสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ช่างเถอะ อยากไปก็ไปสิ”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เขากุมกำปั้นด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณ!”
เขารู้นิสัยทัศนาจารย์ดี อีกฝ่ายเป็นคนรักษาคำพูด และจะไม่กลับคำ
กาลเก่า ในหมู่ตัวตนบรรพกาลในจักรวาลพร่างดาว ใครเล่าจะไม่รู้ว่าการกระทำและคำพูดของทัศนาจารย์จะสอดคล้องทุกประการ?
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานยกมือขึ้น เตรียมเก็บเรือสีดำไป
ทว่าทัศนาจารย์กลับกล่าวขึ้นลอย ๆ “ข้าไม่ได้บอกว่าให้เจ้าเก็บเรือพัง ๆ นั่นไปได้”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้ามัวหมอง “ทัศนาจารย์คิดกลับคำหรือไร?”
ทัศนาจารย์กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าจะไสหัวไปหรือไม่?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “แล้วหากข้าทำลายอวตารตนเองเล่า? แต่ว่า… หากเป็นเช่นนั้น สหายของซูเสวียนจวินทั้งหมดจะถูกฆ่าไปด้วย หากทัศนาจารย์ไม่สนใจก็ลงมือได้เลย”
เขาหันกลับไปกล่าวกับซูอี้ “หากไม่ต้องการให้สหายทั้งสองของเจ้าตาย เจ้าก็น่าจะรู้ว่าต้องทำเช่นไรนะ?”
ยามนี้ ยมบาลสาวรู้สึกโกรธจนเกินบรรยาย
ก่อนหน้านี้ ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานพูดด้วยวาจาอ่อนโยน การกระทำซื่อตรง แม้เขาจะแข็งแกร่งสุดยอด การกระทำของเขาก็เกินกว่าจะตำหนิ
ทว่ายามนี้ ยมบาลสาวตระหนักแล้วว่านางคิดผิด เมื่อตัวตนร้ายกาจนี้พบศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตน เขากลับเผยเนื้อแท้อันโหดร้ายน่ารังเกียจออกมา!
สีหน้าของซูอี้เฉยเมย และกล่าวด้วยเสียงที่ไม่สั่นคลอน “เจ้าจะฆ่าพวกเขาก็ย่อมได้ แต่ข้าลั่นวาจาไว้ว่าภายหน้า ข้าจะเหยียบย่ำลัทธิทางช้างเผือก บั่นหัวเจ้าล้างแค้นให้พวกเขา”
“เจ้าจะทำก็เชิญ”
ทันทีที่วาจานี้ถูกเปล่ง ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานก็ตะลึงค้างราวไม่อยากเชื่อ
“ฮ่า ๆๆๆ เหยียบย่ำลัทธิทางข้างเผือกหรือ! เรานักดาบล้วนกระทำการเช่นนี้!”
เสียงหัวเราะอันเปี่ยมปรีดาของทัศนาจารย์ดังออกมาจากในดาบแห่งโลกา
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานขมวดคิ้วรำพัน “ดูเหมือนเรื่องวันนี้คงไม่รู้จบเสียแล้ว…”
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกาพลันตวัดฟาดฟันใส่เรือสีดำ ทำให้มันสั่นสะเทือนรุนแรง ไร้อำนาจดิ้นรน
“เจ้า…”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกระอักเลือดคำโต ใบหน้าของเขาซีดขาว
ยามนี้ การเชื่อมต่อระหว่างเขาและเรือสีดำถูกทำลายกะทันหัน!
แต่ไม่นานนัก ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานก็หัวเราะ ดวงตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ข้าสัมผัสได้ เจตจำนงของเจ้ากำลังอ่อนแรง พลังของดาบแห่งโลกาที่ผนึกเรือของข้าก็ลดอำนาจลงไปอย่างรุนแรงด้วย!”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือด้วยความตื่นเต้น “ข้าไม่คาดเลยว่าผู้แข็งแกร่งอย่างเจ้าจะยอมสละดาบแห่งโลกาและเจตจำนงของตนเพื่อช่วยชีวิตผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วย!”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานพึมพำ ท่าทางของเขาเสียความสงบไปแล้ว “หากเป็นเช่นนี้ ไม่ถึงร้อยปี ข้าก็จะกลับสู่จักรวาลพร่างดาวและก่อเกียรติภูมิเฉกเช่นอดีตได้!!”
ซูอี้และยมบาลต่างขมวดคิ้ว
“ไร้ประโยชน์”
ทัศนาจารย์กล่าว “งั้นข้าควรบอกเจ้าสินะว่าในร้อยปี ข้าจะกลับสู่จักรวาลพร่างดาว”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานชะงัก ความตื่นเต้นบนใบหน้าจางหาย “คนขายของเก่าบอกว่าเจ้าจะไม่กลับมาอีก แล้วเจ้าบอกจะกลับมา ไม่ใช่โกหกหรือ?”
ทัศนาจารย์กล่าว “ก็ลองเดาดูสิ?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานรู้สึกแน่นในอก แล้วจึงยิ้มเยาะ “เป็นแค่เจตจำนงใกล้เหือดหาย กลับกล้าหลอกให้ข้ากลัว ทัศนาจารย์… เจ้าดูถูกกันเกินไปแล้ว!”
“แม้พลังจะเหือดหาย ทำลายอวตารเจ้าก็ยังง่ายอยู่นะ”
วาจาเฉยเมยของทัศนาจารย์ยังไม่ทันสร่าง ดาบแห่งโลกาพลันกู่คำราม
ตู้ม!!
ทันใดนั้น ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานก็ถูกตบหน้าอีกฉาด แก้มที่กลับเป็นปกติพลันทลายลงอีกครั้ง เลือดเนื้อกระเซ็นสาย ร่างกระเด็นปลิว
หน้าอีกแล้ว!!!
ความอับอายอันคุ้นเคยนี้ทำให้ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานสติแตก
“มาสิ มาฆ่าข้า!”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานดูสิ้นสติ ร่างของเขาทะยานสู่นภาพร้อมเพลิงดาราศักดิ์สิทธิ์ ชิงลงมือโจมตีดาบแห่งโลกาก่อน
ตู้ม!!
ทว่าอึดใจต่อมา หัวของเขาก็ปวดหนึบ ใบหน้าของเขาถูกตบอีกครั้ง ร่างหมุนคว้างหลายตลบบนอากาศก่อนจะร่วงลงพื้นดังตุ้บ
ใบหน้าของเขาเลือดอาบ ฟันกระเด็นหลุดไปหลายซี่
“จะมากเกินไปแล้ว!!”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกล่าวลอดไรฟันด้วยโทสะ
ทว่าฟันของเขาร่วงหลุด ปากบวมเจ่ออาบเลือด วาจาของเขาอู้อี้จนดูตลก
“เจ้าอยากมีสุข ทว่าข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นสุขนี่สิ”
ดาบแห่งโลกาตบเข้าใส่อีกครั้ง
ตู้ม!!
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานหัวแทบระเบิดจนจำไม่ได้ ความเจ็บปวดและอับอายสุดขีดทำให้ร่างของเขาสั่นกระตุก
เมื่อเห็นดาบแห่งโลกาพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานก็ตะโกนอย่างเดือดดาล “หากข้าออกไปได้ จะตอบแทนร้อยเท่าเลย!”
ขณะกล่าว ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานก็ระเบิดเป็นเปลวเพลิงท่ามกลางสายตาตะลึงของซูอี้และยมบาล และทันใดนั้น ร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าปลิวสลายหาย
ฆ่าตัวตาย!!
“คนผู้นี้โหดเหี้ยมเสียจนกล้าแผดเผาตัวเอง…”
ยมบาลสาวพึมพำอย่างตกตะลึง
มันดูตลกดีจริงแท้
ทว่าในใจของซูอี้รู้สึกทึ่ง
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานโหดเหี้ยมจริงแท้ และตัวตนเช่นนี้ก็มักจะน่ากลัวที่สุด
“หากนั่นเป็นร่างจริงของไอ้แก่นี่ มันคงไม่กล้าทำเช่นนี้หรอก”
เสียงของทัศนาจารย์ดังออกมาจากข้างในดาบแห่งโลกา
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเป็นเพียงอวตาร!
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ตระหนักถึงความน่ากลัวของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานมากขึ้นทุกขณะ
ทว่า เมื่อชายสวมหมวกไม้ไผ่สานตาย ในที่สุดซูอี้ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
“แม่นางท่านนี้ ขอข้ารบกวนสักหน่อย ข้าต้องการคุยกับ… เอ่อ ซูเสวียนจวินผู้นี้ตามลำพังน่ะ”
เสียงของทัศนาจารย์ดังออกมาจากข้างในดาบแห่งโลกา
จากนั้น เงาดาบสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นแปรเปลี่ยนเป็นม่านแสง ปิดกั้นสัมผัสทั้งหกของยมบาลสาวไปทันที ราวกับทั้งสติและการมองเห็นถูกแยกเดี่ยว ไม่อาจสัมผัสการเคลื่อนไหวใด ๆ ได้
ขณะเดียวกัน ดาบก็ทอประกายราวไม้กางเขน และทันใดนั้น ร่างมายาร่างหนึ่งก็ปรากฏบนฟ้าเหนือด้ามดาบ
เขาเป็นชายในอาภรณ์เรียบง่ายผู้สวมมงกุฎสีดำ
เขาดูหล่อเหลาสำรวมเยี่ยงชายหนุ่ม แววตาเจิดจ้าเยี่ยงตะวันจันทรา เพียงยืนเฉย ๆ แต่ร่างนี้กลับเหมือนแหวกเปิดโลกา สยบจักรวาลพร่างดาวแทบเท้า!
เขาดูเหนือมนุษย์ไร้ใดเทียบ ดุจกระโดดออกมาจากกรงขังมหาวิถีบนสวรรค์ เฉิดฉายอิสระในโลกหล้า
แม้ร่างของเขาจะเลือนรางพร่ามัว ทว่าเขากลับยังคงเหนือชั้นกว่าชายสวมหมวกไม้ไผ่สานไปหนึ่งก้าว!
ทว่าเมื่อเขาได้พบชายในอาภรณ์เรียบง่ายผู้สวมมงกุฎดำผู้นี้ ซูอี้กลับรู้สึกคุ้นเคยราวเหมือนได้พบที่ใดมาก่อน แต่กลับจำไม่ได้
เมื่อคิดถึงการเคลื่อนไหวของตรวนบนดาบเก้าคุมขังในจิตวิญญาณแล้ว ซูอี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าทัศนาจารย์ผู้นี้จะมีความเกี่ยวข้องกับดาบเก้าคุมขัง!
“ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยเหลือ”
ซูอี้สงบใจตนและกล่าวขอบคุณ
“ใต้เท้า?”
กล่าวไป เขาก็อดหัวเราะไม่ได้
ซูอี้ตะลึงตกใจ ดวงตาพลันเบิกกว้างขึ้น
แม้สภาพจิตใจของเขาจะถูกขัดเกลาจนถึงจุดที่หนักแน่นเยี่ยงเหล็กกล้ามาช้านาน ทว่ายามนี้เขากลับตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาด ธารในใจเกิดคลื่นกระชากดุจทะเลคลั่ง เขาตะลึงงันไปเล็กน้อย
ยามนี้ เขาจำได้ขึ้นมาว่าตรวนทั้งเก้านั้นผนึกกรรมของอดีตชาติของตนหลังพิสูจน์วิถีสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำไว้
และยังจำได้ว่ายามนั้น เขาเคยคาดเดาอย่างใจกล้า สงสัยว่าตรวนที่เหลืออีกแปด แต่ละเส้นต่างผนึกกรรมแห่งอดีตชาติไว้
ทว่ายามนั้นเขาเพียงแค่คาดเดา ไม่มีหลักฐานจริงจังใด ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ทว่ายามนี้ วาจาของทัศนาจารย์เป็นดั่งอสนีบาตที่ทำให้ซูอี้พลันตระหนักว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาน่าจะจริง!
ขณะต่อสู้ก่อนหน้านี้ เขากำลังสิ้นหวังและพร้อมจะพุ่งชนราวกับหมาจนตรอก ทว่าการเคลื่อนไหวของดาบเก้าคุมขังกลับปลุกเจตจำนงของทัศนาจารย์ในดาบเล่มนี้ขึ้นมา!
ยิ่งกว่านั้น ซูอี้ยังคงสัมผัสได้ว่าปราณของตรวนบนดาบเก้าคุมขังยังคงสะท้อนสั่นพ้องกับดาบแห่งโลกา!
และทั้งหมดนี้ดูจะเผยความจริงอันน่าเหลือเชื่อ!
“ดูเหมือนเจ้าจะเดาไว้แล้วนะ”
ไกลออกไป ทัศนาจารย์ผู้ยืนบนอากาศกล่าว “ข้าคือเจ้า เจ้าคือข้า และความแตกต่างระหว่างเราก็ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากร่างในอดีตชาติและร่างเวียนวัฏสงสารเท่านั้น”
มือของซูอี้สั่นเล็กน้อย และเงียบไป
ความจริงนี้น่าตกใจเสียจนเขาไม่ได้คาดหวังไว้เลย ดังนั้นการทำความเข้าใจในยามนี้สำหรับเขาดูจะยากไปสักหน่อย
“ที่แท้ ผู้ทัศนาโลกหล้าก็คือข้าหรือ?”
ซูอี้รู้สึกแปลก ๆ ในใจ “กาลก่อนเมื่อข้าได้ยินเรื่องของคนผู้นี้เป็นครั้งแรก ข้าหัวเราะเยาะเขาว่าเย่อหยิ่งเกินไป… ทว่ายามนี้ดูเหมือนข้าจะหัวเราะเยาะตนเองเสียแล้วหรือ?”
……….