บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1012 ข้าเพิ่งรู้ว่าข้าคือข้า
ตอนที่ 1012 ข้าเพิ่งรู้ว่าข้าคือข้า
ข้างสระเวียนวัฏ
หลังจากเงียบอยู่นาน ซูอี้ก็กล่าวกับตนเอง “เหตุที่ดาบเก้าคุมขังสยบตรวนทั้งเก้าไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้กรรมในอดีตชาติใด ๆ มาแทนที่ร่างปัจจุบัน”
ซูอี้รู้ดีว่าหากเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น มันจะไม่ต่างอันใดกับการ ‘ชิงร่าง’ เลย
ตัวเขาในอดีตชาติจะแทนที่ตัวเขาในชาตินี้
หากถึงยามนั้น ‘ตัวเขา’ ในชาตินี้ย่อมไม่พ้นต้องสูญสลาย และตัวเขาในอดีตชาติก็จะครอบครองทุกสิ่งที่มีในชีวิตนี้!
“ในอดีตชาติ ข้าชิงลงมือสำรวจหาเคล็ดเวียนวัฏสงสารและเกิดใหม่เสียก่อน ดังนั้นยามฟื้นความทรงจำในชาตินี้ ข้าจึงไม่ต้องกังวลถึงปัญหานี้ เพราะข้าคือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน และการเดินเส้นทางชีวิตผ่านอดีตชาติจวบจนยามนี้ไม่ใช่ใดอื่นนอกจากการเกิดใหม่เท่านั้น”
“แต่หากรวมกับความทรงจำในอดีตชาติเช่น ‘ทัศนาจารย์’ ความทรงจำ ประสบการณ์ กระทั่งลักษณะนิสัยและเจตจำนงของอีกฝ่ายก็จะมีโอกาสเข้ามาแทนที่ข้า แล้วข้าจะยังเป็นข้าได้เช่นไร? ข้าย่อมกลายเป็น ‘ทัศนาจารย์’ อีกคนไปเป็นแน่…”
อารมณ์ของซูอี้หวั่นไหวเล็กน้อย
สิ่งนี้ให้ความรู้สึกแปลกยิ่ง ทุกอดีตชาติล้วนคือตัวเขา ทว่า ‘อดีตชาติ’ แต่ละชาตินั้นมีบุคลิก อุปนิสัย ประสบการณ์และความทรงจำเป็นของพวกเขาเอง
จากคำเตือนของทัศนาจารย์ เขายังไม่รู้เลยว่า ‘อดีตชาติ’ ทั้งหลายของเขาเป็นยักษ์ใหญ่หรือมารร้ายแห่งโลกหล้าใดกันบ้าง
ดังนั้น จึงเป็นที่แน่ใจว่าหากหลอมรวมกับวิถีเต๋าใน ‘อดีตชาติ’ เหล่านี้ในภายหน้า ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเกิดสิ่งที่ทำให้ทัศนาจารย์ต้องเอ่ยปากเตือนขึ้น…
มีผู้จ้องจะฮุบร่างของเขา!
แม้ว่า ‘อดีตชาติ’ เหล่านั้นต่างก็คือเขาก็ตาม แต่ลึก ๆ ในใจซูอี้แล้ว เขาต่อต้านเรื่องการชิงร่างอย่างสุดขั้ว
“ข้าคือซูเสวียนจวินและซูอี้ ไม่ว่า ‘กรรมในอดีตชาติ’ จะแข็งแกร่งเลิศเลอมาจากไหน มันก็ควรถูกข้าใช้!”
“ในทางกลับกัน ข้ายอมทำลายมันเสียดีกว่าปล่อยให้เกิดเรื่องอย่าง ‘แทนที่ข้า’!”
ซูอี้สูดหายใจลึก ๆ และสงบใจลง
นักดาบนั้นสังหารอย่างเฉียบขาด
เขาไม่เชื่อว่าตนจะไม่สามารถก้าวข้ามสารพัดอดีตชาติในภายหน้าได้!
ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อทุกอดีตชาติได้เวียนวัฏสงสารไปแล้ว มันย่อมหมายความว่าแต่ละคนล้วนพบ ‘คอขวด’ ในวิถีชีวิตตน! และเพราะเหตุนั้นจึงใช้การเวียนวัฏสงสารเพื่อทะลวงคอขวด!
แต่เขาแตกต่างออกไป เขาเกิดใหม่ผ่านเคล็ดเวียนวัฏสงสาร และจากปากของทัศนาจารย์ เขาตระหนักแล้วว่าทางที่เขาเดินในชีวิตนี้ถูกต้อง
วิถีเต๋าของทัศนาจารย์สูงส่งเพียงใด?
ซูอี้ในยามนี้ไม่รู้แน่ชัด แต่เขาแน่ใจว่าการฝึกฝนของทัศนาจารย์ยามอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และเมื่อเขาอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิในภายหน้า เขาจะมีโอกาสก้าวข้ามทัศนาจารย์ได้สำเร็จ!
หากทำเช่นนี้ การจะก้าวข้าม ‘อดีตชาติ’ อื่น ๆ ในภายหน้าก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้!
ยามนี้ หัวใจของซูอี้พลันกระจ่างแจ้ง และเขาก็ไม่ติดในพันธนาการอีกต่อไป
เขามีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ‘ข้ารู้ว่าวันนี้ข้าคือใคร’
ในขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ไม่ได้ลืมสามสิ่งที่ทัศนาจารย์บอกเขา
ตู้ม!
ณ ใจกลางสระเวียนวัฏ เรือสีดำส่ายเล็กน้อย และค่อย ๆ ลอยสู่อากาศ ราวกับพยายามจะหนี
ดาบแห่งโลกาวูบไหว กดลงบนเรือสีดำ ส่งผลให้มันคำรามอย่างบ้าคลั่งราวฝืนดิ้นรน
ทว่าในท้ายที่สุด สมบัติที่ทัศนาจารย์เรียกว่า ‘เรือหมื่นแสงดารานิรันดร์’ ก็ไม่อาจสลัดหลุดจากพันธนาการของดาบแห่งโลกาไปได้
ไม่นานนัก ตัวตนกลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาจากในเรือสีดำและร่วงตุ้บลงที่ริมสระเวียนวัฏราวเกี๊ยวห่อ พวกเขามีกันมากกว่าสามสิบคน
และในหมู่พวกเขาก็มีชุยหลงเซี่ยง!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนเหล่านี้คือยอดฝีมือผู้แต่เดิมถูกกักขังอยู่ใน ‘คุกธารดารา’ ในเรือสีดำ
ทว่า หลังจากถูกช่วยออกไป พวกเขาล้วนแต่หมดสติไป
เมื่อยืนยันได้ว่าชีวิตของพวกเขาปลอดภัย ซูอี้ก็รู้สึกโล่งใจทันที
จากนั้น ภายใต้สายตาของซูอี้ เรือสีดำก็พุ่งทะยานอากาศหายไปพร้อมเสียงหวีดหวิว
ซูอี้ไม่ได้หยุดมัน
สมบัติชิ้นนี้เป็นของชาวประมงเฒ่า ลึกลับไม่อาจคาดเดา ทว่ามันถูกดาบแห่งโลกาผนึกอยู่ ต่อให้มันจะยังอยู่ฝ่ายชาวประมงเฒ่า แต่มันก็ไม่อาจก่อเรื่องใดได้อีก
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องมา”
เสียงสำลักรุนแรงดังขึ้น และในสระเวียนวัฏ ร่างหนึ่งผู้มีร่างพิกลพิการโชกเลือดก็เดินออกมาอย่างยากลำบาก
เขาคือผีเฒ่าแบกโลง!
ผู้ก่อตั้งเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ และยังเป็นตัวตนในตำนานผู้ลึกลับที่สุดผู้หนึ่งในภูมิมืดมิดด้วย
เขาลูบไปบนเส้นผมยาวเปื้อนเลือดของตน และเมื่อเห็นซูอี้ผู้บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เขาก็อดยิ้มอย่างปรีดาไม่ได้
“สนุกมากหรือไร?”
ซูอี้นำเก้าอี้หวายออกมาทอดร่างสบายใจ จากนั้นก็นำขวดโอสถออกมารินเข้าปาก
ศึกปะทะร่างอวตารของชาวประมงเฒ่าก่อนหน้านี้ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส และพลังกายของเขาก็ใกล้เหือดหาย ประคองไว้ด้วยเพียงเจตจำนงอันแข็งแกร่งดุจเหล็ก
“ไม่มีทาง นี่ครั้งแรกเลยนะที่ข้าได้เห็นเจ้าเละเทะได้เพียงนี้”
ผีเฒ่าแบกโลงนั่งลงบนพื้นพร้อมผ่อนหายใจยาวอย่างโล่งอก “ความรู้สึกของการมีชีวิตช่างชวนเมามายจริงแท้ มิน่าล่ะ ทุกคนจึงพูดกันว่ายิ่งอยู่ยาวยิ่งกลัวตาย ในไม่กี่ปีมานี้ที่ข้าถูกเจ้านั่นสยบไว้จนทั้งกายและวิญญาณข้าแทบแหลก หากไม่ใช่เพราะข้ายังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่ เกรงว่าเจ้าคงไม่ได้พบข้าอีกแล้ว”
ซูอี้โยนขวดบรรจุโอสถล้ำค่าไปให้ “ในเมื่อเจ้ายังอยู่ ก็รักษาบาดแผลก่อนสิ”
ผีเฒ่าแบกโลงมีหรือจะเกรงใจ เขากลืนโอสถล้ำค่าหมดในอึกเดียวและทำสมาธิเดินปราณ
ทั้งสองเหมือนพี่น้องร่วมทุกข์ ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บสาหัส ทว่าทั้งซูอี้และผีเฒ่าแบกโลงกลับดูสงบเยือกเย็นยิ่งนัก
ความเป็นความตายที่ผ่านไปแล้ว พวกเขาย่อมไม่ใส่ใจ
ยมบาลสาวซึ่งอยู่ไกลออกไป เดินมาหาและถามเสียงเบา “เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใดหรือไม่?”
นางไม่อาจแทรกแซงบทสนทนาระหว่างซูอี้กับทัศนาจารย์ได้ แต่ด้วยการหายไปของทัศนาจารย์ สัมผัสทั้งหกของนางจึงฟื้นกลับมา
ซูอี้กล่าววาจา “หากเป็นไปได้ โปรดช่วยข้าแยกผู้หมดสติเหล่านั้นไปก่อน เหลือไว้เพียงชุยหลงเซี่ยงผู้เดียว”
“ได้”
ยมบาลพยักหน้าตกลงโดยไร้ลังเล
ไม่นานนัก เหล่ายอดฝีมือผู้ถูกช่วยออกมาจาก ‘คุกธารดารา’ ต่างถูกยมบาลสาวจับไปกองรวมกันไว้ในมิติของตราประทับพุทธะเป็นตาย
จากนั้น นางก็ย่อตัวลงตรวจสอบสภาพร่างกายของชุยหลงเซี่ยง “วิญญาณของเขาได้รับการกระทบกระเทือน ทว่าไม่ได้บาดเจ็บ ไม่นานก็คงตื่นแล้ว”
ซูอี้ส่งเสียงรับ
เขากำลังพยายามฟื้นบาดแผลอย่างสุดกำลัง ไร้เวลามาดูแลอีกฝ่าย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ยมบาลก็นั่งอยู่บนโขดหินข้างสระเวียนวัฏเงียบ ๆ
ทั่วฟ้าดินเงียบงัน และหลังจากศึกก่อนหน้านี้ สภาพเละเทะรอบข้างยิ่งดูเปล่าเปลี่ยวยิ่งกว่าเดิม
ไกลออกไป พฤกษาเทพเวียนวัฏยืนต้นเงียบงัน กิ่งก้านสูงตระหง่านเสียดสีในสายลม
ยมบาลสาวบรรจงทัดเรือนผมดำไว้หลังหู ใบหน้างามซีดขาว ไร้ร่องรอยความเย่อหยิ่งอหังการเยี่ยงผู้เหนือกว่า แต่กลับเหนื่อยล้าเจือความผิดหวัง
สิ่งที่นางได้ประสบวันนี้กระทบต่อจิตใจของนางอย่างมหาศาล และความคิดของนางก็ยังคงเหม่อลอย
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานจากลัทธิทางช้างเผือกได้สำแดงความแข็งแกร่งอันร้ายกาจที่ชวนให้ผู้คนสิ้นหวัง ณ ที่แห่งนี้ ทว่าเขากลับเป็นเพียงอวตารร่างหนึ่งเท่านั้น!
เรื่องนี้ชวนใจหายจริงแท้
ทว่าเหนือขุนเขาย่อมมีขุนเขาที่สูงกว่า เมื่อเผชิญกับพลังของผู้ทัศนาโลกหล้า ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกลับอ่อนแอราวเป็นไก่เป็นสุนัข ไม่ว่าจะถูกเหยียบย่ำรังแกเพียงไรก็ไร้โอกาสต่อต้าน!
แม้จนางจะไม่อาจเดาได้ว่าไฉนทัศนาจารย์และดาบแห่งโลกาจึงโจมตี แต่นางรู้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับซูอี้แน่แท้!
‘ความลับของซูเสวียนจวินช่างมีมากแท้…’
ยมบาลสาวรำพึงในใจ
อย่าว่าแต่เคล็ดเวียนวัฏสงสารเลย เขายังมีพลังลึกลับที่สามารถสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์และกฎวิเวกดาราได้ จวบจนวันนี้ แม้เขาจะพบกับสถานการณ์อันสิ้นหวัง แต่ผู้ทัศนาโลกหล้าและดาบแห่งโลกาก็ปรากฏขึ้นช่วยเหลือเขาได้ทันที
นอกจากนั้น เมื่อนึกถึงหายนะประหลาดที่ซูอี้ผ่านบน ‘แท่นเกิดใหม่’ และสารพัดวิชาเหลือเชื่อที่เขาใช้ในอดีตแล้ว…
จิตใจของยมบาลสาวก็ชาวาบ
นางกังวลเล็กน้อยว่า หากนางอยากจะสืบหาความลับเกี่ยวกับซูอี้ขึ้นมา นางก็เกรงว่าตนจะตกอยู่ในวังวนโดยมิอาจแยกตัวได้อีก
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
สระเวียนวัฏเงียบกริบ
ซูอี้ตื่นจากการรักษาบาดแผลก่อน
เขาหันไปกล่าวกับยมบาล “ขอบคุณนะ”
หญิงสาวดูแปลกใจ “หากข้าจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เจ้าขอบคุณข้านะ”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “แม้ว่าในศึกก่อนหน้านี้ การกระทำอย่างสิ้นไร้ไม้ต่อของเจ้าจะไม่ต่างจากแมลงวันเขย่าต้นไม้ แต่ข้าจะเมินเฉยต่อมิตรภาพนี้ได้เช่นไร?”
ยมบาลสาวกล่าวอย่างฉุนเฉียว “แมลงวันเขย่าต้นไม้อันใด? นี่คือคำขอบคุณข้าหรือ?”
ซูอี้โบกมือ “อย่าโกรธเลย ข้ารับปากเจ้าได้ว่าเมื่อร่างจริงของเจ้าออกจากเมืองมรณะได้ ข้าจะติดตามเจ้าไปเดินเล่นที่หอเก้าสวรรค์”
ร่างบอบบางของยมบาลสั่นไหวเล็กน้อย เม้มริมฝีปากสีกุหลาบของนางเบา ๆ “หากเจ้าทำเช่นนี้เพื่อตอบแทนกันล่ะก็ ไม่จำเป็นหรอก”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ “ข้าบอกก่อนหน้านี้แล้ว ว่าเมื่อข้าเชื่อใจเจ้า ข้าจะเต็มใจช่วยเจ้าเอง ไม่ใช่เพียงตอบแทน”
ยมบาลสาวตะลึงไปชั่วขณะ ดวงตาพราวเสน่ห์จับจ้องใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมของซูอี้ชั่วขณะ หัวใจของนางเต็มไปด้วยอารมณ์ซึ่งถ่ายทอดออกเป็นคำพูด “ไม่ง่ายเลยจริง ๆ นะที่จะได้รับความเชื่อใจจากเจ้า ซูเสวียนจวิน”
ทันใดนั้น ใบหน้างามก็ปรากฏรอยยิ้มเจิดจ้าอันทำให้โลกหล้าหม่นสีสัน “ทว่านี่ให้ความรู้สึกดีจริง ๆ แน่นอน อย่าคิดมากนะ ข้าไม่ได้ตื้นตันใจ และอย่าคิดเชียวว่าจะใช้คำพูดไม่กี่คำทำให้ข้าเชื่อได้ว่าเจ้าเป็นคนน่าเชื่อถือ”
นางแย้มยิ้มหวาน ดวงตาคู่งามมองตรงไปข้างหน้า เห็นได้ว่านางกำลังอารมณ์ดีจริง ๆ
ชายหนุ่มเองก็ยิ้มเช่นกัน “ข้าซูเสวียนจวินใช้ชีวิตโดยสนใจการกระทำมากกว่าวาจา ใจคนจะเห็นได้เมื่อเวลาผ่านไป และเจ้าจะเข้าใจเองในภายหน้า”
ยมบาลสาวทำเสียง ‘โอ้~~’ ออกมาจากริมฝีปากสีแดงสดของนาง กะพริบตาคู่งามพลางกล่าวว่า “อนาคตเป็นเช่นไร ไร้ผู้ใดบอกได้ แต่ยามนี้ข้าจะเชื่อใจเจ้าไปก่อน”
กิริยาของนางสง่างามไร้ใดเปรียบ แม้จะทำเพียงนั่งเฉย ๆ บนโขดหิน แม้จะขมวดคิ้วหรือแย้มยิ้มล้วนตีความได้นับร้อยพัน ราวหญิงงามเลิศเลอล่มเมือง
โดยเฉพาะยามเอ่ยวาจา เรียวขาบางดุจหยกแกว่งไปมาบนอากาศ เพิ่มเสน่ห์สะกดตาตรึงใจ
หัวใจของซูอี้เองก็หวั่นไหว ทว่าขณะที่กำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง ผีเฒ่าแบกโลงก็ตื่นจากภวังค์
จากนั้น ผีเฒ่าแบกโลงก็ฉีกยิ้ม ทำเสียงจุ๊ ๆ “ข้าไม่คาดเลยว่าเจ้า สัตว์ประหลาดเฒ่าซูจะทรงพลังเสียจนมีกระทั่งยมบาลในเงื้อมมือ!”
ซูอี้ “…”
ยมบาล “…”
……….