บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1014: เปิดเส้นทางเวียนวัฏอีกครั้ง
ตอนที่ 1014: เปิดเส้นทางเวียนวัฏอีกครั้ง
“พื้นที่โกลาหลบนเส้นทางเวียนวัฏนั้นคือที่มาแห่งภูมิมืดมิดหรือ?”
ซูอี้ถามตรง ๆ
“ถูกต้อง จากบันทึกยมโลก แม้ว่าภูมิมืดมิดจะกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ที่มาของมันตั้งอยู่ในสถานที่เวียนวัฏอันไม่อาจหยั่งทราบ จากที่เจ้าว่ามา พื้นที่โกลาหลนั่นต้องเป็นที่มาแห่งภูมิมืดมิดเป็นแน่!”
ผีเฒ่าแบกโลงตอบโดยไม่ซุกซ่อนความปรีดาสุดใจไว้
“จริงหรือ ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมินั่นมีภูมิหลังใดกัน?”
ซูอี้กล่าวด้วยความใคร่รู้
“นี่คือพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดอันเกิดจากที่มาแห่งภูมิมืดมิด ในบันทึกโบราณของภูมิมืดมิด ตัวมันถูกสร้างขึ้นจากพลังของภูมิมืดมิด ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่ามันคือ ‘พฤกษาแห่งภูมิ’ ของภูมิแห่งนี้!”
ผีเฒ่าแบกโลงกล่าว “ที่มาแห่งภูมิมืดมิดนั้นคือความโกลาหล มีกฎเกณฑ์และปริศนาไม่รู้จบ และพวกมันล้วนพัฒนาขึ้นผ่าน ‘ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ’”
“ลือกันว่ากิ่งก้านของต้นวัฏสงสารหมื่นภูมินำไปสู่โลกภูมิอันไม่รู้จบ! ดังนั้นเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่กฎเวียนวัฏสงสารยังไม่ถูกทำลาย ตัวตนใด ๆ ที่เวียนวัฏสงสารจะสามารถเกิดขึ้นในโลกภูมิอื่นได้”
“กล่าวโดยสรุปก็คือ เส้นทางเวียนวัฏเดิมทีก็แยกมาจากพลังกฎเกณฑ์ของ ‘ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ’”
ซูอี้พยักหน้า
สิ่งนี้คล้ายคลึงกับการอนุมานของเขา การเวียนวัฏสงสารคือการเวียนวัฏเกิดใหม่ ซึ่งเป็นพลังอันลึกลับและร้ายกาจยิ่งนัก และการมีอยู่ของต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิก็เหมือนเป็นช่องทางแห่งการเกิดใหม่ ให้ผู้เวียนวัฏสงสารได้เดินทาง และในที่สุดก็ได้บรรลุการเกิดใหม่ในโลกภูมิอื่น
ต่อมา ซูอี้ก็ถามคำถามเพิ่มเติมอีกมากมาย และผีเฒ่าแบกโลงก็ตอบพวกมันอย่างให้ความร่วมมือยิ่ง
แม้จะไม่เข้าใจ เขาก็ยังอธิบายอย่างใจเย็น
ไม่นานนัก ความเคลือบแคลงในใจของซูอี้ก็คลี่คลายลงหลายจุด
ในอดีตกาล เมื่อดินแดนปรภพถูกทำลายลง สิบตำหนักยมบาล กรมหกวิถีและขุมกำลังยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ที่เคยรุ่งเรืองก็หายไป
และผีเฒ่าแบกโลง หรือที่รู้จักกันในนาม ‘มหาเทพมืดมิด’ องค์สุดท้ายที่ดูแลดินแดนปรภพนั้นเกือบจะสิ้นใจ ท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงซ่อนตัวในกระดานหกวิถี และสามารถรอดชีวิตมาได้
ผีเฒ่าแบกโลงเรียกหายนะนี้ว่า ‘มหาหายนะฝังวิถี’ หลังจากหายนะนี้รุกล้ำเข้ามา ‘กฎเวียนวัฏสงสาร’ ที่ปกคลุมแดนวัฏสงสารอยู่ก็ถูกกระทบสาหัสในทันที
กระทั่งขุมนรกสิบทิศอันเป็นที่เรียกขานในยามนี้ว่า ‘พิภพยมราชฝังวิถี’ ก็จมลงจากหายนะนี้!
จนเวลาต่อมา เมื่อผีเฒ่าแบกโลงตื่นขึ้น กาลเวลาก็ผันเปลี่ยน ทุกสิ่งแตกต่างออกไปแล้ว ในช่วงกาลผ่านมานี้ เขาสำรวจหาความจริงเกี่ยวกับ ‘มหาหายนะฝังวิถี’ มาโดยตลอด เพื่อหาที่มาที่ไปของมัน
น่าเสียดายที่แม้กาลเวลาจะผันเปลี่ยนแสนนาน ทุกสิ่งในอดีตได้กลายเป็นเศษฝุ่นในประวัติศาสตร์ไปหมดแล้ว ผีเฒ่าแบกโลงจึงไม่เจอเบาะแสใดเลย
ท้ายที่สุด เขาจึงมุ่งเป้าที่การซ่อมแซม ‘แดนวัฏสงสาร’ และพยายามฟื้นฟูกฎเวียนวัฏสงสาร เพื่อสร้างดินแดนปรภพขึ้นมาใหม่!
“หายนะนี้ทำลายกฎเวียนวัฏสงสารอย่างหนัก ทำให้ดินแดนปรภพสลายหายไปในกาลเวลาอันแสนยาวนาน แปลกจริงแท้”
ซูอี้ขมวดคิ้วครุ่นคิด
ในความคิดของเขา พลังแห่งการเวียนวัฏเกิดขึ้นจากที่มาของภูมิมืดมิด และถูกมองว่าเป็นอำนาจกฎเกณฑ์สูงสุดอันทรงพลังในภูมิแห่งนี้
หาไม่ หอเก้าสวรรค์และลัทธิทางช้างเผือกจะส่งยอดฝีมือเดินทางมาค้นหาเคล็ดเวียนวัฏสงสารจากไกลโพ้นในจักรวาลพร่างดาวได้อย่างไรกัน?
กระทั่งอวตารของ ‘ชาวประมงเฒ่า’ เจ้าลัทธิทางช้างเผือกยังมาค้นหาเคล็ดเวียนวัฏสงสารที่สมบูรณ์ด้วยตนเอง!
เพียงเท่านี้ก็บอกได้แล้วว่า พลังแห่งการเวียนวัฏนั้นทรงพลังเพียงใด
ทว่าพลังแห่งการเวียนวัฏอันกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดพลังนี้กลับเผชิญหายนะจนเสียหายหนักมาแต่โบราณ
มันช่างก้าวร้าวยิ่งนัก
หายนะนั่นมาจากหนใด? มีอำนาจแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่?
ซูอี้ไม่อาจตัดสินได้ แต่เขาแน่ใจได้เพียงอย่างเดียวว่า ‘มหาหายนะฝังวิถี’ นี้อาจร้ายกาจยิ่งกว่ากฎกำเนิดห้วงดาราเยี่ยงกฎเกณฑ์วอนสวรรค์หรือกฎวิเวกดาราเสียอีก!
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู ข้าอยากขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง”
ผีเฒ่าแบกโลงมองซูอี้อย่างจริงจัง พลางหายใจเข้าลึก ๆ
ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อยและกล่าวว่า “เจ้าอยากให้ข้าพาเจ้าไปยังที่มาแห่งภูมิมืดมิดหรือ?”
“ถูกต้อง!”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าช่วยเจ้าได้ แต่บอกเจ้าได้เพียงการซ่อมแซมกฎเวียนวัฏสงสารนี้ยากพอ ๆ กับการไปเยือนจุดสิ้นสุดแห่งนภา และความหวังก็มีไม่มากนัก”
ผีเฒ่าแบกโลงฉีกยิ้ม “ต่อให้มีความหวังเพียงริบหรี่ ข้าก็จะพยายามสุดชีวิต ต่อให้ท้ายที่สุดข้าจะล้มเหลว ข้าก็จะล้มเหลวอย่างไร้ความเสียใจ”
ซูอี้จึงไม่เกลี้ยกล่อมเขาอีกต่อไป จากนั้นพยักหน้าและตอบว่า “เมื่อวิถีเต๋าของข้าฟื้นตัวสมบูรณ์ ข้าจะพาเจ้าไปเยือน แต่ก่อนหน้านั้น ข้าคิดว่าเจ้าควรพบศิษย์หลานเจ้าก่อนนะ”
เขาสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะส่งชายชราตาบอดออกมาจากเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง
“ท่านบรรพชน!?”
เมื่อเขาได้เห็นผีเฒ่าแบกโลง ชายชราตาบอดก็ร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น
สีหน้าของผีเฒ่าแบกโลงพลันดูซับซ้อน และพาชายชราตาบอดเดินหลบไปคุยกันตามลำพัง
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย เตะร่างชุยหลงเซี่ยงที่นอนแน่นิ่งบนพื้น “หยุดเสแสร้งแล้วรีบลุกขึ้นมาได้แล้ว”
ร่างของชุยหลงเซี่ยงสั่นสะท้าน เขาลุกจากพื้นมากล่าวอย่างลำบากใจ “เฮ้อ ข้าไม่ได้อยากกวนการสนทนาระหว่างเจ้ากับตาเฒ่าผู้นั้นสักหน่อย”
“หยุดพูดพล่ามได้แล้ว ในภายหน้า ข้าจะเดินทางไปยังที่มาแห่งภูมิมืดมิดกับผีเฒ่าแบกโลง ส่วนเจ้าและยมบาลไปรอข้าที่ภูเขาหมื่นกระแสก่อนเถอะ”
ซูอี้ออกคำสั่ง
ชุยหลงเซี่ยงพยักหน้า
เขาได้ยินทุกบทสนทนาระหว่างซูอี้กับผีเฒ่าแบกโลงแล้ว และย่อมรู้ว่าไม่ใช่ว่าใครก็ไปยังที่มาแห่งภูมิมืดมิดได้
ไม่นาน ผีเฒ่าแบกโลงและชายชราตาบอดก็กลับมาด้วยกัน
เห็นได้ชัดว่าชายชราตาบอดสุขใจยิ่งนัก
ผีเฒ่าแบกโลงกล่าวด้วยสีหน้ามืดหมอง “ไอ้หนูผีหมัวจะโอหังเกินไปแล้ว”
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเขาได้รับรู้แล้วว่าศิษย์เขา ‘นายแห่งโลงศพโลหิต’ ถูกผีหมัวสังหาร
ซูอี้กล่าว “ข้าจะให้คำอธิบายแก่เจ้าแน่ และมันจะเป็นคำอธิบายสำหรับข้าด้วยเช่นกัน”
ผีเฒ่าแบกโลงพยักหน้า และไม่ได้กล่าวอันใดอีก
ต่อมา ชุยหลงเซี่ยง ยมบาลสาวและชายชราตาบอดก็ถูกซูอี้ส่งออกไปจากโลกเร้นลับแดนวัฏสงสารนี้พร้อมกัน จากนั้นก็เดินทางไปรวมตัวกับเย่ลั่วและไก่แจ้เฒ่าที่ภูเขาหมื่นกระแส
หลังจากซูอี้กลับมา เขาก็เริ่มทำสมาธิเพื่อฟื้นพลังของเขา
ผ่านไปหนึ่งวันเต็ม
ซูอี้ลุกขึ้นจากพื้น เขามองผีเฒ่าแบกโลงผู้เตรียมตัวเรียบร้อย “เส้นทางเวียนวัฏนี้อันตรายเกินคาดเดา เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะ”
ผีเฒ่าแบกโลงตอบโดยไม่ยี่หระ “มีม้าแก่ชำนาญทางเช่นเจ้าอยู่ ข้าจะกลัวสิ่งใดอีก ต่อให้เจออันตรายอันเกินคาดเดา ข้าก็แค่ฉวยโอกาสนี้ได้ประสบความงดงามของการเวียนวัฏสงสารเอง”
ซูอี้ไม่พูดอื่นใดอีกและเริ่มลงมือ
สองมือพับประสาน สายปราณลึกลับเกินหยั่งสายแล้วสายเล่าผุดขึ้นมาจากมือของเขา
วูบ!
ไกลออกไป พฤกษาเทพเวียนวัฏกู่คำรามสะท้านนภา ครึ่งหนึ่งของกิ่งก้านปกคลุมด้วยหมู่เมฆเขียว ในขณะที่อีกครึ่งปกคลุมด้วยหมอกมรณะสีเทา
ทันใดจากนั้น สระเวียนวัฏซึ่งใกล้เหือดแห้งพลันเดือดพล่าน น้ำในสระซึ่งสร้างจากกฎแห่งการจมปั่นป่วน จนเกิดเป็นวังวนมโหฬารลึกล้ำ
ด้วยการหมุนเวียนรวดเร็วของวังวน ส่งผลให้โลกเร้นลับแดนวัฏสงสารนี้สั่นไหวอย่างรุนแรง เศษเสี้ยวบนนภาอันเกิดจากพลังกฎเวียนวัฏสงสารอันแตกสลายต่างพุ่งเข้าใส่สระเวียนวัฏราวกับได้รับคำเชิญ
ผีเฒ่าแบกโลงดูเหม่อลอย
ภาพตรงหน้าเขาช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
กาลก่อน เขาก็เคยมองดูซูอี้สำรวจปริศนาของสระเวียนวัฏ และเปิดเส้นทางแห่งวัฏสงสารในคราเดียว!
และยามนี้ ภาพอันแสนคุ้นตาก็เวียนกลับมาอีกครั้ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา
มือของซูอี้ค่อย ๆ ยกขึ้น
ตู้ม!
เหนือวังวนยักษ์ในสระเวียนวัฏ เศษเสี้ยวแห่งนภานับไม่ถ้วนได้รวมตัวและแผดเผาเจิดจ้า ในขณะที่ทั้ง ‘เมฆเขียว’ อันสื่อถึงชีวิตใหม่และ ‘หมอกสีเทา’ อันสื่อถึงความตายบนพฤกษาเทพเวียนวัฏพุ่งเข้ามาหลอมรวมกับเศษเสี้ยวแห่งนภานั้นอย่างบ้าคลั่ง
จากนั้น ท่ามกลางแสงอันสาดส่องเจิดจ้า ประตูลึกลับบานหนึ่งก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น
ท้องนภาสะเทือนสั่น วาตะกระโชกอสนีบาตคำราม
ปราณวัฏสงสารอันหนาแน่นทะลักจากประตูบานนั้นดุจเกลียวคลื่น ดูลึกลับอย่างยิ่ง
ประตูเวียนสงสาร!!
ผีเฒ่าแบกโลงหายใจถี่รัว เขากล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นอย่างมาก “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เคล็ดเวียนวัฏสงสารที่เจ้าบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้วหรือ?”
ซูอี้ส่ายหน้า “นอกจากการเวียนวัฏ การจม สังขารและสุดวิถีสี่อย่างนี้ ยังคงห่างไกลจากกฎแห่ง ‘จุดจบ’ อันเป็นแก่นลึกสุดมากนัก”
เขาบรรลุกฎการเวียนวัฏในอดีตชาติผ่านแท่นเกิดใหม่
กฎการจมและกฎสังขารนั้น เขาทำความเข้าใจมาจากสระเวียนวัฏและพฤกษาเทพเวียนวัฏตามลำดับ
ส่วนกฎสุดวิถีนั้น มันมีอีกนามว่า ‘พลังแห่งการหวนเหย้า’ ซึ่งได้มาจากที่มาแห่งภูมิมืดมิดยามเขาเวียนวัฏสงสาร
กฎแห่งมหาวิถีอันลึกล้ำทั้งสี่นี้ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดเวียนวัฏสงสารซึ่งตราอยู่ในดาบเก้าคุมขัง ก่อนที่ซูอี้จะกลับชาติเสียอีก
ยามนี้ เมื่อเขาก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิ เขาก็บรรลุถึงปริศนาของกฎทั้งสี่นี้แล้ว
“จุดจบ… อย่างนั้นหรือ”
ผีเฒ่าแบกโลงกล่าว และพลันหยิบของสองสิ่งส่งให้ซูอี้ “ช่วยเก็บสมบัติสองชิ้นนี้ให้ข้าหน่อยสิ”
หนึ่งในสมบัติทั้งสองคือกระดานหกวิถี และอีกชิ้นก็เป็นชิ้นหยกซึ่งซูอี้ไม่เคยได้พบมาก่อน
ชิ้นหยกนั้นมีขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือ ดูเหมือนหน้ากระดาษ และดูคล้ายคลึงกับ ‘คัมภีร์แห่งตี้ทิง’ ในมือผู้คุมรัตติกาลชอบกล
ทว่าหยกนี้ขาดมุมไปมุมหนึ่ง และที่พื้นผิวมีรอยไหม้เหมือนใยแมงมุมดูราวถูกทุบมา
“นี่คือสิ่งใด?”
เมื่อเห็นของชิ้นนี้ซูอี้ก็รู้สึกแปลกใจยิ่ง นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงปราณลึกลับอันชวนใจหายจากชิ้นหยกนี้ มันทั้งลึกล้ำและเงียบงัน
สีหน้าของผีเฒ่าแบกโลงพลันจริงจังสุดขีด กระทั่งเจือความเกรงขามขณะกล่าวเบา ๆ “นี่คือ ‘บันทึกยมโลก’ ซึ่งมีเพียงมหาเทพมืดมิดแห่งภูมิมืดมิดเท่านั้นที่ควบคุมมันได้ เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ชิ้นแรกสุดแห่งภูมิมืดมิดนับแต่แรกกำเนิด!”
บันทึกยมโลก!
ดวงตาของซูอี้ทอประกาย ที่แท้ก็คือสมบัติชิ้นนี้เอง
ในภูมิมืดมิดมีคำร่ำลือมากมายเกี่ยวกับ ‘บันทึกยมโลก’ และแต่ละเรื่องล้วนเลิศล้ำเป็นตำนาน!
……….