บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1013: ความลับของการเวียนวัฏห้าร้อยปี
ตอนที่ 1013: ความลับของการเวียนวัฏห้าร้อยปี
ในตอนแรก หญิงสาวอับอายเล็กน้อย ทว่าต่อจากนั้นนางก็แปลกใจ “เจ้ารู้จักข้าหรือ?”
ซูอี้ก็เลิกคิ้วสงสัยเช่นกันว่า ‘ยมบาลถูกผนึกไว้ในนภาโกลาหลใต้ซากปรักหักพังของเมืองมรณะ ไฉนจึงรู้จักกันได้?’
ผีเฒ่าแบกโลงกระแอมพลางกล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดในภูมิมืดมิดที่ข้าไม่รู้”
นางอยากจะถามอีกครั้ง ทว่าซูอี้กลับหยุดนางไว้ “เจ้าถอยออกไปก่อน ข้ามีบางสิ่งจะถามเจ้าเฒ่านี่”
แม้ว่ายมบาลสาวจะไม่เต็มใจเล็กน้อย ทว่าท้ายที่สุดก็ตกลงและลุกเดินจากไป
ดวงตาของซูอี้ที่มองไปยังผีเฒ่าแบกโลงเย็นชามืดหม่น “เจ้าเฒ่า ข้ารู้สึกอยู่ว่าเจ้าดูแปลก ๆ ไปตั้งแต่ทีแรกแล้ว หากเจ้ามองข้าเป็นสหายจริง ๆ ก็บอกข้ามาตรง ๆ เสียว่าเจ้าคือผู้ใด”
“ข้า…”
ผีเฒ่าแบกโลงอ้าปากพะงาบราวจะกล่าวบางอย่าง
ซูอี้เอ่ยเตือนล่วงหน้า “ข้าต้องการฟังความจริง”
ในอดีตชาติของเขา เขาได้วนเวียนในภูมิมืดมิดหลายต่อหลายปี และไม่เคยที่จะไม่ประมือกับผีเฒ่าผู้นี้
เขาย่อมรู้กระจ่างว่าเจ้าเฒ่าผู้นี้ซ่อนความลับไว้มากมาย
ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขายามนี้ไหลลื่นเกินไป และมักเลี่ยงประเด็นเกี่ยวกับตนเองเสมอ
เหมือนยามที่เขากำลังสำรวจหาเคล็ดเวียนวัฏสงสาร ไม่ว่าจะเป็นศิลาหลุมศพในเมืองมรณะ หรือ ‘แดนวัฏสงสาร’ ในพิภพยมราชฝังวิถี เบาะแสอันมีค่าของพวกมันก็ล้วนมาจากผีเฒ่าแบกโลงทั้งสิ้น
ยิ่งกว่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ ซูอี้ยังได้เรียนรู้จากผู้คุมรัตติกาลว่า ‘โลงศพหกวิถี’ ที่ผีเฒ่าแบกโลงพูดถึงนั้น แท้จริงแล้วคือสุดยอดสมบัติ ‘กระดานหกวิถี’ ที่กรมหกวิถีในดินแดนปรภพเคยครอบครองในสมัยโบราณ!
“เฮ้อ เจ้าก็ถามสิ่งที่ต้องการไปในอดีตหมดแล้วนี่นะ และยามนี้ข้าก็กลายเป็นเพียงผีเฒ่าเดียวดายผู้ร่อนเร่ในโลกหล้าไปเสียแล้ว”
ผีเฒ่าแบกโลงรำพันด้วยน้ำเสียงหงอยเหงา
ทว่าซูอี้กลับยิ้มเยาะ “ไม่พูดหรือ? ไม่เป็นไร นำ ‘กระดานหกวิถี’ ที่เจ้าพ่ายให้ข้ามาก่อนสิ ครานี้ข้าช่วยชีวิตเฒ่า ๆ ของเจ้าไว้ ไฉนไม่ฉวยโอกาสนี้คืนมันให้ข้าเล่า?”
ผีเฒ่าแบกโลงดูตะลึง “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู ไม่ใช่เจ้ากำลังบีบบังคับข้าอยู่หรือ!”
ซูอี้กล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่า “เจ้าก็เห็นแล้วเมื่อครู่ ว่าเพื่อช่วยเจ้า ข้าก็เกือบตาย ยามนี้เจ้ายังจะมาปิดบังข้า จะไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
“นี่…”
ผีเฒ่าแบกโลงดูไม่แน่ใจไปชั่วขณะ
เนิ่นนานจากนั้น เขาก็สูดหายใจลึก ๆ “ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดต้องหลบซ่อน”
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความซับซ้อน “นามที่แท้จริงของข้าคือ ‘จวินเช่อ’ ดูแลดินแดนปรภพมาแต่โบราณ และทุกคนในโลกเรียกข้าว่า ‘มหาเทพมืดมิด’”
มหาเทพมืดมิด!
เปลือกตาของซูอี้กระตุก และหันไปมองผีเฒ่าแบกโลงอีกครั้ง “จริงหรือ?”
ผีเฒ่าแบกโลงยิ้มแห้ง ๆ พลางหัวเราะเยาะตนเอง “ภาพลักษณ์ของข้าย่ำแย่ลงมากแล้ว ทว่าข้าไม่ได้จะแสร้งทำตนเป็นมหาเทพมืดมิดหรอกนะ”
เขากล่าวพลางพลิกฝ่ามือ
ฮึ่ม!
วงล้อสีดำทรงกลมปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ที่พื้นผิวของวงล้อแบ่งออกเป็นหกส่วน แทนหกวิถีการเวียนวัฏ
“นี่คือกระดานหกวิถีซึ่งกรมหกวิถีเคยดูแลเมื่อกาลก่อน ด้วยสมบัติชิ้นนี้ ข้าจึงสามารถใช้อำนาจสั่งการในแดนวัฏสงสารได้”
ผีเฒ่าแบกโลงกระซิบ “เมื่อครั้งก่อนที่เกิดมหาหายนะฝังวิถีขึ้น ข้าได้ใช้สมบัตินี้ช่วยชีวิตตนโดยบังเอิญ ทว่าแดนวัฏสงสารนี้ก็พังทลายลงจากมหาหายนะฝังวิถีนั้น”
เขากล่าวพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ “เจ้าก็เห็นแล้วว่าในโลกเร้นลับนี้ ท้องนภาแตกเป็นเสี่ยงเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน กระทั่งพลังดั้งเดิมของพฤกษาเทพเวียนวัฏและสระเวียนวัฏเองก็ยังเสียหายสาหัส นี่คือผลของมหาหายนะฝังวิถีนั่น และพลังดั้งเดิมแห่งกฎเวียนวัฏก็ได้แตกสลายโดยสมบูรณ์”
เขาดูโศกเศร้า จมในความทรงจำแห่งอดีต น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำลงและดูหงอยเหงา
“ส่วนหลังการเกิดมหาหายนะฝังวิถีนั้นเป็นเช่นไร ข้าไม่รู้แน่ชัด เพราะยามนั้นข้าบาดเจ็บสาหัส จึงทำได้เพียงซ่อนตัวจำศีลอยู่ในกระดานหกวิถีอย่างเงียบ ๆ จนเวลาผ่านไปไม่รู้กี่ปี ข้าจึงฟื้นพลังและตื่นขึ้นมาในกระดานหกวิถี”
“อย่างไรก็ตาม เพราะจิตวิญญาณเสียหายหนัก ความทรงจำของข้าส่วนใหญ่จึงขาดหาย ต้องค่อย ๆ ฟื้นคืนกลับมาและตระหนักถึงตัวตนที่แท้จริง”
“ทว่ามาพูดถึงเรื่องเก่า ๆ ในยามนี้ มีประโยชน์อันใด?”
“ดินแดนปรภพสูญสิ้นไปแสนนานท่ามกลางธารประวัติศาสตร์อันยาวไกล เหลือเพียงผีเฒ่าเช่นข้าเพนจร”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ผีเฒ่าแบกโลงก็กล่าวกับซูอี้ว่า “ตลอดมานี้ ข้าทำสิ่งหนึ่งอยู่ นั่นคือฟื้นฟู ‘แดนวัฏสงสาร’ และสระเวียนวัฏกับพฤกษาเทพเวียนวัฏอันทรุดโทรมนี้ให้คืนชีวิตชีวา เฉิดฉายใหม่อีกครั้ง…”
“จากนั้น ข้าก็ได้พบเจ้าที่มาสำรวจหาเคล็ดเวียนวัฏสงสารในภูมิมืดมิด”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ริมฝีปากของเขาก็แย้มยิ้ม “ยามข้าแรกพบเจ้า ข้ามีจุดประสงค์อื่นจริง ๆ ข้าคิดจะใช้พลังของเจ้า ซูเสวียนจวินเพื่อฟื้นฟู ‘แดนวัฏสงสาร’ ยามนั้นข้าจึงแนะนำเจ้าทีละนิด บอกเบาะแสทีละขั้นตอนให้เจ้าเข้าใกล้เคล็ดเวียนวัฏสงสาร”
“ทว่าต่อมา… จะพูดเช่นไรดี หลังจากเป็นสหายกับเจ้าจริง ๆ ข้าก็ต้องยอมรับว่าข้าประทับใจในความคิด กิริยา และการกระทำของเจ้านัก สัตว์ประหลาดเฒ่าซู และสุดท้ายข้าก็ตัดสินใจพาเจ้ามายังแดนวัฏสงสารนี้ และไม่ว่าเช่นไรก็จะช่วยเจ้าต่อสู้เพื่อดูว่าเจ้าจะสมปรารถนาหรือไม่”
นัยน์ตาของผีเฒ่าแบกโลงทอประกาย และกล่าวอย่างตื่นเต้น “แม้แต่ข้าเองก็ไม่คาดว่าเจ้าจะเวียนวัฏสงสารเกิดใหม่สำเร็จในสระเวียนวัฏ บรรลุเป้าหมายสมปรารถนา!”
“ยามนั้นเอง ข้าจึงตระหนักว่าแม้พลังต้นกำเนิดของเคล็ดเวียนวัฏสงสารจะเสียหายหนัก แต่มันก็ไม่ได้สลายไป!”
เมื่อฟังถึงจุดนี้ ซูอี้ก็ขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีขึ้นมา “ทว่ากาลก่อน เจ้าบอกกับข้าว่าขอเพียงไขปริศนาในสระเวียนวัฏได้ ข้าก็จะได้รู้เคล็ดเวียนวัฏสงสารนี่!”
ผีเฒ่าแบกโลงแย้งอย่างเขิน ๆ ทันที “เรื่องนี้สำคัญไฉน? เรื่องสำคัญคือเจ้าสำเร็จเคล็ดเวียนวัฏสงสารและกลับมาฝึกฝนใหม่จริง ๆ!”
ไม่มีสิ่งใดมาหักล้างความจริงนี้ได้
ซูอี้กล่าวพลางนวดหว่างคิ้ว “มิน่าเล่า เมื่อข้าเวียนวัฏสงสารเมื่อห้าร้อยปีก่อน อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นมากมาย ข้าเกือบล้มเหลวจนเกือบสายไปหากจะจัดงานศพ”
“และในการเวียนวัฏนั้น ข้าได้ถูกขังอยู่หลายร้อยปีกว่าจะบรรลุการเวียนวัฏในที่สุด”
“ที่แท้เส้นทางแห่งการเวียนวัฏสงสารก็ไม่สมบูรณ์นี่เอง”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ท่าทีของผีเฒ่าแบกโลงก็ดูอึกอักมากขึ้นทุกที เขากระแอมพลางกล่าว “แม้ว่าระหว่างดำเนินการจะอันตรายและมีเหตุพลิกผัน แต่สุดท้ายมันก็สำเร็จไม่ใช่หรือ?”
ซูอี้ไม่ได้กล่าวโทษผีเฒ่าแบกโลง
ตั้งแต่แรก อีกฝ่ายเองก็เคยเตือนเขาว่าเส้นทางเวียนวัฏนั้นเต็มไปด้วยสิ่งอันไม่อาจทราบ ดังนั้นจึงควรไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
ท้ายที่สุด ผู้ที่เลือกเวียนวัฏอย่างแน่วแน่ก็คือเขา
“จะว่าไป เจ้าประสบอันใดมายามถูกขังในเส้นทางการเวียนวัฏหรือ?”
ผีเฒ่าแบกโลงอดถามไม่ได้
แววตาของซูอี้วูบไหว เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “การเข่นฆ่าไม่สิ้นสุด เส้นทางนั้นเต็มไปด้วยสัมภเวสีผีร้าย ไม่จบสิ้น และไม่อาจถูกฆ่าได้เลย เพื่อความอยู่รอด ข้าจึงทำได้เพียงกลืนกินเหล่าผีสางวิญญาณเหล่านั้นเพื่อฟื้นพลังที่เสียไป”
แววตาของซูอี้ลึกล้ำ “จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้ามาถึงพื้นที่โกลาหลแห่งหนึ่ง มีหมอกและเงาตะคุ่มอันไม่อาจอธิบาย และที่นี่ก็มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของผีเฒ่าแบกโลงก็เปลี่ยนแปร ดูตื่นเต้นตกใจ และขณะเดียวกันก็ไม่อยากเชื่อ
ทว่าสุดท้าย เขาก็ไม่ได้ขัดวาจาของซูอี้
ซูอี้กล่าวต่อ “ต้นไม้ใหญ่นั้นค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ มันคล้ายกับพฤกษาเทพเวียนวัฏในแดนวัฏสงสาร ทว่าตลอดต้นเต็มไปด้วยปราณโกลาหลลึกลับยากหยั่งทราบ และกิ่งก้านของมันยื่นกระหวัดสานกัน สร้างเป็นเส้นทางสาขาหายลึกเข้าไปในสุญญะไร้จุดจบ กระทั่งใบไม้ที่เติบโตบนกิ่งก้านยังสะท้อนภาพอันน่าเหลือเชื่อของโลกประหลาดใบหนึ่ง”
ยามนั้นเอง ผีเฒ่าแบกโลงก็อดพึมพำอย่างตื่นเต้นไม่ได้ “นั่นแหละ ต้องใช่แน่แท้! นี่คือ ‘ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ’ อันเกิดจากที่มาแห่งภูมิมืดมิด!”
ซูอี้กล่าวอย่างแปลกใจ “เจ้ารู้ที่มาของต้นไม้นี้หรือ?”
เขาไม่เคยกล่าวถึงประสบการณ์บนเส้นทางเวียนวัฏให้ผู้ใดฟัง
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเล่าถึงการเวียนวัฏของตนให้ผีเฒ่าแบกโลงฟัง
ใครเล่าจะคิดว่าชายชราผู้นี้ดูเหมือนจะตัดสินที่มาของพฤกษาประหลาดนั้นได้!
ผีเฒ่าแบกโลงกล่าวอย่างร้อนรน “อย่าถามเลย เจ้าเล่าต่อเถอะ”
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวต่อ “ยามนั้น ข้าสังเกตเห็นว่าต้นไม้นี้พิเศษ และพยายามตรวจสอบ ทำความเข้าใจปราณของต้นไม้นี้ มันใช้เวลาหลายร้อยปี กว่าข้าจะสรุปได้ในที่สุดว่ามีพลัง ‘เวียนวัฏสงสาร’ อยู่บนต้นไม้ใหญ่นั้น”
“ระหว่างทำความเข้าใจ ข้าก็ขัดเกลาปราณอลหม่านนั้นไปมาก และค้นพบโดยบังเอิญว่าเคล็ดเวียนวัฏสงสารที่ข้าบรรลุถูกพัฒนาต่อจนสมบูรณ์”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ซูอี้ก็กล่าวอย่างเสียดาย “โชคร้ายที่ก่อนข้าจะทันได้ขัดเกลาปราณอลหม่านได้ต่อ ข้าก็ตระหนักว่าเมื่อปริศนาบนต้นไม้ใหญ่สั่นพ้องเข้ากับปราณของมัน ข้าก็หมดสติไป”
“พอข้าตื่นขึ้นอีกครั้ง ข้าก็เกิดใหม่ขึ้นในโลกนี้แล้ว กลายเป็นลูกเขยอันไม่เป็นที่ต้อนรับในเมืองเล็ก ๆ ห่างไกลในมหาทวีปคังชิง”
หลังจากนั้น มุมปากของซูอี้ก็ยกยิ้มน้อย ๆ “ยามนั้น สองชีวิตของข้าทำให้รู้สึกราวเป็นสองคนที่แตกต่างกัน”
เขานึกถึงน้องภรรยาคนงามของเขาเหวินหลิงเสวี่ย และมหาทวีปคังชิง
สหายเก่าเหล่านั้น
เกือบสองปีแล้วที่เขารีบร้อนกล่าวลา
“ไม่ผิดแน่ สิ่งที่เจ้าพบยามนั้นต้องเป็นต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิแน่แท้!”
อกของผีเฒ่าแบกโลงกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง ริมฝีปากสั่นระริกเล็กน้อย “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าข้อความใน ‘บันทึกยมโลก’ จะเป็นจริง แม้กฎเวียนวัฏสงสารในแดนวัฏสงสารจะเสียหายหนัก แต่พลังเวียนวัฏอันเก่าแก่โบราณที่สุดของมันกลับถูกบ่มเพาะขึ้นโดยที่มาแห่งภูมิมืดมิด!”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเพียงหาที่มาแห่งภูมิมืดมิดได้ ก็จะสามารถฟื้นคืนและนำพลังเวียนวัฏกลับมายัง ‘แดนวัฏสงสาร’ ได้!”
เสียงของเขาตะกุกตะกักด้วยความตื่นเต้น และหลุดเข้าไปในห้วงภวังค์ของตนเองโดยสมบูรณ์
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ความลับที่ซูอี้กล่าวออกมามีผลกระทบต่อเขาอย่างมหาศาล รวมทั้งความตะลึงและแปลกใจ
จนกระทั่งเมื่อผีเฒ่าแบกโลงค่อย ๆ สงบใจลง ซูอี้จึงกล่าวอย่างใจเย็น “เอาล่ะ ถึงคราวเจ้าตอบคำถามข้าบ้างแล้วกระมัง?”
ครานี้ ผีเฒ่าแบกโลงตอบตกลงโดยไร้ความลังเล
……….