บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1011: วิถีเวียนวัฏที่แตกต่าง
ตอนที่ 1011: วิถีเวียนวัฏที่แตกต่าง
ซูอี้เงียบไปอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะหยิบน้ำเต้าสุราขึ้นดื่ม
จากนั้น เขาก็เก็บดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์เข้าฝัก ก่อนจะเงยหน้ามองร่างมายาตรงหน้า “ข้าจะสืบเรื่องนี้”
ทัศนาจารย์พยักหน้า น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและกระจ่างใส “หากเจ้ายังมีชีวิต หมายความว่าข้าเวียนวัฏไปเรียบร้อย เหมือนเช่นที่เจ้าเห็น ข้าเป็นเพียงเจตจำนงอันใกล้สูญสลาย”
หลังจากชะงักไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “แม้จะรับได้ยากสักหน่อย หรือน่าฉงนใจก็ตามที แต่ข้าก็ไม่เหลือเวลามากนัก”
“ต่อจากนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะจำได้ เพราะข้าคืออดีตชาติของเจ้า เจ้าจะได้เผชิญกับผลกรรมบนร่างข้าแน่แท้”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “บอกข้าสิ”
เขาจำประสบการณ์การเวียนวัฏสงสารครานี้ของเขาได้
กว่าเขาจะฟื้นทุกความทรงจำเกี่ยวกับอดีตชาติ ‘ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน’ ได้ เขาก็ต้องรอจวบอายุสิบเจ็ดปี
ยามนี้ หากผู้ทัศนาโลกหล้าคือหนึ่งในอดีตชาติของเขาจริง ๆ มันย่อมหมายความว่าเขายังไม่ได้ฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับ ‘อดีตชาติ’ นี้
“ข้าเคยมีดาบเก้าคุมขังนั่นกับตัว”
วาจาประโยคแรกของทัศนาจารย์ทำให้ซูอี้หัวใจสั่นสะท้าน
เขาทิ้งความคิดฟุ้งซ่านและฟังอย่างเงียบ ๆ
“ยามเมื่อข้าเดินทางบนเส้นทางผู้ฝึกตน ดาบนี้นิ่งเงียบอยู่ในห้วงความนึกคิดของข้า”
“จนกระทั่งในภายหลังเมื่อข้ากล้าสรุปว่าตรวนลึกลับรอบดาบเก้าคุมขังล้วนแต่เป็น ‘กรรมในอดีตชาติ’ ของข้า!”
สายตาของทัศนาจารย์ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย รำพึงเบา ๆ “น่าเสียดายที่แม้ข้าจะพยายามทุกวิถีทาง ทว่าก็ไม่อาจทะลวงถึงความลับของ ‘กรรมในอดีตชาติ’ เหล่านั้นได้เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็อดถามไม่ได้ “กระทั่งเจ้าก็ทำไม่ได้หรือ?”
ในมุมมองของเขา วิถีเต๋าของทัศนาจารย์นั้นพ้นจากวิถีลึกล้ำไปแสนนาน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยั่งว่าเขาไปไกลเพียงใด
“ทำไม่ได้”
ทัศนาจารย์ส่ายหน้า “ข้าควรกล่าวให้ตรง จากการอนุมานของข้า การสำรวจความลับของตรวนเหล่านี้บนดาบเก้าคุมขังไม่เกี่ยวอันใดกับตัวข้า แต่ขึ้นกับโอกาส”
“โอกาส?”
“ใช่ เป็นโอกาสสัมพันธ์อย่างหนึ่งอันเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจและการฝึกฝน เมื่อขอบเขตหนึ่งมีพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อาจมีโอกาสได้เห็นกรรมส่วนหนึ่งจากอดีตชาติได้”
สีหน้าของทัศนาจารย์ดูผิดหวังจนใจ “โชคร้ายที่พอข้าคิดเรื่องนี้ได้ ข้าก็เดินทางแสนไกลไปบนวิถีแล้ว ไร้โอกาสได้ขัดเกลาขอบเขตฝึกฝนเดิมของข้าถึงขีดสุด”
หัวใจของซูอี้ปั่นป่วน
ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าเหตุใดเมื่อไม่นานนี้ หลังก้าวข้ามหายนะขึ้นเป็นจักรพรรดิ เขาจึงได้สำรวจวิถีเต๋าอันเป็นของเขาในอดีตชาติ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเป็นไปตามคำกล่าวของทัศนาจารย์ เขาน่าจะไปถึงขอบเขตพลังอันไม่เคยมีมาก่อนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ!
ทันใดนั้น ความสงสัยข้อหนึ่งก็เข้ามาในใจซูอี้ จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “เมื่อยามที่ข้าอายุสิบเจ็ดในชาตินี้ ข้าเสียการฝึกฝนกลายเป็นคนไร้ค่า แต่กลับได้ฟื้นความทรงจำในอดีตชาติ ซึ่งดูไม่เหมือนที่เจ้าพูดนะ”
ทัศนาจารย์กล่าวด้วยแววตาละเอียดอ่อน “ไม่ เจ้าผิดแล้ว”
“เจ้าหมายความเช่นไร?”
ซูอี้เลิกคิ้ว
“ยามเมื่อเจ้าเป็นซูเสวียนจวิน เจ้าเดินหน้าเข้าสู่การเวียนวัฏสงสารด้วยตนเอง ดังนั้นเจ้าจึงฟื้นความทรงจำในอดีตชาติได้แต่ยังเด็ก”
ทัศนาจารย์ถอนใจ “นี่คือพลังแห่งอดีตชาติของเจ้า และแน่นอนว่ามันเกี่ยวกับการที่เจ้าถูกเปิดเผยสู่ภูมิดาราฟ้าดินด้วย เพราะถึงอย่างไร กระทั่งข้าก็เพิ่งเชื่อเอายามนี้แหละ ว่ามีเพียงภูมิดาราฟ้าดินซึ่งถูกลดเหลือเป็นปิตุภูมิเวิ้งดารานี้เท่านั้นท่ามกลางภูมินับไม่ถ้วนในจักรวาลพร่างดาวที่มีพลังการเวียนวัฏอยู่จริง”
ซูอี้กล่าวขึ้นอย่างแปลกใจ “หรือยามที่เจ้าเวียนวัฏสงสาร เจ้าจะทำสิ่งที่แตกต่างจากข้าหรือ?”
ทัศนาจารย์พยักหน้าตอบ “มันต่างจริงแท้ ยามข้าค้นหาขีดจำกัดสูงสุดแห่งขอบเขตของข้า ข้าสามารถสอดประสานกับปราณของดาบเก้าคุมขังได้ และยามนั้นเองที่ข้าได้ตระหนักถึงเคล็ดเวียนวัฏสงสารอันเป็นเอกลักษณ์”
“เคล็ดนี้คือการตัดตนเองทิ้งจากกรรมแห่งโลกา และใช้พลังของดาบเก้าคุมขังเวียนว่ายเกิดใหม่!”
“เมื่อทำเช่นนี้ เจ้าก็จะเวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่ได้ และผลกรรมของเจ้าก็จะเปลี่ยนเป็นสายตรวนอันถูกดาบเก้าคุมขังสะกดไว้”
ได้ยินเช่นนั้น ซูอี้ก็กล่าวอย่างงุนงง “ในอดีตชาติ ข้าได้อนุมานความลับของดาบเล่มนี้มาแสนนาน ทว่าข้ากลับได้เรียนรู้เพียงแก่นแท้มหาวิถีจากมัน ไม่สัมผัสเคล็ดเวียนวัฏสงสารใด ๆ เลย ไฉนจึงเป็นเช่นนี้เล่า?”
ทัศนาจารย์ตอบ “เพราะเจ้าพบคอขวดในขอบเขตมหาจักรพรรดิอย่างไรเล่า มันจึงไม่เพียงพอจะเข้าใจเคล็ดเวียนวัฏสงสารในดาบเก้าคุมขังได้หรอก”
“…”
ถึงจุดนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
ทัศนาจารย์เพิ่งมารู้ยามตนแข็งแกร่งจนถึงจุดหนึ่งว่าการเผย ‘กรรมแห่งอดีตชาติ’ บนดาบเก้าคุมขังนี้ไม่เกี่ยวกับวิถีเต๋าของเขา แต่เป็นขอบเขตการฝึกฝนของเขาเองที่ต้องถึงระดับพลังอันไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่มันสายเกินไปแล้วยามเขาเข้าใจ เขาจึงเลือกเวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่แต่ต้น
แต่ข้านั้นแตกต่าง ข้าชิงสำรวจเคล็ดเวียนวัฏสงสารเสียก่อนในอดีตชาติ จึงเป็นการช่วยตัวข้าเองให้เวียนวัฏสงสารได้
ดังนั้น ข้าจึงฟื้นความทรงจำแห่งอดีตชาติได้ยามเสียการฝึกฝนในชาตินี้ไป!
“ท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นภูมิดาราฟ้าดินที่ข้าอยู่ซึ่งช่วยเหลือข้ามากมาย…”
ซูอี้กระซิบ
ภูมิดาราฟ้าดินถูกมองเป็นปิตุภูมิเวิ้งดารา และตลอดกาลนานมาก็ถูกจักรวาลพร่างดาวหลงลืม
กระทั่งคนเช่นทัศนาจารย์ยังเพิ่งมาเชื่อเอาตอนนี้ว่าเคล็ดเวียนวัฏสงสารมีอยู่จริงในภูมิดาราฟ้าดิน!
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ร่างเลือนรางของทัศนาจารย์พลันเกิดเสียงปริแตกเล็กน้อย จากนั้น ร่างของเขาก็สลายเป็นละอองแสงสีละน้อย
“เวลาจะหมดแล้ว เจ้าต้องจำไว้สามสิ่ง”
สีหน้าของทัศนาจารย์พลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง และรีบบอกสามเรื่องแก่ซูอี้
หนึ่งเกี่ยวพันกับชายสวมหมวกไม้ไผ่สาน
จากวาจาของทัศนาจารย์ ซูอี้รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ทูตผดุงลัทธิของตำหนักดาราในลัทธิทางช้างเผือกอย่างที่ว่า แต่เป็นเจ้าลัทธิทางช้างเผือก!
ด้วยวาจาของทัศนาจารย์ เขาเรียกคนผู้นี้ว่า ‘ชาวประมงเฒ่า’
คนผู้นี้มีอำนาจวิเศษไพศาล วิถีเต๋าเกินหยั่งคาด และควบคุมกฎวิเวกดารา เป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดในห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
ในกาลก่อน คนผู้นี้เคยพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือทัศนาจารย์ จนสร้างความแค้นระหว่างกัน
และเรือสีดำลำนั้นมีนามว่า ‘เรือหมื่นแสงดารานิรันดร์’ ซึ่งเป็นสมบัติอันผนึกวิถีเต๋า ‘ครึ่งชีวิต’ ของชาวประมงเฒ่าไว้!
ด้วยการผนึกของดาบแห่งโลกา แม้ว่าสมบัตินี้จะยังอยู่ภายใต้ควบคุมของชาวประมงเฒ่า แต่พลังของร่างจริงของเขาย่อมถูกผนึกและไม่อาจหลบหนีไปได้
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ดาบแห่งโลกานี้เป็นดั่งกรงขัง พอเพียงเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์ถูกผนึกไว้ ก็ยากที่ร่างจริงของชาวประมงเฒ่าจะหนีพ้น
ทว่ายามนี้แตกต่างออกไป เจตจำนงของทัศนาจารย์ถูกปลุก และใช้พลังของดาบแห่งโลกามาจัดการกับชาวประมงเฒ่า ซึ่งนั่นก็ทำให้พลังของดาบแห่งโลกาถูกใช้สิ้นไป
มันดูราวมีรอยร้าวเกิดขึ้นในกรงขังอันไม่อาจทำลาย
และเมื่อกาลผันผ่าน รอยร้าวนี้จะมีเพียงขยายขึ้น ตามที่ทัศนาจารย์ว่า ภายในร้อยปี ร่างจริงของชาวประมงเฒ่าจะมีโอกาสได้หลบหนี!
สิ่งที่ทัศนาจารย์ต้องการนั้นง่ายมาก คือให้ซูอี้ใช้ดาบแห่งโลกาฆ่าชาวประมงเฒ่าในร้อยปี!
เรื่องนี้ ซูอี้อดขมวดคิ้วไม่ได้ และถามทัศนาจารย์ว่าไฉนจึงไม่ฆ่าคนผู้นี้แต่แรก แต่กลับทำเพียงขังไว้
จากคำถามนี้ ทัศนาจารย์เลี่ยงไม่ตอบ บอกซูอี้เพียงว่าเขาจะเข้าใจเองยามได้สำรวจ ‘วิถีเต๋า’ ของเขาในดาบเก้าคุมขัง
เรื่องที่สองเกี่ยวข้องกับการฝึกฝน
เหตุที่ทัศนาจารย์เวียนวัฏสงสารมาฝึกฝนใหม่นั้น แต่แรกก็เพราะความเสียดายที่ไม่อาจไปถึงระดับพลังสูงสุดในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำได้ วิถีเต๋าของเขาจึงบกพร่อง
เขาบอกซูอี้ว่าขอบเขตสานพันธะลึกล้ำนั้น การหลอมรวมสารพัดมหาวิถีเข้าด้วยกันนั้นไม่เพียงพอ เขาต้องหลอมรวมที่มาแห่งจักรวาลและเข้าใจในความลึกล้ำของหนึ่งภูมิดาราให้ได้ด้วย
วาจานี้ทำให้ซูอี้สมองชา และพลันรู้แจ้งขึ้นมา
เขาได้ประมาณการเรื่องเหล่านี้มาบ้างแล้วตั้งแต่ในอดีตชาติ!
ทว่าเขาไม่อาจก้าวสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นได้ เหตุผลนั้นเป็นเพราะภูมิดาราฟ้าดินนี้พังทลาย จึงเหลือเพียงปิตุภูมิเวิ้งดารามาช้านาน!
นี่จึงทำให้เขาไม่สามารถหาที่มาแห่งจักรวาลอันสมบูรณ์และเข้าใจความลึกล้ำของปิตุภูมิเวิ้งดารานี้ได้ แล้วเขาจะเลื่อนขอบเขตได้เช่นไร?
ทว่าทัศนาจารย์เตือนซูอี้ไว้ ว่าแม้ภูมิดาราฟ้าดินจะเสื่อมโทรมพังทลายไปแสนนาน แต่มันก็ยังมีเคล็ดเวียนวัฏสงสารอยู่ ยิ่งกว่านั้น ในคราแรก ภูมิดาราฟ้าดินเจิดจรัสงดงามอย่างยิ่ง และถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดแห่งจักรวาล
หากซูอี้สามารถหาต้นกำเนิดที่แท้จริงแห่งจักรวาลในภูมิดาราฟ้าดินอันแร้นแค้นนี้นี้ได้ เขาจะสามารถสร้างกฎแห่งโลกาอันสมบูรณ์ได้ด้วยตนเอง!
สำหรับซูอี้แล้ว การเตือนใจเช่นนี้คือการตบหัวกันโดยไม่ต้องสงสัย
เขาเวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่ ไม่ใช่เพื่อหาหนทางอันสูงกว่าหรือ?
ยามนี้ เขาได้พบเป้าหมายอันชัดเจนแล้ว!
“เรื่องที่สามคือ หากภายหน้าเข้าออกเดินทางลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว จงระวังเจ้าเฒ่าผู้มีสมญาว่า ‘ช่างเสื้อ’ ไว้ คนผู้นี้คือบรรพชนผู้ก่อตั้งเผ่า ‘สมเสร็จเขมือบฝัน’ แต่เขามีตัวตนอันไม่อาจหยั่งทราบอีกหนึ่ง และรับใช้ขุมอำนาจลึกลับ”
“เจ้าเฒ่านี่แปลกประหลาดพิสดารยิ่งนัก เจ้าจะเข้าใจเองเมื่อได้รับรู้ความทรงจำแห่งมหาวิถีที่ข้าทิ้งไว้ในดาบเก้าคุมขังยามเวียนวัฏ”
กล่าวถึงตรงนี้ ร่างของทัศนาจารย์ก็เลือนรางยิ่งกว่าเดิม เงาร่างขะมุกขมัวของเขาดูพร้อมสลายหายไปทุกเมื่อ
ดาบแห่งโลกาสั่นสะท้านราวกรีดร้อง
“ข้าไม่ได้ตาย เจ้าจะร้องเพื่อการใด?”
ทัศนาจารย์ตำหนิขำ ๆ แล้วจึงมองซูอี้ “จำไว้ว่าเว้นแต่เจ้าจะแข็งแกร่งได้เท่าข้า อย่าได้เผยตัวตนเป็นอันขาด”
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ไม่พอใจเล็กน้อย และกล่าวอย่างเฉยชา “อย่าห่วงเลย ข้าไม่เป็นจิ้งจอกห่มหนังเสือพึ่งบารมีของเจ้าหรอก”
ทัศนาจารย์อดหัวเราะขึ้นฟ้าไม่ได้ “ข้าคือเจ้า เจ้าก็คือข้า พูดเช่นนั้นได้เยี่ยงไร? ยามเมื่อเจ้าได้หลอมรวมกับวิถีเต๋าในกรรมอดีตชาติที่ข้าทิ้งไว้ เจ้าและข้าก็ไร้ความแตกต่างแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาดูจะตระหนักเรื่องหนึ่งขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาพลันเลือนหาย
ทว่ายามนี้ ร่างมายาของเขาแตกสลายแล้ว
“จำไว้ว่าเจ้าจะเป็นข้าหรือซูเสวียนจวินก็ได้ แต่เจ้าคือเจ้า และไม่อาจแทนที่ด้วยกรรมในอดีตชาติของเจ้าได้!!”
เสียงของทัศนาจารย์ยังคงดังก้อง แต่ดูเหมือนเร่งรีบยิ่ง และยังจริงจึงเคร่งขรึมอย่างไม่เคยมี
ดาบแห่งโลกาสั่นสะท้าน มันครวญเสียงต่ำด้วยความโศกเศร้าอาลัย
ซูอี้ตะลึงค้าง ความหนาวเยือกแล่นผ่านสันหลัง
วาจาของทัศนาจารย์ดูย้อนแย้ง แต่มันทำให้ซูอี้ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง
ตัวตนในอดีตชาติมากมายที่ถูกผนึกในดาบเก้าคุมขังจะยังสามารถแทนที่ตัวเขาในชาตินี้ได้หรือไม่?
……….